สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 45/2567

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 45/2567

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 352, 356 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 213, 225

จำเลยที่ 1 ลูกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานขายสินค้ามีหน้าที่เบิกสินค้าโจทก์ไปจากคลังสินค้าเพื่อนำไปเร่ขายให้แก่ร้านค้าตามราคาที่โจทก์เป็นผู้กำหนด เมื่อจำเลยที่ 1 ขายสินค้าได้เท่าใดในแต่ละวัน จะต้องนำเงินค่าสินค้ามาส่งมอบให้แก่โจทก์ และส่งคืนสินค้าที่เหลือกลับเข้าคลังสินค้า การที่จำเลยที่ 1 เบิกสินค้าของโจทก์ออกไปจากคลังสินค้า โจทก์ได้ส่งมอบการครอบครองสินค้าให้แก่จำเลยที่ 1 ไปเป็นการเด็ดขาดแล้ว หาใช่เป็นการมอบการครอบครองไว้ชั่วคราวไม่

การที่จำเลยที่ 1 นำสินค้าของโจทก์บางส่วนที่เบิกมาในแต่ละครั้งไปขายแต่ไม่ส่งมอบเงินค่าสินค้าที่ขายได้ให้แก่โจทก์กลับนำเงินดังกล่าวไปแบ่งปันให้แก่จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 ซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์ด้วยกัน โดยจำเลยเหล่านั้นมีหน้าที่ลงรายการในเอกสารและบันทึกข้อมูลในระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้ปรากฏว่าสินค้าที่จำเลยที่ 1 นำไปขายนั้นได้ส่งคืนกลับเข้าคลังสินค้าโดยถูกต้องครบถ้วนแล้ว เพื่อมิให้โจทก์ทราบว่ามีการขายสินค้าของโจทก์แล้วแต่ไม่มีการส่งมอบเงินค่าสินค้าให้แก่โจทก์ จึงเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 เป็นตัวการแบ่งหน้าที่กันทำในการเบียดบังเงินที่ได้จากการขายสินค้าไปเป็นของจำเลยดังกล่าวโดยทุจริต อันเป็นความผิดฐานร่วมกันยักยอกทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 352 วรรคแรก หาใช่เป็นความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างไม่

เมื่อคดีโจทก์เป็นเรื่องของการกระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์ซึ่ง ป.อ. มาตรา 356 บัญญัติว่าเป็นความผิดอันยอมความได้ โจทก์มิได้ร้องทุกข์ภายในสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด คดีโจทก์จึงขาดอายุความอันเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งแปดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 334, 335 (11)

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) (11) วรรคสอง ประกอบมาตรา 83

จำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 8 ให้การปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 2 หลบหนีศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 ไว้ชั่วคราว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 และที่ 7 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) (11) วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 จำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 และที่ 7 คนละ 5 ปี ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 6 และที่ 8

จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 และที่ 7 อุทธรณ์

ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 4 โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 7

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 และที่ 7 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (11) วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 และให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 เป็นเงินคนละ 40,000 บาท อีกสถานหนึ่ง โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี และคุมความประพฤติจำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 ไว้ 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ให้จำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 ฟัง โดยให้จำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ภายในกำหนด 1 ปี ตามกำหนดระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร ให้จำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 ละเว้นการประพฤติใดอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิดในทำนองเดียวกันอีก กับให้จำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรมีกำหนด 20 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 4 ที่ 5 ที่ 7 และสั่งใหม่เป็นว่า คำร้องขอถอนฟ้องให้ยก

จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 เสียก่อนว่า คดีตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 กระทำความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือร่วมกันยักยอกทรัพย์ซึ่งถือว่าคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว ข้อนี้ โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 1 ลูกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานขายสินค้ามีหน้าที่เบิกสินค้าโจทก์ เช่น นมสด นมข้นหวาน ชาเขียว และชาแดง เป็นต้น ไปจากคลังสินค้าเพื่อนำไปเร่ขายให้แก่ร้านค้ารถเข็นขายเครื่องดื่ม และร้านอาหารต่าง ๆ ตามราคาที่โจทก์เป็นผู้กำหนด โดยเมื่อจำเลยที่ 1 ขายสินค้าได้เท่าใดในแต่ละวัน จะต้องนำเงินค่าสินค้ามาส่งมอบให้แก่โจทก์ และส่งคืนสินค้าที่เหลือกลับเข้าคลังสินค้า ดังนี้ ย่อมเห็นได้ว่าการที่จำเลยที่ 1 เบิกสินค้าของโจทก์ออกไปจากคลังสินค้า โจทก์ได้ส่งมอบการครอบครองสินค้าให้แก่จำเลยที่ 1 ไปเป็นการเด็ดขาดแล้ว หาใช่เป็นการมอบการครอบครองไว้ชั่วคราวดังที่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยไม่ เนื่องจากจำเลยที่ 1 ซึ่งถือได้ว่าเป็นตัวแทนของโจทก์มีดุลพินิจในการขายสินค้าของโจทก์ให้แก่ร้านค้าใด ๆ ก็ได้โดยอิสระตามราคาที่โจทก์กำหนด เพียงแต่หากขายสินค้าไม่หมดก็นำกลับมาคืนเท่านั้น และเมื่อจำเลยที่ 1 ได้รับเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อก็ถือว่ารับมอบเงินดังกล่าวไว้ในครอบครองในฐานะตัวแทนของโจทก์และมีหน้าที่ส่งมอบให้แก่โจทก์ ฉะนั้นการที่จำเลยที่ 1 นำสินค้าของโจทก์บางส่วนที่เบิกมาในแต่ละครั้งดังปรากฏรายการตามฟ้องไปขายแต่ไม่ส่งมอบเงินค่าสินค้าที่ขายได้ให้แก่โจทก์กลับนำเงินดังกล่าวไปแบ่งปันให้แก่จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 ซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์ด้วยกัน โดยจำเลยเหล่านั้นมีหน้าที่ลงรายการในเอกสารและบันทึกข้อมูลในระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้ปรากฏว่าสินค้าที่จำเลยที่ 1 นำไปขายนั้นได้ส่งคืนกลับเข้าคลังสินค้าโดยถูกต้องครบถ้วนแล้ว เพื่อมิให้โจทก์ทราบว่ามีการขายสินค้าของโจทก์แล้วแต่ไม่มีการส่งมอบเงินค่าสินค้าดังกล่าวให้แก่โจทก์ จึงเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 เป็นตัวการแบ่งหน้าที่กันทำในการเบียดบังเงินที่ได้จากการขายสินค้าดังกล่าวไปเป็นของจำเลยที่ 1 กับจำเลยดังกล่าวโดยทุจริต อันเป็นความผิดฐานร่วมกันยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก หาใช่เป็นความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย และแม้ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาดังกล่าวจะแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งแปดดังกล่าวร่วมกันลักสินค้าของโจทก์หลายรายการตามฟ้องไป แต่สินค้าของโจทก์ดังกล่าวมีไว้เพื่อขายให้แก่ลูกค้า เมื่อขายแล้วก็เปลี่ยนสภาพเป็นเงินซึ่งย่อมตกได้แก่โจทก์และเงินที่จำเลยที่ 1 กับจำเลยดังกล่าวร่วมกันยักยอกไปก็เป็นเงินที่ได้มาจากการนำสินค้าตามฟ้องของโจทก์ไปขาย กรณีจึงถือได้ว่า ข้อแตกต่างดังกล่าวเป็นเพียงรายละเอียดเท่านั้นมิใช่เป็นข้อแตกต่างในข้อสาระสำคัญ ทั้งมิใช่เรื่องที่เกินคำขอหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ลงโทษและจำเลยที่ 1 กับจำเลยดังกล่าวก็มิได้หลงต่อสู้ด้วย ดังนี้ ศาลจะลงโทษตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสองและวรรคสาม แต่อย่างไรก็ดี เมื่อคดีโจทก์เป็นเรื่องของการกระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์ซึ่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 356 บัญญัติว่าเป็นความผิดอันยอมความได้ โจทก์จึงต้องร้องทุกข์ภายในสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด มิฉะนั้นเป็นอันขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 ได้ความว่าวันที่ 17 และ 18 กันยายน 2560 โจทก์บันทึกภาพและเสียงคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 ในเรื่องที่มีการนำสินค้าของโจทก์ไปขายแต่มิได้ส่งมอบเงินค่าสินค้าที่ขายได้ให้แก่โจทก์ ถือได้ว่าโจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดอย่างแน่ชัดแล้วในวันดังกล่าว เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้ในวันที่ 1 สิงหาคม 2561 คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 และที่ 7 เป็นความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างและคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ฟังขึ้น และการที่คดีโจทก์ขาดอายุความเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225 และกรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ในประการอื่นอีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 และที่ 7 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.1724/2566

แหล่งที่มา หนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE