คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2567

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 661

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 659 - 661/2567

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 2 (11), 120

จำเลยได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนมาแล้ว 6 ครั้ง ตั้งแต่เดือนกันยายน 2562 ถึงเดือนมกราคม 2563 แล้วจำเลยให้การว่าจำเลยขอหยุดให้การต่อพนักงานสอบสวนไว้เพียงแค่นี้ก่อน เนื่องจากจำเลยมีภารกิจจำเป็นเร่งด่วน และจำเลยจะมาให้การต่อพนักงานสอบสวนในวันต่อไป แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยไปให้การต่อพนักงานสอบสวนเพิ่มเติมอีก จนกระทั่งวันที่ 21 เมษายน 2563 โจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ แม้จำเลยอ้างว่าจำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น แต่พฤติการณ์แห่งคดีเพียงพอให้ฟังได้แล้วว่าพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานในความผิดที่กล่าวหาเสร็จสิ้นแล้ว การที่อธิบดีอัยการภาค 4 มีคำสั่งฟ้องจำเลยชอบแล้ว คดีฟังได้ว่าพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการสอบสวนความผิดที่ฟ้องแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 638

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 638/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1748, 1750 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 324

ผู้ร้องที่ 1 เป็นมารดาจำเลย ส่วนผู้ร้องที่ 2 เป็นพี่ชายจำเลยไม่ปรากฏว่าในการแบ่งปันทรัพย์มรดกนั้น ผู้ร้องทั้งสองกับจำเลยมีเหตุโกรธเคืองหรือทะเลาะกันมาก่อน ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้ร้องทั้งสองได้รับทรัพย์มรดกอื่นใดของผู้ตายไปจนเป็นที่พอใจแล้ว ลำพังเพียงผู้ร้องทั้งสองไม่ได้คัดค้านการโอนที่ดินนั้นไม่ได้หมายความว่าผู้ร้องทั้งสองยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย ประกอบกับเมื่อที่ดินพิพาทยังติดจำนองอยู่ย่อมป็นเหตุให้การจัดการมรดกโดยแบ่งปันที่ดินอันมีภาระจำนองให้แก่ทายาททุกคนเป็นการไม่สะดวก ดังนั้น การที่ผู้ร้องทั้งสองทราบว่าจำเลยโอนที่ดินพิพาทเป็นชื่อตนเองโดยไม่ได้คัดค้านจึงยังไม่ถือเป็นพฤติการณ์โดยชัดแจ้งว่าผู้ร้องทั้งสองแสดงเจตนาสละสิทธิไม่รับส่วนแบ่งในที่ดินพิพาท และมิได้เป็นเรื่องที่แสดงว่าได้มีการแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายเสร็จสิ้นแล้ว จำเลยจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทของผู้ตายมาโดยผู้ร้องทั้งสองมิได้คัดค้านเนื่องจากที่ดินติดจำนองจึงเป็นการครอบครองที่ดินพิพาทแทนผู้ร้องทั้งสอง ผู้ร้องทั้งสองซึ่งมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทด้วยจึงมีสิทธิขอให้กันส่วนเงินจากการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 633

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 633/2567

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 2 (4), 216

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์โดยอาศัยสิทธิตามคำฟ้องของพนักงานอัยการ กรณีจึงไม่อาจฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นนอกเหนือจากคำฟ้องได้ เมื่อฟ้องโจทก์ระบุเพียงว่าเป็นการกระทำต่อทรัพย์มรดกของผู้ตาย มิได้กล่าวอ้างว่ากระทำต่อทรัพย์มรดกของบิดาผู้ร้องที่ผู้ตายครอบครองแทน ดังนั้น ที่ผู้ร้องฎีกาอ้างว่าทรัพย์มรดกของผู้ตายมีส่วนของบิดาผู้ร้องรวมอยู่ด้วย และผู้ร้องเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับทรัพย์มรดกในส่วนของบิดาจึงเป็นการนำข้อเท็จจริงซึ่งมิใช่การกระทำทั้งหลายที่โจทก์อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดและเป็นข้อที่มิได้กล่าวมาในฟ้องมาขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัย ฎีกาของผู้ร้องในข้อนี้จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง

ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาถึงที่สุดวินิจฉัยว่าผู้ตายทำพินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับโดยแสดงเจตนาไว้ชัดแจ้ง ด้วยการระบุตัวผู้ร้องเป็นทายาทผู้ถูกตัดมิให้รับมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1608 วรรคสอง คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันผู้ร้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตาย การที่จำเลยจะใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้ตายโอนเงินโดยมิชอบหรือลักทรัพย์ของผู้มีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตายหรือไม่ ย่อมไม่ทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหาย ผู้ร้องจึงไม่ใช่ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) และไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ตามมาตรา 30

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2567

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 96, 341 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 39 (6) พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ม. 4

โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันฉ้อโกงโจทก์โดยการหลอกลวงแสดงข้อความอันเป็นเท็จให้โจทก์โอนเงิน 1,000,000 บาทให้จำเลยที่ 1 โดยโอนเข้าบัญชีธนาคารของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 341 อันเป็นความผิดอันยอมความได้ ซึ่ง ป.อ. มาตรา 96 บัญญัติว่า "…ในกรณีความผิดอันยอมความได้ ถ้าผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ภายในสามเดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด เป็นอันขาดอายุความ" คดีนี้โจทก์ในฐานะผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องนำสืบให้ได้ความว่าการที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเองนี้เป็นการฟ้องภายในอายุความดังกล่าว แม้จะเป็นชั้นไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ก็มีหน้าที่นำสืบให้ได้ความเช่นนั้น คดีนี้โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2565 หลังจากวันเกิดเหตุคือวันที่ 21 สิงหาคม 2563 นานกว่า 2 ปี โดยโจทก์อ้างว่าเพิ่งรู้เรื่องความผิดเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2565 แต่คดีกลับได้ความว่า หลังจากวันที่ 21 กันยายน 2563 อันเป็นวันครบกำหนดที่จะต้องชำระเงินที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าจะนำไปใช้ประกันตัว ร. พวกของจำเลยทั้งสองคืน โจทก์ได้พูดคุยติดต่อทวงถามจำเลยที่ 1 มาโดยตลอด แต่จำเลยที่ 1 บ่ายเบี่ยงเรื่อยมาจนกระทั่งวันที่ 16 พฤษภาคม 2565 เมื่อโจทก์ทวงถามเงินจาก ร. โดยตรงผ่านแอปพลิเคชั่น WHATSAPP ร. แจ้งว่าไม่สามารถคืนเงินเพราะบัญชีถูกระงับ โดย ร. ไม่เคยนำหลักฐานเกี่ยวกับการถูกระงับบัญชีมาให้โจทก์ดู พฤติการณ์ถือว่าโจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดอย่างช้าที่สุดตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2565 แล้ว เพราะเป็นวันที่โจทก์ทราบแน่ชัดแล้วว่าฝ่ายผู้กระทำความผิดปฏิเสธไม่ประสงค์จะคืนเงินให้โจทก์ ส่วนวันที่ 26 สิงหาคม 2565 ที่โจทก์ส่งข้อความสอบถามถึงหลักฐานที่ ร. ถูกดำเนินคดี และหลักฐานการรับเงินแต่ ร. ไม่ตอบแต่กลับตอบคำถามเรื่องอื่นนั้นเป็นการประสงค์จะแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อใช้ยันจำเลยที่ 1 มากกว่าจะฟังว่าโจทก์เพิ่งรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด เมื่อนับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2565 ถึงวันที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจึงเกินกว่าสามเดือน ดังนั้น ไม่ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองกับพวกจะเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ก็ไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งสองได้เพราะคดีขาดอายุความตาม ป.อ. มาตรา 96 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (6) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 429

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 429/2567

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 134, 158 (5)

การกระทำความผิดฐานรับของโจรผู้กระทำไม่จำต้องรับทรัพย์ของกลางไว้ในความครอบครองของตนเอง เพียงแต่ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใดซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดก็ครบองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจรแล้ว แม้โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยครอบครองอาวุธปืนของกลางด้วยตนเองโดยมิชอบด้วยกฎหมายในความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตก่อนแล้วจึงช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใดซึ่งอาวุธปืนของกลางอันเป็นความผิดฐานรับของโจรก็ไม่ทำให้คำฟ้องขัดแย้งกัน ส่วนการที่โจทก์ไม่ได้บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับอาวุธปืนของกลางในคำฟ้อง โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณาว่าอาวุธปืนของกลางเป็นอาวุธปืนยี่ห้อใด หมายเลขทะเบียนใด และได้มาอย่างใด ฟ้องของโจทก์ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แล้ว

แม้ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาพนักงานสอบสวนเพียงแต่แจ้งข้อกล่าวหาแก่จำเลยว่ากระทำความผิดฐานรับของโจร โดยไม่ปรากฏว่ามีการแจ้งถึงข้อเท็จจริงทั้งหลายพร้อมรายละเอียดที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิด แต่ตามบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา (เพิ่มเติม) ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนได้แจ้งพฤติการณ์และรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำความผิดของจำเลย โดยผู้ต้องหาทราบข้อกล่าวหาและเข้าใจดีโดยตลอดแล้ว ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา จึงเป็นการแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดให้จำเลยทราบแล้ว การสอบสวนของพนักงานสอบสวนชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 134 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 428

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 428/2567

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 83

แม้จะไม่มีพยานเห็นขณะจำเลยร่วมกับ บ. ยกถังสแตนเลสของโจทก์ร่วมขึ้นรถกระบะ แต่จากพฤติการณ์ที่จำเลยและ บ. ร่วมนั่งมาในรถกระบะคันเดียวกันโดยขาออกจากไร่มีถังดังกล่าวบรรทุกอยู่ที่กระบะท้าย ครั้นเมื่อกลับเข้ามาในไร่พร้อมกันกลับไม่มีถังดังกล่าวบรรทุกกลับมาด้วย บ่งชี้ว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกับ บ. เป็นคนร้ายลักเอาถังสแตนเลสของโจทก์ร่วมไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 220

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 220/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 4, 1349

ทางจำเป็นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 เป็นการจำกัดหรือลิดรอนอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ที่ดินของผู้อื่น จึงต้องแปลความโดยเคร่งครัด

แม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ยังคงมีสภาพเป็นทางสาธารณะ แม้การสัญจรจะไม่สะดวกและไม่สอดคล้องกับความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองเท่าการสัญจรทางบกก็ไม่ทำให้สิ้นสภาพเป็นทางสาธารณะไป ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยทั้งสี่จึงไม่เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 131

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 131/2567

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 27 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ม. 4

การร้องขอให้เพิกถอนการพิจารณาคดีที่ผิดระเบียบ คู่ความฝ่ายที่เสียหายชอบที่จะยกขึ้นกล่าวซึ่งข้อค้านเรื่องผิดระเบียบนั้นภายในแปดวันนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องลงวันที่ 28 มิถุนายน 2564 ว่า กระบวนพิจารณาของศาลล่างตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2562 ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะทนายความของโจทก์ถูกลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความไปแล้วตั้งแต่วันดังกล่าวนั้น แต่ปรากฏจากคำร้องของจำเลยที่ 3 ว่า จำเลยที่ 3 ได้ยื่นขอตรวจสอบประวัติทนายความต่อสภาทนายความได้ความว่า ซ. เคยเป็นทนายความ ประเภทตลอดชีพ ตามบันทึกการตรวจสอบประวัติทนายความ ลงวันที่ 25 มีนาคม 2564 อันแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 3 ได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างในเรื่องผิดระเบียบอย่างช้าในวันระบุในเอกสารดังกล่าวแล้ว การที่จำเลยที่ 3 เพิ่งยื่นคำร้องในวันที่ 28 มิถุนายน 2564 จึงล่วงเลยกำหนดเวลาแปดวันนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้นตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 3 จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 52

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 52/2567

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 151 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 158 (5)

ฟ้องโจทก์ที่บรรยายว่า จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะตะเภา มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาและอนุมัติเบิกจ่ายเงินในการจัดซื้อจัดจ้างโครงการส่งเสริมอนุรักษ์ประเพณีขึ้นธาตุเดือนเก้า (เหนือ) ปี 2558 ในงบประมาณ 390,000 บาท …เป็นฟ้องที่เข้าใจได้แล้วว่าจำเลยที่ 1 มีหน้าที่โดยตรงในการจัดการเงินที่เป็นงบประมาณซึ่งเป็นทรัพย์ขององค์การบริหารส่วนตำบลเกาะตะเภาเพื่อจัดทำโครงการส่งเสริมอนุรักษ์ประเพณีขึ้นธาตุเดือนเก้า (เหนือ) ปี 2558 อันเป็นองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 151 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 45

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 45/2567

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 352, 356 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 213, 225

จำเลยที่ 1 ลูกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานขายสินค้ามีหน้าที่เบิกสินค้าโจทก์ไปจากคลังสินค้าเพื่อนำไปเร่ขายให้แก่ร้านค้าตามราคาที่โจทก์เป็นผู้กำหนด เมื่อจำเลยที่ 1 ขายสินค้าได้เท่าใดในแต่ละวัน จะต้องนำเงินค่าสินค้ามาส่งมอบให้แก่โจทก์ และส่งคืนสินค้าที่เหลือกลับเข้าคลังสินค้า การที่จำเลยที่ 1 เบิกสินค้าของโจทก์ออกไปจากคลังสินค้า โจทก์ได้ส่งมอบการครอบครองสินค้าให้แก่จำเลยที่ 1 ไปเป็นการเด็ดขาดแล้ว หาใช่เป็นการมอบการครอบครองไว้ชั่วคราวไม่

การที่จำเลยที่ 1 นำสินค้าของโจทก์บางส่วนที่เบิกมาในแต่ละครั้งไปขายแต่ไม่ส่งมอบเงินค่าสินค้าที่ขายได้ให้แก่โจทก์กลับนำเงินดังกล่าวไปแบ่งปันให้แก่จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 ซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์ด้วยกัน โดยจำเลยเหล่านั้นมีหน้าที่ลงรายการในเอกสารและบันทึกข้อมูลในระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้ปรากฏว่าสินค้าที่จำเลยที่ 1 นำไปขายนั้นได้ส่งคืนกลับเข้าคลังสินค้าโดยถูกต้องครบถ้วนแล้ว เพื่อมิให้โจทก์ทราบว่ามีการขายสินค้าของโจทก์แล้วแต่ไม่มีการส่งมอบเงินค่าสินค้าให้แก่โจทก์ จึงเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 เป็นตัวการแบ่งหน้าที่กันทำในการเบียดบังเงินที่ได้จากการขายสินค้าไปเป็นของจำเลยดังกล่าวโดยทุจริต อันเป็นความผิดฐานร่วมกันยักยอกทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 352 วรรคแรก หาใช่เป็นความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างไม่

เมื่อคดีโจทก์เป็นเรื่องของการกระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์ซึ่ง ป.อ. มาตรา 356 บัญญัติว่าเป็นความผิดอันยอมความได้ โจทก์มิได้ร้องทุกข์ภายในสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด คดีโจทก์จึงขาดอายุความอันเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225

« »
ติดต่อเราทาง LINE