คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2567
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7207/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 27 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 15, 218, 224
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาจำเลยเฉพาะความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี และสั่งไม่รับฎีกาจำเลยในความผิดฐานอื่น ซึ่งจำเลยอาจฎีกาเป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นนั้นต่อศาลฎีกาได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 224 แต่ศาลชั้นต้นมิได้แจ้งคำสั่งไม่รับฎีกาในข้อดังกล่าวให้จำเลยทราบ จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ แต่เมื่อคดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และให้ลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยเด็กนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ และฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้โดยใช้อวัยวะอื่นซึ่งมิใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้นกระทงละไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จำเลยฎีกาในข้อที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับว่า ขอให้ลงโทษสถานเบาและลดโทษ ซึ่งเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 2 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว เมื่อฎีกาจำเลยต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวมา และศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยแล้ว จึงไม่จำเป็นที่ศาลฎีกาจะสั่งให้ส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้นเพื่อแจ้งคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าวให้จำเลยทราบแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6848/2567
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 91 พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 ม. 71, 132
ปัญหาว่า การกระทำตามฟ้องของจำเลยที่ 1 คดีนี้กับการกระทำของจำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขแดงที่ อ. 1531/2564 และที่ อ. 1533/2564 ของศาลชั้นต้น เป็นการกระทำกรรมเดียวกันหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์ จำเลยทั้งสองร่วมกันติดตั้งแผ่นป้ายเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้งนอกสถานที่ที่จะกระทำได้และไม่เป็นไปตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์กำหนด แม้จำเลยที่ 1 จะกระทำความผิดทั้งสามคดีในวันเดียวกันและมีลักษณะการกระทำความผิดเดียวกัน แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ในแต่ละคดีกระทำความผิดในแต่ละครั้งต่างเวลาและต่างสถานที่กัน ซึ่งอีกสองคดีต่างกระทำในพื้นที่หมู่อื่นตามเขตเลือกตั้งของจำเลยที่ 2 ในคดีนั้น ๆ ซึ่งลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์คู่กับจำเลยที่ 1 การกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ในแต่ละคดี จึงมีเจตนาในการกระทำความผิดแยกออกจากกัน และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ในแต่ละคดีต่างรายกัน กรณีจึงเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระ เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพตามฟ้องแต่ละคดี จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6849/2567
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 91 พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 ม. 71, 132
ปัญหาว่า การกระทำตามฟ้องของจำเลยที่ 1 คดีนี้กับการกระทำของจำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขแดงที่ อ. 1531/2564 และที่ อ. 1532/2564 ของศาลชั้นต้น เป็นการกระทำกรรมเดียวกันหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์ จำเลยทั้งสองร่วมกันติดตั้งแผ่นป้ายเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้งนอกสถานที่ที่จะกระทำได้และไม่เป็นไปตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์กำหนด แม้จำเลยที่ 1 จะกระทำความผิดทั้งสามคดีในวันเดียวกันและมีลักษณะการกระทำความผิดเดียวกัน แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ในแต่ละคดีกระทำความผิดในแต่ละครั้งต่างเวลาและต่างสถานที่กัน ซึ่งอีกสองคดีต่างกระทำในพื้นที่หมู่อื่นตามเขตเลือกตั้งของจำเลยที่ 2 ในคดีนั้น ๆ ซึ่งลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์คู่กับจำเลยที่ 1 การกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ในแต่ละคดี จึงมีเจตนาในการกระทำความผิดแยกออกจากกัน และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ในแต่ละคดีต่างรายกัน กรณีจึงเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระ เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพตามฟ้องแต่ละคดี จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6067/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55 พระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ.2537 ม. 52, 53 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 ม. 8 วรรคหนึ่ง (4), 31, 54 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 225 วรรคสอง
แม้คดีนี้จำเลยจะให้การต่อสู้เรื่องอำนาจฟ้องไว้ในคำให้การเพียงประการเดียวว่า โจทก์ยื่นคำฟ้องเกินระยะเวลาที่ พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 กำหนดไว้ โดยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ด้วยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากโจทก์มิได้เป็นผู้ยื่นคำร้องขอรับเงินทดแทนและมิได้เป็นผู้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 มาตรา 52 จึงไม่มีสิทธินำคดีไปสู่ศาลแรงงานตามมาตรา 53 วรรคหนึ่ง ก็ตาม แต่เมื่อปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องดังกล่าวเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การก็สามารถยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง
พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 บัญญัติเกี่ยวกับการนำคดีมาฟ้องศาลแรงงานไว้เป็นการเฉพาะในกรณีที่นายจ้าง ลูกจ้าง หรือผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 ที่ไม่พอใจคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ ตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 และได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวต่อคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน เมื่อคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนมีคำวินิจฉัยอย่างใดแล้วผู้อุทธรณ์ยังไม่พอใจคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน ตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 มาตรา 52 วรรคหนึ่ง เฉพาะผู้อุทธรณ์เท่านั้นที่มีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลแรงงาน ตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 มาตรา 53 วรรคหนึ่ง โจทก์มิได้เป็นผู้อุทธรณ์คำสั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ต่อคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนตามมาตรา 52 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงไม่อาจฟ้องคดีต่อศาลแรงงานได้โดยอาศัยอำนาจของบทบัญญัติตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537
ไม่ปรากฏว่า พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 กำหนดขั้นตอนและระยะเวลาให้โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยของจำเลยในกรณีดังกล่าวไว้ จึงเป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายกำหนดขั้นตอนหรือวิธีการสำหรับการแก้ไขความเดือดร้อนหรือความเสียหายที่โจทก์ได้รับจากคำวินิจฉัยของจำเลยไว้โดยเฉพาะ แต่อย่างไรก็ดี การที่จำเลยมีคำวินิจฉัยกลับคำวินิจฉัยสำนักงานประกันสังคมจังหวัดสุราษฎร์ธานีว่า ส. ผู้ตาย มีนิติสัมพันธ์เป็นลูกจ้างโจทก์ และประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้าง จึงมีสิทธิได้รับเงินทดแทน ตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 อันเป็นการใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 ที่มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ทำให้สำนักงานประกันสังคมจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีหนังสือที่ สฎ 0030/10574 ลงวันที่ 22 มิถุนายน 2564 เรื่อง แจ้งให้ไปขึ้นทะเบียนกองทุนประกันสังคม และกองทุนเงินทดแทน ซึ่งเป็นผลให้โจทก์มีฐานะเป็นนายจ้างและมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 และ พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 โจทก์จึงเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากคำวินิจฉัยของจำเลยโดยตรง ถือได้ว่าเป็นกรณีที่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 โจทก์จึงเป็นผู้ที่ถูกโต้แย้งสิทธิแล้ว ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31
การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำวินิจฉัยของจำเลยมีลักษณะเป็นคดีอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทนตามมาตรา 8 วรรคหนึ่ง (4) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 และเมื่อไม่ปรากฏว่า พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 กำหนดถึงขั้นตอนการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนในกรณีของโจทก์ดังกล่าวนี้ไว้เป็นการเฉพาะ จึงไม่ใช่กรณีตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า คดีตามวรรคหนึ่ง ในกรณีที่…กฎหมายว่าด้วยเงินทดแทนบัญญัติให้ร้องเรียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการที่กำหนดไว้ จะดำเนินการในศาลแรงงานได้ต่อเมื่อได้ปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการที่กฎหมายดังกล่าวบัญญัติไว้แล้ว ทั้งปรากฏตามหนังสือของสำนักงานประกันสังคมจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ สฎ 0030/10573 ลงวันที่ 22 มิถุนายน 2564 เรื่อง แจ้งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน ที่ระบุไว้ในย่อหน้าสุดท้ายว่า … หากท่านไม่เห็นด้วยมีสิทธินำคดีไปสู่ศาลแรงงานภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือฉบับนี้ ดังนั้น เมื่อโจทก์เป็นผู้ถูกโต้แย้งสิทธิโดยได้รับผลกระทบจากหนังสือของสำนักงานประกันสังคมจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ สฎ 0030/10574 ลงวันที่ 22 มิถุนายน 2564 ซึ่งเป็นผลมาจากคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 40/2564 และโจทก์เห็นว่าคำวินิจฉัยของจำเลยดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลแรงงานภาค 8 เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำวินิจฉัยของจำเลยภายใน 30 วัน นับแต่วันที่โจทก์ได้รับหนังสือของสำนักงานประกันสังคมจังหวัดสุราษฎร์ธานีดังกล่าว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6020 - 6021/2567
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 867 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 47 พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 ม. 34, 39, 40 วรรคสาม (2) (ข)
ไม่ปรากฏว่าคณะอนุญาโตตุลาการได้พิจารณาข้อสัญญานี้ ทั้งไม่ได้แสดงเหตุผลใด ๆ ให้ปรากฏในคำวินิจฉัย การวินิจฉัยชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการจึงน่าจะไม่เป็นไปตามข้อตกลงในสัญญาประกันภัย ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการได้
เรื่องการมอบอำนาจไม่มีการกำหนดไว้โดยชัดแจ้งใน พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 จึงเห็นสมควรนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้โดยอนุโลม เมื่อคณะอนุญาโตตุลาการไม่ได้สงสัยในหนังสือตั้งผู้แทนช่วงเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณา ทั้งผู้คัดค้านก็ไม่ได้คัดค้านหนังสือตั้งผู้แทนช่วงดังกล่าวในชั้นพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ การตั้งผู้แทนช่วงจึงไม่ต้องดำเนินการแก้ไขใด ๆ อีก และถือว่าการดำเนินคดีในชั้นพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการเป็นอันชอบแล้ว
คณะอนุญาโตตุลาการกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า (1) ผู้ร้องในคดีนี้ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ให้แก่ผู้คัดค้านในคดีนี้หรือไม่ (2) ผู้คัดค้านในคดีนี้ได้รับความเสียหายเพียงใด และ (3) ผู้ร้องในคดีนี้จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้คัดค้านในคดีนี้เท่าไร ซึ่งในการพิจารณาประเด็นข้อพิพาท (2) นั้น คณะอนุญาโตตุลาการพิจารณาถึงความเสียหายที่ผู้คัดค้านได้รับ และเมื่อพิจารณาประเด็นข้อพิพาท (3) คณะอนุญาโตตุลาการก็กำหนดให้ผู้ร้องชำระค่าสินไหมทดแทนตามที่ได้ความในประเด็นข้อพิพาท (2) โดยไม่ได้กล่าวถึงข้อสัญญาที่ตกลงกันถึงจำนวนเงินที่ผู้คัดค้านจะต้องรับผิดชอบในเบื้องต้นเลย ดังจะเห็นได้จากการที่คณะอนุญาโตตุลาการกำหนดค่าสินไหมทดแทนเรื่องธุรกิจหยุดชะงักเต็มตามจำนวนที่ทำสัญญาประกันภัยต่อกันไว้ อันไม่เป็นการวินิจฉัยต่อข้อสัญญาที่คู่พิพาทตกลงกันไว้ จึงขัดต่อ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 34 วรรคสี่ โดยชัดแจ้ง ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการได้ และเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้คัดค้านย่อมไม่อาจขอให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6009/2567
พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 ม. 26/4
เมื่อจำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งโดยยอมรับค่าเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลายเป็นจำนวนเงินตามฟ้อง ข้อเท็จจริงย่อมรับฟังเป็นยุติตามที่จำเลยให้การไว้ จึงไม่มีประเด็นที่คู่ความต้องนำสืบและศาลชั้นต้นต้องวินิจฉัยว่าค่าเสียหายมีเพียงใดอีก ทั้งมิใช่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแต่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาจึงไม่มีอำนาจหยิบยกเรื่องค่าเสียหายขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6781/2567
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 686 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 142 (5), 198 ทวิ วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 ม. 7
สิทธิในการฎีกาเป็นสิทธิเฉพาะตัวจำเลยแต่ละคน จำเลยที่ 1 จึงไม่อาจฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ได้ และในส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่อาจฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 4 และที่ 5 ได้เช่นกัน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 1 กับไม่รับวินิจฉัยของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 4 และที่ 5 ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ไม่มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้ค้ำประกันหลังจากวันที่จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 686 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 อย่างไรก็ตาม สำหรับความรับผิดของจำเลยที่ 4 และที่ 5 ซึ่งขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยจำเลยที่ 4 และที่ 5 ขาดนัดยื่นคำให้การได้ เมื่อศาลเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย ในการนี้ศาลจะยกขึ้นอ้างโดยลำพังซึ่งข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198 ทวิ วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยที่ 4 และที่ 5 ไปในคราวเดียวกันกับการบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้โดยไม่มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 4 และที่ 5 หลังจากจำเลยที่ 1 ผิดนัด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 4 และที่ 5 ผู้ค้ำประกันได้เช่นเดียวกัน ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 4 และที่ 5 มิได้ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6752/2567
ประมวลรัษฎากร ม. 50, 50 ทวิ, 54 วรรคหนึ่ง, 56 วรรคหนึ่ง, 60
จากบทบัญญัติตาม ป.รัษฎากร มาตรา 56 วรรคหนึ่ง (3), มาตรา 50, มาตรา 50 ทวิ, มาตรา 54 วรรคหนึ่ง และมาตรา 60 เห็นได้ว่า การเก็บภาษีด้วยวิธีหักภาษี ณ ที่จ่าย เป็นวิธีการจัดเก็บภาษีล่วงหน้าเพื่อประโยชน์ในการหารายได้เข้ารัฐ และยังทำให้ผู้ต้องเสียภาษีไม่ต้องรับภาระมากเมื่อถึงกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการ และป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษี เนื่องจากผู้จ่ายเงินได้ทำหน้าที่จัดเก็บแทนรัฐ โดยกฎหมายกำหนดหน้าที่ให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินต้องคำนวณหาจำนวนเงินภาษีที่ผู้มีเงินได้พึงประเมินจะต้องเสียตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้แล้วหักภาษีจำนวนนั้นไว้ทุกคราวที่จ่ายเงินได้พึงประเมิน ดังนั้น ผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามที่ปรากฏชื่อในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย จึงมีความสำคัญในระบบการจัดเก็บภาษีของรัฐและใช้เพื่อตรวจสอบการคำนวณยอดเงินได้พึงประเมินของผู้ต้องเสียภาษีให้ถูกต้องตรงกับเอกสารทุกฝ่าย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในปีภาษีที่พิพาท หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ปรากฏชื่อสามีโจทก์แต่ผู้เดียว โจทก์รับทราบและยินยอม อันแสดงให้เห็นว่าโจทก์และสามีโจทก์แสดงออกต่อบุคคลภายนอกรวมถึงจำเลยและบุคคลผู้ออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย แล้วว่า สามีโจทก์เป็นผู้มีเงินได้ที่ได้รับหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย และถือเป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินตาม ป.รัษฎากร มาตรา 60 ซึ่งให้ถือว่าเงินภาษีที่ได้หักและนำส่งเป็นเงินได้พึงประเมินที่ผู้ต้องเสียภาษี คือ สามีโจทก์ การที่โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษีพิพาท แสดงรายการว่ามีภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และเครดิตภาษี 52,832.76 บาท โดยนำภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ที่ปรากฏชื่อสามีโจทก์ตามหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายมาใช้คำนวณเป็นเงินได้กึ่งหนึ่ง และขอเครดิตภาษี จึงไม่ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6568/2567
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 193/30, 193/33 (2)
ตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียน ได้ความว่า สัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียน เป็นกรณีที่ผู้ให้กู้อนุมัติวงเงินสินเชื่อ และมอบบัตรกดเงินสดให้ผู้กู้ โดยผู้กู้สามารถใช้บัตรกดเงินสดนั้นเบิกถอนเงินกู้ได้ และผู้กู้ตกลงชำระหนี้เป็นงวดรายเดือนไม่น้อยกว่าจำนวนเงินขั้นต่ำซึ่งกำหนดไว้ไม่เกินอัตราร้อยละ 8 ของเงินต้นคงค้าง หรือไม่ต่ำกว่า 400 บาท หรือจำนวนดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินคงค้างในแต่ละเดือน แล้วแต่จำนวนใดที่สูงกว่า โดยชำระทุกวันที่ 27 ของเดือน ข้อตกลงในการชำระเงินกู้ของผู้กู้ดังกล่าว แสดงว่าผู้กู้จะเลือกชําระคืนเงินต้นเต็มจำนวนที่ใช้บัตรกดเงินสดเบิกเงินกู้ไปแต่ละเดือนพร้อมดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม หรือผู้กู้จะเลือกชำระจำนวนเงินขั้นต่ำที่ผู้ให้กู้กำหนดไว้ไม่เกินอัตราร้อยละ 8 ของเงินต้นคงค้าง หรือไม่ต่ำกว่า 400 บาท หรือจำนวนดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินคงค้างในแต่ละเดือน แล้วแต่จำนวนใดที่สูงกว่าก็ได้ และสัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียนดังกล่าวไม่ได้กําหนดว่า กรณีผู้กู้เลือกผ่อนชำระเป็นงวดรายเดือนนั้น ผู้กู้ต้องผ่อนชำระเป็นเวลากี่งวด สัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียนตามฟ้องจึงไม่มีลักษณะผ่อนทุนคืนเป็นงวด ๆ และไม่ใช่สิทธิเรียกร้องที่มีกําหนดอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (2) แต่สิทธิเรียกร้องตามสัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียนตามฟ้องเช่นนี้ กฎหมายไม่ได้บัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6557/2567
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 303, 306
คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะที่จำเลยเป็นลูกหนี้ของจำเลยร่วม ซึ่งโจทก์และจำเลยร่วมทำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องต่อกัน เพื่อโอนสิทธิเรียกร้องที่จำเลยร่วมมีอยู่ต่อจำเลยไปให้โจทก์ โดยโจทก์จ่ายเงินเป็นค่าตอบแทนให้จำเลยร่วม นิติสัมพันธ์ของโจทก์และจำเลยร่วมจึงเป็นไปตามสัญญาโอนสิทธิเรียกร้อง เมื่อโจทก์อ้างว่าได้มีหนังสือบอกกล่าวแจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องไปยังจำเลยโดยชอบแล้ว โจทก์ในฐานะผู้รับโอนสิทธิเรียกร้อง จึงมีสิทธิเรียกร้องเอาหนี้สินที่จำเลยค้างชำระอยู่แก่จำเลยร่วมได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 303 และ มาตรา 306 ซึ่งหนี้สินที่จำเลยมีอยู่ต่อจำเลยร่วมเป็นหนี้ตามสัญญาซื้อขายสินค้าที่จำเลยซื้อไปจากจำเลยร่วม นิติสัมพันธ์ของโจทก์และจำเลยจึงเป็นไปตามสัญญาซื้อขายสินค้าที่จำเลยและจำเลยร่วมทำไว้ต่อกัน เมื่อความรับผิดของจำเลยร่วมกับโจทก์เป็นไปตามสัญญาโอนสิทธิเรียกร้อง แต่ความรับผิดของจำเลยกับโจทก์เป็นไปตามสัญญาซื้อขายสินค้าดังกล่าวแล้ว จึงเป็นคนละส่วนกัน โจทก์ย่อมสามารถฟ้องจำเลยร่วมตามสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องได้ หากการผิดสัญญาโอนดังกล่าวทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และสามารถฟ้องจำเลยตามสัญญาซื้อขายได้เช่นกัน หากโจทก์ไม่ได้รับชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายที่จำเลยร่วมนำมาโอนให้แก่โจทก์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องข้อ 12 มีข้อความระบุไว้อย่างชัดแจ้งว่า หากโจทก์ไม่ได้รับชำระหนี้ ไม่ว่าด้วยเหตุประการใด ๆ จำเลยร่วมตกลงยินยอมชดใช้หนี้ที่ค้างพร้อมดอกเบี้ย และข้อ 18.2 มีข้อความระบุชัดว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องร้องดำเนินคดีได้ทั้งกับจำเลยร่วม และกับจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ของจำเลยร่วมด้วย ส่วนความรับผิดของจำเลยร่วมและจำเลยที่จะต้องรับผิดต่อโจทก์อย่างไรบ้างนั้น ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงตามข้อต่อสู้ของจำเลยร่วมและจำเลย แม้การฟ้องคดีของโจทก์ซึ่งเคยฟ้องจำเลยร่วมมาก่อนที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ โดยอ้างใบส่งสินค้า/ใบกำกับภาษี และใบวางบิล ซึ่งตรงกับเอกสารที่ใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องจำเลยคดีนี้ แต่ความรับผิดของจำเลยร่วมและความรับผิดของจำเลยเป็นไปตามสัญญาคนละส่วนกัน เมื่อโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นการถูกโต้แย้งสิทธิโจทก์ย่อมสามารถฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตแต่อย่างใด