คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1551/2522
พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 ม. 112 ทวิ, 112 จัตวา, 112 เบญจ พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ.2482 ม. 19 ประมวลรัษฎากร ม. 78 นว พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 20) พ.ศ.2513 ม. 11
โจทก์ได้เสียภาษีอากรสำหรับสินค้าปลากระป๋องเที่ยวที่ 8 ตามใบขนสินค้าขาเข้า คืออากรขาเข้า ภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาล รวม 227,046.41 บาท ให้กรมศุลกากรจำเลยไว้แล้วสินค้าปลากระป๋องเที่ยวนี้โจทก์ได้ส่งกลับออกไปจำหน่ายยังประเทศสิงคโปร์ทั้งหมดและได้ยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากรดังกล่าวจากจำเลยแล้วซึ่งในกรณีเช่นนี้จำเลยจะต้องคืนเงินอากรขาเข้าให้แก่โจทก์เก้าในสิบส่วนหรือส่วนที่เกินหนึ่งพันบาทของจำนวนที่ได้เรียกเก็บไว้แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่าตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พุทธศักราช 2482 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 329 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ข้อ 18 และคืนภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาลตามเงื่อนไขหลักเกณฑ์วิธีการและอัตราส่วนเช่นเดียวกับการคืนอากรขาเข้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรดังที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 78 นว แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 20) พ.ศ.2513 มาตรา 11 ฉะนั้น จำเลยจึงต้องคืนเงินภาษีการค้าให้โจทก์ 224,670.94 บาท จำเลยจะอ้างว่าโจทก์ต้องชำระภาษีการที่จำเลยเรียกเก็บเพิ่มจากโจทก์สำหรับสินค้าปลากระป๋องทั้ง 8 เที่ยวให้จำเลยเสียก่อนจึงจะคืนเงินภาษีอากรให้โจทก์ตามมาตรา 112 เบญจ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 329 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ข้อ 15 หาได้ไม่ เพราะมาตราดังกล่าวเป็นเรื่องให้อำนาจอธิบดีกักของไว้จนกว่าจะได้รับชำระเงินอากรที่ค้างครบถ้วนเป็นคนละเรื่องกัน และจำเลยต้องเสียดอกเบี้ยให้โจทก์ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่โจทก์ขอคืนและจำเลยไม่คืนให้ซึ่งถือว่าเป็นวันที่โจทก์ผิดนัด
โจทก์วางเงินประกันค่าอากรเพิ่มสำหรับสินค้าเที่ยวที่ 8 ไว้คุ้มค่าอากรที่จำเลยประเมินเพิ่ม จำเลยจึงเรียกเก็บเงินประกันค่าอากรเพิ่มเป็นค่าอากรตามที่ประเมินไว้ได้ทันทีตามพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 มาตรา 112 ทวิ ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 329 แต่เมื่อเงินประกันค่าอากรเพิ่มที่จำเลยเรียกไว้เกินจำนวนที่โจทก์ต้องเสียเพิ่ม จำเลยก็ต้องคืนเงินส่วนที่เกินดังกล่าวให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 0.625 บาทต่อเดือน ตามมาตรา 112จัตวา ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้นำสินค้าปลากระป๋องจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยโดยเรือเดินทะเล 8 เที่ยว และได้เสียภาษีอากรขาเข้า ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลครบถ้วนแล้ว เฉพาะสินค้าเที่ยวที่ 1 และ 8โจทก์ส่งไปขายต่อยังต่างประเทศ โดยโจทก์ได้รับคืนค่าภาษีอากรสำหรับเที่ยวที่ 1 แล้ว ส่วนสินค้าเที่ยวที่ 8 จำเลยสั่งให้โจทก์วางเงินประกัน95,000 บาทอีกต่างหาก โจทก์มีสิทธิเรียกเงินภาษีอากรและเงินค่าประกันคืนจากจำเลยเป็นเงิน 319,946.41 บาท แต่จำเลยไม่ยอมคืนให้ ต่อมาจำเลยได้เรียกเก็บเงินเพิ่มค่าภาษีอากรสำหรับสินค้าเที่ยวที่ 8 อีก เป็นเงิน294,068.62 บาท โดยไม่ชอบจึงขอให้เพิกถอนคำสั่งที่เรียกเก็บเงินเพิ่มภาษีอากรดังกล่าวและคืนเงินภาษีอากรกับเงินประกันให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยเรียกเก็บภาษีอากรเพิ่มเพราะโจทก์สำแดงราคาปลากระป๋องทั้ง 8 เที่ยวต่ำไป และโจทก์จะต้องเสียภาษีอากรเพิ่มเสียก่อนจึงจะขอคืนเงินภาษีที่ชำระไว้แล้วได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า คำสั่งของจำเลยที่ให้โจทก์เสียภาษีเพิ่มตามฟ้องเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ ให้จำเลยคืนเงินภาษีอากรและเงินวางประกันรวม 319,670.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2517 ถึง 1 มิถุนายน 2518 และนับแต่วันที่ 17กรกฎาคม 2518 ซึ่งเป็นวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ราคาสินค้าปลากระป๋อง ที่โจทก์สำแดงไว้ต่อจำเลยนั้นต่ำกว่าราคาอันแท้จริง จำเลยชอบที่จะกำหนดราคาอันแท้จริงในท้องตลาดได้ โจทก์จึงต้องเสียภาษีอากรเพิ่มสำหรับสินค้าปลากระป๋องที่โจทก์นำเข้ามาตามฟ้องรวม 8 เที่ยว เป็นจำนวนเงิน 294,068.62 บาทและวินิจฉัยต่อไปว่า
ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยจะไม่คืนเงินภาษีอากรขาเข้าและเงินวางประกันค่าอากรสำหรับสินค้าปลากระป๋องเที่ยวที่ 8 ให้โจทก์ได้หรือไม่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้เสียภาษีอากรสำหรับสินค้าปลากระป๋องเที่ยวที่ 8 ตามใบขนสินค้าขาเข้า (เอกสารหมาย ล.8) คืออากรขาเข้า185,745 บาท ภาษีการค้า 37,546.74 บาท ภาษีบำรุงเทศบาล3,754.67 บาท รวม 227,046.41 บาท ให้จำเลยไว้แล้ว สินค้าปลากระป๋องเที่ยวนี้โจทก์ได้ส่งกลับออกไปจำหน่ายยังประเทศสิงค์โปร์ทั้งหมดและได้ยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากรดังกล่าวจากจำเลยแล้วเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2517 ในกรณีเช่นนี้ จำเลยจะต้องคืนเงินอากรขาเข้าให้แก่โจทก์เก้าในสิบส่วน หรือส่วนที่เกินหนึ่งพันบาทของจำนวนที่ได้เรียกเก็บไว้ แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่าตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พุทธศักราช 2482 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 329 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2514 ข้อ 18 คืนภาษีการค้าตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ วิธีการและอัตราส่วนเช่นเดียวกับการคืนอากรขาเข้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 78 นว. แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2513 มาตรา 11 และภาษีบำรุงเทศบาลซึ่งต้องคืนตามวิธีการเช่นเดียวกัน ฉะนั้น จำเลยจึงมีสิทธิหักอากรขาเข้า 1,000 บาท ภาษีการค้า 1,000 บาท ภาษีเทศบาล 375.47 บาท รวม 2,375.47 บาทไว้ คงต้องคืนเงินภาษีอากรให้โจทก์ 224,670.94 บาท จำเลยจะอ้างว่าโจทก์ต้องชำระภาษีอากรที่จำเลยเรียกเก็บเพิ่มจากโจทก์สำหรับสินค้าปลากระป๋องทั้ง 8 เที่ยวให้จำเลยเสียก่อน จึงจะคืนเงินภาษีอากรให้โจทก์ตามมาตรา 112เบญจ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 แก้ไขเพิ่มเติมตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 329 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515ข้อ 15 หาได้ไม่ เพราะมาตราดังกล่าวเป็นเรื่องให้อำนาจอธิบดีกักของไว้จนกว่าจะได้รับชำระเงินอากรที่ค้างครบถ้วนเป็นคนละเรื่องกันเงินจำนวนที่จำเลยจะต้องคืนแก่โจทก์นี้ จำเลยรับว่าโจทก์ขอรับคืนตั้งแต่วันที่ 27พฤษภาคม 2517 การที่จำเลยไม่คืนให้โจทก์จึงผิดนัดแล้ว ต้องเสียดอกเบี้ยให้โจทก์ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2517 ถึงวันที่ 1 มิถุนายน 2518 และตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จตามที่โจทก์ขอ ส่วนเงินวางประกันค่าอากรเพิ่ม 95,000 บาท สำหรับสินค้าปลากระป๋องเที่ยวที่ 8 นั้น ปรากฏว่าจำเลยได้ประเมินราคาสินค้าปลากระป๋องเที่ยวที่ 8เพิ่มอีก 57,347.50 บาท ซึ่งโจทก์จะต้องเสียอากรขาเข้าเพิ่ม 34,408.50บาทภาษีการค้า 6,955.39 บาท ภาษีบำรุงเทศบาล 695.54 บาท รวมภาษีอากรที่โจทก์ต้องเสียเพิ่ม 42,059.43 บาท และได้แจ้งให้โจทก์ทราบแล้วเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2518 (เอกสารหมาย จ.10) แต่เงินวางประกันค่าอากรเพิ่มที่โจทก์วางไว้นี้คุ้มค่าอากรเพิ่มที่จำเลยประเมินเพิ่ม จำเลยเรียกเก็บเงินประกันค่าอากรเพิ่มเป็นค่าอากรรวม 42,059.43 บาท ที่ประเมินไว้ได้ทันทีตามพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 มาตรา 112 ทวิ ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 329 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515ข้อ 15 เงินประกันค่าอากรเพิ่มที่จำเลยเรียกไว้จึงเกินจำนวนอันพึงต้องเสียเพิ่มเป็นเงิน 52,940.57 บาทจำเลยต้องคืนเงินจำนวนนี้ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.625 ต่อเดือน (ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี) ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 มาตรา 112 จัตวา ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 329 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515ข้อ 15 นับแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2516 ซึ่งเป็นวันวางเงินประกันค่าอากร(เอกสารหมาย ล.8) จนกว่าจำเลยจะคืนเงินดังกล่าวแก่โจทก์ แต่โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2517 ถึงวันที่ 1 มิถุนายน 2518และนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จจึงคิดให้ตามที่โจทก์ขอ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยตามหนังสือที่ กค.0608/573 ลงวันที่ 4 มีนาคม 2518 เรื่องเรียกเก็บเงินเพิ่มภาษีนั้นเสีย ให้จำเลยคืนเงินภาษีอากรจำนวน 224,670.94บาท และเงินวางประกันค่าอากรเพิ่มจำนวน 52,940.57 บาท รวม 277,611.51 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2517 ถึงวันที่ 1 มิถุนายน 2518 และนับแต่วันที่ 17 กรกฎาคม2517 ซึ่งเป็นวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - ห้างหุ้นส่วนจำกัดเซ้งฮวด จำเลย - กรมศุลกากร
ชื่อองค์คณะ จินดา บุญศิริ โสพิทย์ คังคะเกตุ พิศิษฏ์ เทศะบำรุง
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan