คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2522

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1510

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1510/2522

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1482เดิม, 1506เดิม ให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ.2519

สามีเอาที่ดินสินสมรสไปจำนองธนาคารเอาเงินไปปรนเปรอภริยาน้อยหนี้นี้ไม่เป็นหนี้ร่วมตามมาตรา 1482(1) ที่ใช้อยู่ในขณะนั้น

สามีแพ้คดีที่ภริยาฟ้องหย่าโดยเหตุที่สามีต้องรับผิดฝ่ายเดียว ภริยาไม่มีรายได้ สามีต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูตามฐานะของภริยา และความสามารถของสามี ตามมาตรา 1506, 1508 ซึ่งใช้อยู่ในขณะนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 167

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 167/2522

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 260

ศาลสั่งชั่วคราวห้ามจำเลยหลายอย่าง จำเลยฎีกาขอให้ยกเลิกคำสั่งระหว่างฎีกานี้โจทก์จำเลยยอมความกันในคดีเดิม มีหลายอย่างที่จำเลยต้องปฏิบัติตามยอม แต่โจทก์ไม่ได้ขอหมายบังคับคดีใน 15 วันคำสั่งห้ามชั่วคราวสิ้นผลตาม ม. 260(2) ศาลจำหน่ายคดีที่จำเลยฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1517

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1517/2522

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 208

ศาลพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีที่ขาดนัด จำเลยขอพิจารณาใหม่แสดงเหตุว่าจำเลยมีพยานหลักฐานว่าฟ้องโจทก์ไม่เป็นความจริงหลายประการเพียงเท่านี้ไม่พอเป็นคำคัดค้านคำตัดสินของศาลไม่ชอบด้วย มาตรา 208

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1516

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1516/2522

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 254

คดีพิพาทว่าจำเลยปิดทางสาธารณะ โจทก์เดือดร้อนนำรถเข้าออกไม่ได้ ไม่อาจใช้คลองแทนได้ จำเลยเสียหายเล็กน้อยซึ่งแก้ไขได้หากเปิดทางให้เดินระหว่างพิจารณา ศาลไม่เลิกคำสั่งที่ให้จำเลย เปิดทางจนกว่าคดีถึงที่สุด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1508

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1508/2522

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 197, 202, 208

คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยได้กล่าวถึงรายละเอียดที่จำเลยทั้งสองได้ขาดนัดพิจารณาและหากจำเลยทั้งสองไม่ขาดนัดก็มีทางชนะคดีโจทก์ได้เพราะมีโอกาสซักค้านและสืบพยานหักล้างพยานโจทก์ ไม่ได้กล่าวถึงข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาล ไม่มีข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย เหตุผลหรือหลักฐานที่แสดงในคำร้องว่าคำพิพากษาของศาลไม่ถูกต้องประการใด และหากพิจารณาใหม่แล้วศาลอาจพิพากษาให้ผิดแผกแตกต่างไปจากที่ได้พิพากษาไปแล้ว คำร้องขอของจำเลยจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งมาตรา 208 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1507

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1507/2522

พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2508 ม. 5, 21, 24

แม้โจทก์จะมีสัญชาติไทยเพราะเกิดในราชอาณาจักรไทยโดยมีบิดาเป็นคนต่างด้าวแต่โจทก์ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวซึ่งนายทะเบียนออกให้ตามพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าวพ.ศ.2479 มาตั้งแต่ พ.ศ.2489 และต่ออายุใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวติดต่อกันตลอดมา โจทก์จึงต้องเสียสัญชาติไทยตามมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2508

มาตรา 5 ซึ่งบัญญัติให้การเสียสัญชาติไทยมีผลต่อเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและให้มีผลเฉพาะตัวเท่านั้นเป็นบทบัญญัติในเรื่องผลของการเสียสัญชาติไทยว่ามีผลเมื่อใดเป็นคนละเรื่องกับการเสียสัญชาติไทยอันจะต้องพิจารณาตามมาตรา 21 เมื่อโจทก์ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนคนต่างด้าวแล้ว โจทก์จึงต้องเสียสัญชาติไทยไปตามมาตรา 21 แต่การเสียสัญชาติไทยของโจทก์จะมีผลต่อเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว

เมื่อโจทก์บรรลุนิติภาวะไปก่อนพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2508 ใช้บังคับมาตรา 24ย่อมใช้บังคับไม่ได้ในกรณีของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1487

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1487/2522

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 177

จำเลยให้การว่าการมอบอำนาจ (ให้ฟ้องคดี) ของโจทก์ไม่ถูกต้อง เพราะการมอบอำนาจไม่สมบูรณ์และไม่มีผลตามกฎหมาย มิได้ยกเหตุขึ้นกล่าวอ้างในคำให้การว่า เพราะเหตุใดการมอบอำนาจของโจทก์จึงไม่ถูกต้อง ไม่สมบูรณ์ และไม่มีผลตามกฎหมาย เป็นคำให้การแต่เพียงปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์เท่านั้น มิได้แสดงถึงเหตุแห่งการปฏิเสธไม่มีสิทธินำสืบถึงเหตุแห่งการนั้น จำเลยจึงไม่มีสิทธินำสืบในประเด็นที่ว่าตราที่ประทับในใบมอบอำนาจเป็นตราปลอม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1479

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1479/2522

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 45, 566

ขณะที่โจทก์ส่งคำบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าไปยังจำเลยที่บ้านเลขที่ 140/2 นั้น จำเลยย้ายไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 42 แล้ว แต่ปรากฏในสัญญาเช่าซึ่งจำเลยทำไว้กับเจ้าของเดิมระบุว่าอยู่บ้านเลขที่ 140/2. และจำเลยยังมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเลขที่ดังกล่าว ทั้งในชั้นพิจารณาจำเลยเบิกความรับว่าจำเลยยังคงมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 140/2 แต่หลังจากให้ผู้อื่นเช่าไปแล้ว ไม่เคยกลับไปอยู่อีกดังนี้ แสดงว่าจำเลยมีถิ่นที่อยู่หลายแห่งสับเปลี่ยนกันไป ถือได้ว่าทั้งบ้านเลขที่ 42 และ 140/2 เป็นภูมิลำเนาของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 45 การที่โจทก์บอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าไปที่บ้านเลขที่ 140/2 จึงชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1506

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1506/2522

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 18, 174

ค่าธรรมเนียมศาลที่ต้องเสียเมื่อยื่นคำฟ้องตามตาราง 1และตาราง 2 คิดตามกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะยื่นคำฟ้องเมื่อศาลเห็นว่าโจทก์ปิดแสตมป์ไม่ครบจำนวนก็สั่งให้โจทก์ปิดแสตมป์ให้ถูกต้องภายในเวลาที่กำหนด ถ้าไม่ทำตามก็ให้สั่งไม่รับคำคู่ความนั้น การที่ศาลสั่งให้ส่งสำเนาฟ้องและหมายเรียกจำเลยไปในคราวเดียวกับที่สั่งให้โจทก์ปิดแสตมป์ให้ครบ จึงเป็นการสั่งรับฟ้องก่อนปิดแสตมป์ครบ ไม่มีผลผูกพันคู่ความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1494

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1494/2522

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 46

เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาในข้อหาบุกรุก ลักทรัพย์และทำให้เสียทรัพย์ ศาลพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ จำเลยไม่มีเจตนาลักทรัพย์ที่พิพาทเป็นของจำเลย ถือไม่ได้ว่าจำเลยเจตนากระทำผิดฐานบุกรุกตามฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีกว่าจำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์ ขอให้ใช้ค่าเสียหาย ดังนี้ มูลคดีทางแพ่งที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยในคดีนี้ก็คือมูลคดีเดียวกับคดีที่โจทก์ได้ฟ้องร้องจำเลยในคดีอาญาดังกล่าวข้างต้น การวินิจฉัยคดีส่วนแพ่งจึงจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ได้ความในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 เมื่อข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาฟังเป็นยุติแล้วว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยฟ้องโจทก์ซึ่งอ้างสภาพแห่งข้อหาในมูลคดีเดียวกับคดีอาญาดังกล่าวจึงย่อมตกไป

« »
ติดต่อเราทาง LINE