คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 633/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 2 (4), 216
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์โดยอาศัยสิทธิตามคำฟ้องของพนักงานอัยการ กรณีจึงไม่อาจฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นนอกเหนือจากคำฟ้องได้ เมื่อฟ้องโจทก์ระบุเพียงว่าเป็นการกระทำต่อทรัพย์มรดกของผู้ตาย มิได้กล่าวอ้างว่ากระทำต่อทรัพย์มรดกของบิดาผู้ร้องที่ผู้ตายครอบครองแทน ดังนั้น ที่ผู้ร้องฎีกาอ้างว่าทรัพย์มรดกของผู้ตายมีส่วนของบิดาผู้ร้องรวมอยู่ด้วย และผู้ร้องเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับทรัพย์มรดกในส่วนของบิดาจึงเป็นการนำข้อเท็จจริงซึ่งมิใช่การกระทำทั้งหลายที่โจทก์อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดและเป็นข้อที่มิได้กล่าวมาในฟ้องมาขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัย ฎีกาของผู้ร้องในข้อนี้จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง
ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาถึงที่สุดวินิจฉัยว่าผู้ตายทำพินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับโดยแสดงเจตนาไว้ชัดแจ้ง ด้วยการระบุตัวผู้ร้องเป็นทายาทผู้ถูกตัดมิให้รับมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1608 วรรคสอง คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันผู้ร้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตาย การที่จำเลยจะใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้ตายโอนเงินโดยมิชอบหรือลักทรัพย์ของผู้มีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตายหรือไม่ ย่อมไม่ทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหาย ผู้ร้องจึงไม่ใช่ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) และไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ตามมาตรา 30
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (14), 91, 269/5, 334 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 3, 7 ให้จำเลยคืนเงิน 43,280,000 บาท แก่ผู้มีสิทธิได้รับมรดกตามกฎหมายของนางพนิตนาฏ ผู้เสียหายที่ 3
ระหว่างพิจารณา นางชุติกาญจน์ บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางพนิตนาฏ ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้เสียหายและมีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์หรือไม่ โดยผู้ร้องฎีกาว่า ทรัพย์มรดกของนางพนิตนาฏผู้ตายมีส่วนของนายวิทยาบิดาผู้ร้องรวมอยู่ด้วย ผู้ร้องจึงเป็นผู้เสียหายและมีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์นั้น เห็นว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ว่า ผู้ร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ โดยขอถือเอาคำฟ้องและพยานหลักฐานทั้งปวงเป็นพยานหลักฐานของผู้ร้อง เท่ากับว่าผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์โดยอาศัยสิทธิตามคำฟ้องของพนักงานอัยการ กรณีจึงไม่อาจฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นนอกเหนือจากคำฟ้องได้ เมื่อคดีนี้ ฟ้องโจทก์ระบุเพียงว่าเป็นการกระทำต่อทรัพย์มรดกของผู้ตาย มิได้กล่าวอ้างว่ากระทำต่อทรัพย์มรดกของบิดาผู้ร้องที่ผู้ตายครอบครองแทน ดังนั้น ที่ผู้ร้องฎีกาอ้างว่าทรัพย์มรดกของผู้ตายมีส่วนของบิดาผู้ร้องรวมอยู่ด้วย และผู้ร้องเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับทรัพย์มรดกในส่วนของบิดาจึงเป็นการนำข้อเท็จจริงซึ่งมิใช่การกระทำทั้งหลายที่โจทก์อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดและเป็นข้อที่มิได้กล่าวมาในฟ้องมาขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัย ฎีกาของผู้ร้องในข้อนี้จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยเพียงว่า ผู้ร้องซึ่งเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย เป็นผู้เสียหายและมีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์หรือไม่ เห็นว่า สำหรับความผิดข้อหาเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ฟ้องโจทก์ระบุเพียงว่า บริษัทหลักทรัพย์ อ. เป็นผู้เสียหาย ผู้ร้องในฐานะบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายจึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ส่วนกรณีความผิดข้อหาใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบและข้อหาลักทรัพย์ ฟ้องโจทก์ระบุว่า ผู้มีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตายเป็นผู้เสียหาย ดังนี้ เมื่อคู่ความทุกฝ่ายรับกันว่า ก่อนคดีนี้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาถึงที่สุดวินิจฉัยว่าผู้ตายทำพินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับโดยแสดงเจตนาไว้ชัดแจ้ง ด้วยการระบุตัวผู้ร้องเป็นทายาทผู้ถูกตัดมิให้รับมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1608 วรรคสอง คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตาย การที่จำเลยจะใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้ตายโอนเงินโดยมิชอบหรือลักทรัพย์ของผู้มีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตายหรือไม่ ย่อมไม่ทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหาย ผู้ร้องจึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) และไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ตามมาตรา 30 ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องกันมาว่า ผู้ร้องไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ และพิพากษายกคำร้องของผู้ร้องมานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.3057/2566
แหล่งที่มา หนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา


