คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2522
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1578/2522
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 36
ผู้เช่าซื้อรถยนต์ไม่ใช่เจ้าของ จึงร้องขอคืนรถยนต์ที่ศาลริบไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1571/2522
พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.2490 ม. 5, 32, 65, 69, 70 ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2518 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 192
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำการประมงโดยใช้เครื่องมือทำการประมงที่ต้องห้ามตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เรื่องกำหนดฤดูปลาทูมีไข่และห้ามมิให้ใช้เครื่องมือบางชนิดจับปลาทูและกำหนดขนาดตาของเครื่องมือบางชนิดในฤดูมีปลาทูขนาดเล็ก ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2518 ข้อ 3 แต่ในคำบรรยายฟ้องของโจทก์ปรากฏว่าเครื่องมือที่จำเลยใช้เป็นคนละประเภทกับเครื่องมือที่ระบุห้ามไว้ในประกาศข้อ 3 ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยใช้เครื่องมือตามที่ระบุห้ามไว้ตามประกาศดังกล่าวข้อ 3 ทำการประมงอันจะเป็นความผิดต่อกฎหมายที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ จึงลงโทษจำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1570/2522
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1300, 1367 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 86, 172, 243, 247
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ได้มอบให้จำเลยที่ 1 ครอบครองดูแลแทน จำเลยที่ 1 แอบไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทแล้วโอนขายให้จำเลยที่ 2 ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง และขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้นดังนี้ แม้คำฟ้องจะมิได้บรรยายว่า จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยไม่สุจริต แต่ถ้าได้ความว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยที่ 1 เป็นแต่เพียงครอบครองดูแลแทน ได้ไปขอออกน.ส.3 ลงชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของโดยไม่ชอบจริงตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ก็ไม่กลายเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท และจำเลยที่ 2 ผู้รับโอนก็ไม่มีสิทธิดีไปกว่าจำเลยที่ 1 แม้จะได้รับโอนที่ดินพิพาทไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน จำเลยที่ 2 ก็ไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจะอ้างความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 หาได้ไม่คดีจึงจำเป็นต้องดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยที่ 1 เพียงแต่ยึดถืออยู่ในฐานะผู้แทนโจทก์จริงดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องหรือไม่ ไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 333/2522
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 289 (4) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 226
เพียงแต่จำเลยมีสาเหตุโกรธผู้ตาย ถือไม่ได้ว่าฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเมื่อไม่ได้ความว่าวางแผนเตรียมการฆ่ามาก่อน
จำเลยถูกจับ ปฏิเสธต่อตำรวจว่าไม่ใช่ชื่อที่จำเลยใช้ ตำรวจค้นได้บัตรประจำตัว จำเลยจึงรับว่าชื่อดังในบัตร ศาลรับฟังส่อพิรุธของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 329/2522
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 686 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 271
คำพิพากษาตามยอมมีความว่า เมื่อโจทก์ไม่สามารถบังคับคดีจากจำเลยที่ 1 ได้ จำเลยที่ 2 ยอมชำระแทนภายใน 6 เดือนดังนี้ หมายความว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์ที่โจทก์จะยึดมาขายทอดตลาดได้โจทก์จึงจะยึดทรัพย์จำเลยที่ 2 ได้ โจทก์จึงยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1,2 พร้อมกันไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1551/2522
พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 ม. 112 ทวิ, 112 จัตวา, 112 เบญจ พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ.2482 ม. 19 ประมวลรัษฎากร ม. 78 นว พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 20) พ.ศ.2513 ม. 11
โจทก์ได้เสียภาษีอากรสำหรับสินค้าปลากระป๋องเที่ยวที่ 8 ตามใบขนสินค้าขาเข้า คืออากรขาเข้า ภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาล รวม 227,046.41 บาท ให้กรมศุลกากรจำเลยไว้แล้วสินค้าปลากระป๋องเที่ยวนี้โจทก์ได้ส่งกลับออกไปจำหน่ายยังประเทศสิงคโปร์ทั้งหมดและได้ยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากรดังกล่าวจากจำเลยแล้วซึ่งในกรณีเช่นนี้จำเลยจะต้องคืนเงินอากรขาเข้าให้แก่โจทก์เก้าในสิบส่วนหรือส่วนที่เกินหนึ่งพันบาทของจำนวนที่ได้เรียกเก็บไว้แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่าตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พุทธศักราช 2482 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 329 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ข้อ 18 และคืนภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาลตามเงื่อนไขหลักเกณฑ์วิธีการและอัตราส่วนเช่นเดียวกับการคืนอากรขาเข้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรดังที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 78 นว แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 20) พ.ศ.2513 มาตรา 11 ฉะนั้น จำเลยจึงต้องคืนเงินภาษีการค้าให้โจทก์ 224,670.94 บาท จำเลยจะอ้างว่าโจทก์ต้องชำระภาษีการที่จำเลยเรียกเก็บเพิ่มจากโจทก์สำหรับสินค้าปลากระป๋องทั้ง 8 เที่ยวให้จำเลยเสียก่อนจึงจะคืนเงินภาษีอากรให้โจทก์ตามมาตรา 112 เบญจ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 329 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ข้อ 15 หาได้ไม่ เพราะมาตราดังกล่าวเป็นเรื่องให้อำนาจอธิบดีกักของไว้จนกว่าจะได้รับชำระเงินอากรที่ค้างครบถ้วนเป็นคนละเรื่องกัน และจำเลยต้องเสียดอกเบี้ยให้โจทก์ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่โจทก์ขอคืนและจำเลยไม่คืนให้ซึ่งถือว่าเป็นวันที่โจทก์ผิดนัด
โจทก์วางเงินประกันค่าอากรเพิ่มสำหรับสินค้าเที่ยวที่ 8 ไว้คุ้มค่าอากรที่จำเลยประเมินเพิ่ม จำเลยจึงเรียกเก็บเงินประกันค่าอากรเพิ่มเป็นค่าอากรตามที่ประเมินไว้ได้ทันทีตามพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 มาตรา 112 ทวิ ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 329 แต่เมื่อเงินประกันค่าอากรเพิ่มที่จำเลยเรียกไว้เกินจำนวนที่โจทก์ต้องเสียเพิ่ม จำเลยก็ต้องคืนเงินส่วนที่เกินดังกล่าวให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 0.625 บาทต่อเดือน ตามมาตรา 112จัตวา ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1550/2522
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 173, 224, 344, 418 ประมวลรัษฎากร
ภาษีเงินได้บริษัทจำกัดถึงกำหนดชำระ 150 วัน จากครบรอบระยะบัญชีแต่ละปี อายุความ 10 ปี ตาม มาตรา 167 นับตั้งแต่วันนั้น ครบ 150 วัน จากรอบปีบัญชี 30 พ.ค.2496 กรมสรรพากรแจ้งการประเมินภาษีเพิ่ม 26 ธ.ค.2505 ไม่เกิน 10 ปี ถือเสมือนฟ้องคดีตาม มาตรา 173 แล้ว โดยเป็นการใช้สิทธิตาม ป.รัษฎากร มาตรา 12 โดยไม่ต้องฟ้อง การแจ้งผลวินิจฉัยอุทธรณ์หลังจากนั้นไม่ขาดอายุความ
เงินเดือนพนักงานของโจทก์ที่สำนักงานภาคส่งเข้ามาสอนพนักงานสาขาในประเทศ เป็นรายจ่ายที่หักได้ จึงต้องคืนเงินนี้แก่บริษัทโจทก์รวมกับดอกเบี้ย ตาม มาตรา 224 ไม่มีกฎหมายให้กรมสรรพากรเอาเป็นเครดิตสำหรับภาษีปีต่อไปเหมือนชำระภาษีล่วงหน้าตาม มาตรา 18ทวิ 20ทวิ และหักกลบลบหนี้ไม่ได้เพราะยังมีข้อต่อสู้ อายุความเรียกเงินคืนมิใช่ลาภมิควรได้ จึงไม่ใช่ 1 ปี ตาม มาตรา 419
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1533/2522
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1375, 1377
เดิมที่พิพาทเป็นของโจทก์ แต่จำเลยได้เข้าแย่งการครอบครองโดยเข้าทำนาใน พ.ศ.2516 และ 2517 เป็นเวลาถึง 2 ปี โจทก์หาได้ฟ้องเรียกเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนด 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองไม่ โจทก์จึงเสียสิทธิที่จะเอาคืนซึ่งการครอบครองที่หลุดมือไปแล้วตั้งแต่นั้นทันที และพร้อมกันนั้นจำเลยก็ได้สิทธิเพิ่มขึ้นใหม่อีกที่จะไม่ต้องคืนการครอบครองให้แก่โจทก์ที่จำเลยแย่งการครอบครองมา การที่โจทก์เอากล้าของจำเลยดำทำนาและเก็บเกี่ยวข้าวเอาไประหว่างที่จำเลยถูกฟ้องคดีอาญาข้อหาว่าบุกรุกที่พิพาทใน พ.ศ.2518 และต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องคดีอาญาโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเข้าทำนาพิพาทโดยถือว่าเป็นของจำเลยเองแล้ว จำเลยจึงกลับเข้าทำนาพิพาทใน พ.ศ.2519 ต่อไปตามเดิมนั้น ถือได้ว่าเป็นเหตุอันมีสภาพเป็นเหตุชั่วคราวมาขัดขวางมิให้จำเลยยึดถือที่พิพาทในระหว่างถูกฟ้องคดีอาญา การครอบครองของจำเลยจึงไม่สิ้นสุดลง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1543/2522
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 39 (4)
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า จำเลยได้ต่อยผู้เสียหาย และเอาอาวุธปืนจี้ที่หน้าท้องผู้เสียหายมีเสียงดังแชะกระสุนปืนไม่ลั่น แล้วจำเลยใช้อาวุธปืนตบกกหูซ้ายผู้เสียหายบาดเจ็บก็ตาม ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการกระทำต่อเนื่องเป็นกรรมเดียว เมื่อโจทก์ฟ้องคดีก่อนเกี่ยวกับความผิดของจำเลยจนศาลพิพากษาลงโทษจำเลยคดีถึงที่สุดแล้วย่อมถือได้ว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องสิทธินำคดีมาฟ้องย่อมระงับไป การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายเป็นคดีนี้ จึงเป็นการฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1542/2522
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 535
โจทก์ยกที่พิพาทให้จำเลยโดยจำเลยตอบแทนช่วยทำสวนยางให้โจทก์ ไม่เป็นการยกให้โดยเสน่หา เรียกถอนคืนการให้ไม่ได้