คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6848/2567
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 91 พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 ม. 71, 132
ปัญหาว่า การกระทำตามฟ้องของจำเลยที่ 1 คดีนี้กับการกระทำของจำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขแดงที่ อ. 1531/2564 และที่ อ. 1533/2564 ของศาลชั้นต้น เป็นการกระทำกรรมเดียวกันหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์ จำเลยทั้งสองร่วมกันติดตั้งแผ่นป้ายเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้งนอกสถานที่ที่จะกระทำได้และไม่เป็นไปตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์กำหนด แม้จำเลยที่ 1 จะกระทำความผิดทั้งสามคดีในวันเดียวกันและมีลักษณะการกระทำความผิดเดียวกัน แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ในแต่ละคดีกระทำความผิดในแต่ละครั้งต่างเวลาและต่างสถานที่กัน ซึ่งอีกสองคดีต่างกระทำในพื้นที่หมู่อื่นตามเขตเลือกตั้งของจำเลยที่ 2 ในคดีนั้น ๆ ซึ่งลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์คู่กับจำเลยที่ 1 การกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ในแต่ละคดี จึงมีเจตนาในการกระทำความผิดแยกออกจากกัน และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ในแต่ละคดีต่างรายกัน กรณีจึงเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระ เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพตามฟ้องแต่ละคดี จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 4, 71, 132 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 นับโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขดำที่ อ. 1682/2564 และที่ อ. 1684/2564 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 71, 132 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ปรับคนละ 8,000 บาท จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับคนละ 4,000 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกคำขอให้นับโทษต่อ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนกคดีเลือกตั้งพิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์ และจำเลยที่ 2 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์ เขตเลือกตั้งที่ 6 หมู่ที่ 10 จำเลยทั้งสองร่วมกันติดตั้งแผ่นป้ายเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้งบริเวณเสาไฟฟ้าริมถนนหน้าป้อมยามหมู่บ้าน ว. หมู่ที่ 10 จำนวน 1 แผ่น บริเวณต้นไม้ทางเข้าหมู่บ้าน น. หมู่ที่ 10 จำนวน 1 แผ่น และบริเวณริมถนนซอยข้างดิลกภัณฑ์ หมู่ที่ 10 จำนวน 1 แผ่น อันเป็นการร่วมกันติดตั้งแผ่นป้ายเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้งนอกสถานที่ที่จะกระทำได้และไม่เป็นไปตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์กำหนด นอกจากคดีนี้ จำเลยที่ 1 ยังถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 1 ร่วมกับผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์ เขตเลือกตั้งอื่น หมู่อื่น อีก 2 ราย ในข้อหาร่วมกันติดแผ่นป้ายเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้งนอกสถานที่ที่จะกระทำได้และไม่เป็นไปตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์กำหนด เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ. 1682/2564 และที่ อ. 1684/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อ. 1531/2564 และที่ อ. 1533/2564 ของศาลชั้นต้นตามลำดับ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองเพียงประการเดียวว่า การกระทำตามฟ้องของจำเลยที่ 1 คดีนี้กับการกระทำของจำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขแดงที่ อ. 1531/2564 และ ที่ อ. 1533/2564 ของศาลชั้นต้น เป็นการกระทำกรรมเดียวกันหรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยที่ 1 จะกระทำความผิดทั้งสามคดีในวันเดียวกันและมีลักษณะการกระทำความผิดอย่างเดียวกัน แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ในแต่ละคดีกระทำความผิดในแต่ละครั้งต่างเวลาและต่างสถานที่กัน โดยความผิดในคดีนี้เกิดขึ้นที่บริเวณหมู่ที่ 10 ตำบลวัดจันทร์ อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นพื้นที่ในเขตเลือกตั้งที่ 6 หมู่ที่ 10 มีจำเลยที่ 2 ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์คู่กับจำเลยที่ 1 ส่วนอีก 2 คดี ต่างกระทำในพื้นที่หมู่อื่นตามเขตเลือกตั้งของจำเลยที่ 2 ในคดีนั้น ๆ ซึ่งลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์คู่กับจำเลยที่ 1 การกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ในแต่ละคดีจึงมีเจตนาในการกระทำความผิดแยกออกจากกัน และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ในแต่ละคดีต่างรายกัน กรณีจึงเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน ที่โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 1 เป็น 3 คดี ต่างกรรมกันจึงชอบแล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพตามฟ้องแต่ละคดี จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนกคดีเลือกตั้งพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.825/2567
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา