สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2567

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2567

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 96, 341 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 39 (6) พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ม. 4

โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันฉ้อโกงโจทก์โดยการหลอกลวงแสดงข้อความอันเป็นเท็จให้โจทก์โอนเงิน 1,000,000 บาทให้จำเลยที่ 1 โดยโอนเข้าบัญชีธนาคารของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 341 อันเป็นความผิดอันยอมความได้ ซึ่ง ป.อ. มาตรา 96 บัญญัติว่า "…ในกรณีความผิดอันยอมความได้ ถ้าผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ภายในสามเดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด เป็นอันขาดอายุความ" คดีนี้โจทก์ในฐานะผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องนำสืบให้ได้ความว่าการที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเองนี้เป็นการฟ้องภายในอายุความดังกล่าว แม้จะเป็นชั้นไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ก็มีหน้าที่นำสืบให้ได้ความเช่นนั้น คดีนี้โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2565 หลังจากวันเกิดเหตุคือวันที่ 21 สิงหาคม 2563 นานกว่า 2 ปี โดยโจทก์อ้างว่าเพิ่งรู้เรื่องความผิดเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2565 แต่คดีกลับได้ความว่า หลังจากวันที่ 21 กันยายน 2563 อันเป็นวันครบกำหนดที่จะต้องชำระเงินที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าจะนำไปใช้ประกันตัว ร. พวกของจำเลยทั้งสองคืน โจทก์ได้พูดคุยติดต่อทวงถามจำเลยที่ 1 มาโดยตลอด แต่จำเลยที่ 1 บ่ายเบี่ยงเรื่อยมาจนกระทั่งวันที่ 16 พฤษภาคม 2565 เมื่อโจทก์ทวงถามเงินจาก ร. โดยตรงผ่านแอปพลิเคชั่น WHATSAPP ร. แจ้งว่าไม่สามารถคืนเงินเพราะบัญชีถูกระงับ โดย ร. ไม่เคยนำหลักฐานเกี่ยวกับการถูกระงับบัญชีมาให้โจทก์ดู พฤติการณ์ถือว่าโจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดอย่างช้าที่สุดตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2565 แล้ว เพราะเป็นวันที่โจทก์ทราบแน่ชัดแล้วว่าฝ่ายผู้กระทำความผิดปฏิเสธไม่ประสงค์จะคืนเงินให้โจทก์ ส่วนวันที่ 26 สิงหาคม 2565 ที่โจทก์ส่งข้อความสอบถามถึงหลักฐานที่ ร. ถูกดำเนินคดี และหลักฐานการรับเงินแต่ ร. ไม่ตอบแต่กลับตอบคำถามเรื่องอื่นนั้นเป็นการประสงค์จะแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อใช้ยันจำเลยที่ 1 มากกว่าจะฟังว่าโจทก์เพิ่งรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด เมื่อนับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2565 ถึงวันที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจึงเกินกว่าสามเดือน ดังนั้น ไม่ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองกับพวกจะเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ก็ไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งสองได้เพราะคดีขาดอายุความตาม ป.อ. มาตรา 96 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (6) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น

อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันฉ้อโกงโจทก์โดยการหลอกลวงแสดงข้อความอันเป็นเท็จให้โจทก์โอนเงิน 1,000,000 บาทให้จำเลยที่ 1 โดยโอนเข้าบัญชีธนาคารของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 อันเป็นความผิดอันยอมความได้ ซึ่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 บัญญัติว่า …ในกรณีความผิดอันยอมความได้ถ้าผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ภายในสามเดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดเป็นอันขาดอายุความ คดีนี้โจทก์ในฐานะผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องนำสืบให้ได้ความว่าการที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเองนี้เป็นการฟ้องภายในอายุความดังกล่าว แม้จะเป็นชั้นไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ก็มีหน้าที่นำสืบให้ได้ความเช่นนั้น คดีนี้โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2565 หลังจากวันเกิดเหตุคือวันที่ 21 สิงหาคม 2563 นานกว่า 2 ปี โดยโจทก์อ้างว่าเพิ่งรู้เรื่องความผิดเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2565 แต่คดีกลับได้ความว่า หลังจากวันที่ 21 กันยายน 2563 อันเป็นวันครบกำหนดที่จะต้องชำระเงินที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าจะนำไปใช้ประกันตัวนางราเชล พวกของจำเลยทั้งสองคืน โจทก์ได้พูดคุยติดต่อทวงถามจำเลยที่ 1 มาโดยตลอด แต่จำเลยที่ 1 บ่ายเบี่ยงเรื่อยมาจนกระทั่งวันที่ 16 พฤษภาคม 2565 เมื่อโจทก์ทวงถามเงินจากนางราเชลโดยตรงผ่านแอปพลิเคชั่น WHATSAPP นางราเชลจึงแจ้งว่าไม่สามารถคืนเงินเพราะบัญชีถูกระงับโดยโจทก์เบิกความว่านางราเชลไม่เคยนำหลักฐานเกี่ยวกับการถูกระงับบัญชีมาให้โจทก์ดู ดังนี้ เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ที่ฝ่ายผู้กระทำความผิดอ้างต่อโจทก์โดยปราศจากหลักฐานมาแสดงพฤติการณ์น่าเชื่อว่าโจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดอย่างช้าที่สุดตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2565 แล้ว เพราะเป็นวันที่โจทก์ทราบแน่ชัดแล้วว่าฝ่ายผู้กระทำความผิดปฏิเสธไม่ประสงค์จะคืนเงินให้โจทก์ ส่วนวันที่ 26 สิงหาคม 2565 ที่โจทก์ส่งข้อความสอบถามถึงหลักฐานที่นางราเชลถูกดำเนินคดี และหลักฐานการรับเงินแต่นางราเชลไม่ตอบแต่กลับตอบคำถามเรื่องอื่นนั้นก็น่าจะเป็นเพราะโจทก์รู้จักสนิทสนมและเชื่อถือจำเลยที่ 1 จึงประสงค์จะแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อใช้ยันจำเลยที่ 1 มากกว่าจะฟังว่าโจทก์เพิ่งรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด เมื่อนับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2565 ถึงวันที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจึงเกินกว่าสามเดือน ดังนั้น ไม่ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองกับพวกจะเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ก็ไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งสองได้เพราะคดีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (6) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกฟ้องมานั้น ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.4428/2566

แหล่งที่มา หนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE