คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 429/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 134, 158 (5)
การกระทำความผิดฐานรับของโจรผู้กระทำไม่จำต้องรับทรัพย์ของกลางไว้ในความครอบครองของตนเอง เพียงแต่ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใดซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดก็ครบองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจรแล้ว แม้โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยครอบครองอาวุธปืนของกลางด้วยตนเองโดยมิชอบด้วยกฎหมายในความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตก่อนแล้วจึงช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใดซึ่งอาวุธปืนของกลางอันเป็นความผิดฐานรับของโจรก็ไม่ทำให้คำฟ้องขัดแย้งกัน ส่วนการที่โจทก์ไม่ได้บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับอาวุธปืนของกลางในคำฟ้อง โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณาว่าอาวุธปืนของกลางเป็นอาวุธปืนยี่ห้อใด หมายเลขทะเบียนใด และได้มาอย่างใด ฟ้องของโจทก์ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แล้ว
แม้ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาพนักงานสอบสวนเพียงแต่แจ้งข้อกล่าวหาแก่จำเลยว่ากระทำความผิดฐานรับของโจร โดยไม่ปรากฏว่ามีการแจ้งถึงข้อเท็จจริงทั้งหลายพร้อมรายละเอียดที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิด แต่ตามบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา (เพิ่มเติม) ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนได้แจ้งพฤติการณ์และรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำความผิดของจำเลย โดยผู้ต้องหาทราบข้อกล่าวหาและเข้าใจดีโดยตลอดแล้ว ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา จึงเป็นการแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดให้จำเลยทราบแล้ว การสอบสวนของพนักงานสอบสวนชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 134 วรรคแรก
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 72 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 357
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก จำคุก 1 ปี ยกฟ้องข้อหามีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้ใบรับอนุญาต
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ในส่วนที่จำเลยไม่ได้ฎีกาโต้แย้งว่า จำเลยกับดาบตำรวจสันติชัย จำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ย.71/2564 ของศาลชั้นต้น และนายสมชาย รู้จักกันมาตั้งแต่ปี 2563 ตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยกับนายสมชายช่วยติดต่อหาผู้รับจำนำอาวุธปืนให้แก่ดาบตำรวจสันติชัย หลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจยึดอาวุธปืนของผู้เสียหายคืนได้ 7 กระบอก สำหรับความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ไม่อุทธรณ์จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ฟ้องของโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยครอบครองอาวุธปืนของกลางด้วยตนเองโดยมิชอบด้วยกฎหมายก่อนถึงจะช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใดซึ่งอาวุธปืนของกลางอันเป็นความผิดฐานรับของโจร จึงเป็นคำฟ้องที่ขัดแย้งกัน และโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าอาวุธปืนของกลาง 6 กระบอก เป็นอาวุธปืนยี่ห้อใด หมายเลขทะเบียนใด ได้มาอย่างใด จึงเป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุมนั้น เห็นว่า การกระทำความผิดฐานรับของโจรผู้กระทำไม่จำต้องรับทรัพย์ของกลางไว้ในความครอบครองของตนเอง เพียงแต่ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใดซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดก็ครบองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจรแล้ว แม้โจทก์มิได้บรรยายฟ้องความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตก่อนความผิดฐานรับของโจรก็ไม่ทำให้คำฟ้องขัดแย้งกัน ส่วนการที่โจทก์ไม่ได้บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับอาวุธปืนของกลางทั้ง 6 กระบอก ในคำฟ้อง โจทก์ก็สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณาว่าอาวุธปืนของกลางทั้ง 6 กระบอก เป็นอาวุธปืนยี่ห้อใด หมายเลขทะเบียนใด และได้มาอย่างใด ฟ้องของโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมนั้น จึงชอบแล้ว
มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การสอบสวนของพนักงานสอบสวนชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 วรรคแรก หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนระบุเฉพาะข้อกล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจร แต่ไม่ได้ระบุข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำผิดของจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 วรรคแรก นั้น เห็นว่า แม้ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนเพียงแต่แจ้งข้อกล่าวหาแก่จำเลยว่ากระทำความผิดฐานรับของโจร โดยไม่ปรากฏว่ามีการแจ้งถึงข้อเท็จจริงทั้งหลายพร้อมรายละเอียดที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิด แต่ตามบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา (เพิ่มเติม) ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนได้แจ้งพฤติการณ์และรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำความผิดของจำเลยว่า "…จากการสอบสวนดาบตำรวจสันติชัย ผู้ต้องหาที่ 1 และนายสมชาย ผู้ต้องหาที่ 3 ให้การสอดคล้องต้องกันว่าจำเลยนำอาวุธปืนสั้นจำนวน 2 กระบอก ไปฝากจำนำกับผู้ต้องหาที่ 3" ผู้ต้องหาทราบข้อกล่าวหาและเข้าใจดีโดยตลอดแล้ว ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา จึงเป็นการแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดให้จำเลยทราบแล้ว การสอบสวนของพนักงานสอบสวนชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 วรรคแรก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยว่าการสอบสวนชอบด้วยกฎหมายนั้นจึงชอบแล้ว
มีปัญหาข้อเท็จจริงต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจรตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีเพียงคำซัดทอดของดาบตำรวจสันติชัย นายสมชาย นายธนากร และนายนิพนธ์ ผู้ร่วมกระทำความผิดซึ่งเป็นพยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย ไม่เพียงพอรับฟังลงโทษจำเลยนั้น ได้ความจากนายสมชายกับนายนิพนธ์พยานโจทก์และพยานจำเลยกับนายธนากรพยานโจทก์ตรงกันว่า ก่อนเกิดเหตุนายสมชายเคยพาจำเลยนำรถกระบะมาจำนำแก่นายนิพนธ์ 1 คัน และนายธนากร 1 คัน หลังจากไถ่รถกระบะคืนไปแล้ว ตามวันเวลาเกิดเหตุ นายสมชายพาจำเลยนำอาวุธปืนพกสั้น ยี่ห้อซิกซาวเออร์ หมายเลขประจำปืน ที 60135311 ไปจำนำแก่นายธนากร และอาวุธปืนพกสั้น ยี่ห้อซิกซาวเออร์ หมายเลขประจำปืนที 60138641 ไปจำนำแก่นายนิพนธ์ ขณะที่รับจำนำอาวุธปืนดังกล่าวสังเกตเห็นมีสกอตเทปสีดำปิดอยู่บริเวณจุดเล็งปืนหรือหน้าศูนย์ เห็นว่า นายสมชายรู้จักจำเลยมาก่อนเกิดเหตุและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกัน ส่วนนายธนากรกับนายนิพนธ์รู้จักจำเลยภายหลังจากนายสมชายพาจำเลยนำรถกระบะมาจำนำและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยเช่นกัน จึงเชื่อว่าบุคคลทั้งสามเบิกความไปตามความเป็นจริงโดยมิได้ปรักปรำจำเลย ยิ่งกว่านี้โจทก์มีร้อยตำรวจโทภัทรพงศ์ พนักงานสอบสวนเบิกความประกอบแผนผังการโอนเงินระหว่างนายสมชาย ดาบตำรวจสันติชัย จำเลย นางสาวแพรว คนรักของนายนิพนธ์ และนายสมบัติ โดยมีนายสมชายเป็นคนกลาง หลังจากนั้นได้ตรวจสอบบัญชีเงินฝากของนายสมชาย ดาบตำรวจสันติชัยและจำเลยพบว่ามีรายการโอนเงินเข้าออกระหว่างกันหลายรายการ แม้นายสมชาย นายธนากรกับนายนิพนธ์เป็นผู้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลย นายสมชายถูกกันเป็นพยาน ส่วนนายธนากรกับนายนิพนธ์ถูกดำเนินคดีในข้อหารับของโจร ซึ่งคำเบิกความของบุคคลทั้งสามเข้าลักษณะเป็นคำซัดทอดของผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดด้วยกันก็ตาม แต่ก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติไม่ให้รับฟังคำซัดทอดของผู้ต้องหาว่ากระทำผิดด้วยกัน การที่จะเชื่อคำพยานได้หรือไม่นั้นย่อมแล้วแต่เหตุผลที่พยานเบิกความ เมื่อพิจารณาประกอบกับข้อเท็จจริงที่ได้ความจากทางพิจารณาว่า ตั้งแต่ปี 2563 ที่จำเลยรู้จักกับนายสมชายและจำเลยแนะนำดาบตำรวจสันติชัยให้รู้จักกับนายสมชายเรื่อยมาจนกระทั่งเกิดเหตุคดีนี้ มีรายการโอนเงินเข้าออกระหว่างบัญชีของดาบตำรวจสันติชัย จำเลยและนายสมชายหลายรายการ แม้จำเลยอ้างตนเบิกความเป็นพยานว่า จำเลยมีความสนิทสนมกับนายสมชายและดาบตำรวจสันติชัย มีการเล่นการพนันออนไลน์ด้วยกัน ทำให้จำเลย นายสมชายและดาบตำรวจสันติชัยมีการหยิบยืมเงินกัน หากดาบตำรวจสันติชัยเงินหมดก็จะยืมเงินจากจำเลย บางครั้งจำเลยก็ไปยืมเงินจากนายสมชายเป็นการยืมวนกันไปมา แต่เมื่อจำเลยไม่ได้นำสืบให้เห็นว่ารายการโอนเงิน เป็นการโอนเงินกู้ยืมกันระหว่างจำเลย ดาบตำรวจสันติชัยและนายสมชาย จึงเลื่อนลอยไม่น่าเชื่อถือ และที่จำเลยเบิกความว่า จำเลยไม่ได้เห็นอาวุธปืนที่นำไปจำนำแก่นายนิพนธ์เนื่องจากนายสมชายใส่ไว้ในกระเป๋าก็แตกต่างจากคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ทำเป็นหนังสือว่า "…และทางดาบตำรวจสันติชัยก็เดินมาหาข้าฯ แล้วนำเอาอาวุธปืนพกสั้นยี่ห้อซิกซาวเออร์โดยเอาสกอตเทปสีดำปิดทับตรงคันรั้งด้านบนเอาไว้ แต่ข้าฯ ไม่ทันสังเกตแต่มาทราบภายหลังว่ามีการเอาเทปสีดำปิดทับตราโล่เอาไว้…" จำเลยรับราชการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจตั้งแต่ปี 2555 จนกระทั่งเกิดเหตุคดีนี้เมื่อปี 2564 เป็นระยะเวลานานเกือบ 10 ปี จำเลยย่อมต้องทราบดีว่าอาวุธปืนที่ใช้ในราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องมีหมายเลขประจำปืนและมีตราโล่ประทับไว้ ที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่า ไม่ได้กระทำความผิดฐานรับของโจรเพราะไม่ทราบว่าอาวุธปืนของกลางเป็นอาวุธปืนที่ใช้ในราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและถูกดาบตำรวจสันติชัยลักมานั้น จึงเลื่อนลอยไม่น่าเชื่อถือเช่นกัน พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยทราบว่าอาวุธปืนของกลางที่ร่วมกับนายสมชายนำไปจำนำแก่นายธนากรและนายนิพนธ์เป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดเข้าลักษณะลักทรัพย์ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานรับของโจร ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจร จึงชอบแล้ว
มีปัญหาข้อเท็จจริงต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า มีเหตุสมควรลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า จำเลยรับราชการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่ปฏิบัติงานตามกฎหมายเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง สมควรทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ประชาชน แต่กลับกระทำการละเมิดต่อกฎหมาย ซึ่งการกระทำความผิดของจำเลยดังกล่าวลำพังจำเลยเพียงคนเดียวไม่อาจทำได้ คงจะต้องมีผู้ร่วมกระทำผิดเป็นขบวนการโดยแบ่งหน้าที่กันทำเป็นขั้นเป็นตอนเพียงเพื่อประโยชน์ของตนเองกับพวกโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศชาติและประชาชนโดยส่วนรวม ทั้งความผิดฐานรับของโจรเป็นความผิดที่มีส่วนสนับสนุนให้เกิดอาชญากรรมอื่น ๆ ติดตามมาอีกมากมาย อันเป็นภัยต่อสุจริตชนและกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษและพิพากษาลงโทษจำเลยโดยไม่รอการลงโทษจำคุกจึงเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.3818/2566
แหล่งที่มา หนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา


