สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6009/2567

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6009/2567

พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 ม. 26/4

เมื่อจำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งโดยยอมรับค่าเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลายเป็นจำนวนเงินตามฟ้อง ข้อเท็จจริงย่อมรับฟังเป็นยุติตามที่จำเลยให้การไว้ จึงไม่มีประเด็นที่คู่ความต้องนำสืบและศาลชั้นต้นต้องวินิจฉัยว่าค่าเสียหายมีเพียงใดอีก ทั้งมิใช่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแต่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาจึงไม่มีอำนาจหยิบยกเรื่องค่าเสียหายขึ้นวินิจฉัยเองได้

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 4, 6, 8, 9, 14, 26/4, 26/5, 31 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4, 54, 55, 72 ตรี, 74 จัตวา จ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับตามกฎหมาย ให้จำเลยพร้อมบริวารออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดตามฟ้องออกไป กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 552,436.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่กรมป่าไม้

จำเลยให้การรับสารภาพทั้งคดีส่วนอาญาและคดีส่วนแพ่ง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54 (ที่ถูกต้องระบุ วรรคหนึ่ง), 72 ตรี วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 31 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน ให้จำเลยพร้อมบริวารออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุ และให้จำเลย รื้อถอนเสาปูนพร้อมรั้วลวดหนาม ห้างเพิงพัก คอกเลี้ยงวัวออกจากป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุ ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 552,436.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่กรมป่าไม้ ส่วนที่โจทก์ขอให้สั่งจ่ายเงินสินบนนำจับนั้น เนื่องจากศาลไม่ได้ลงโทษปรับ จึงให้ยกคำขอส่วนนี้

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 แผนกคดีสิ่งแวดล้อมพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 9 เดือน เมื่อลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 4 เดือน 15 วัน ให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 552,436.80 บาท นับแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่กรมป่าไม้ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในศาลชั้นต้นให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า มีเหตุสมควรลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานยึดถือครอบครองทำประโยชน์ หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ลงโทษจำคุกจำเลยเพียง 9 เดือน ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะเป็นการวางโทษที่ต่ำกว่ากฎหมาย แต่เมื่อโจทก์มิได้ฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขโทษให้ถูกต้องได้เพราะจะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบด้วยมาตรา 225 โทษจำคุก 9 เดือน ที่ลงแก่จำเลยนั้นเป็นคุณมากแล้ว ศาลฎีกาไม่อาจลงโทษต่ำกว่านี้ได้ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษให้แก่จำเลยนั้น ตามแผนที่ภาพถ่ายปี 2553 ในหนังสือขอความอนุเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับที่ดินพิพาทซึ่งจัดทำโดยสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 (ลำปาง) แนบท้ายอุทธรณ์ของจำเลยได้ความว่า ในปี 2553 ที่ดินที่เกิดเหตุมีสภาพโล่งเตียนมิได้มีสภาพเป็นป่า ย่อมแสดงว่าในช่วงปีดังกล่าวมีการแผ้วถาง ตัดโค่น ต้นไม้ เผาป่า หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการทำลายป่าและทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติในที่เกิดเหตุก่อนแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่น่าจะมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายต่อสภาพพื้นที่ป่าและทรัพยากรธรรมชาติมากนัก นอกจากนี้ พฤติการณ์ที่จำเลยเข้าไปปลูกหญ้าเลี้ยงวัว ปลูกต้นกล้วย เลี้ยงวัว ฝังเสารั้ว ล้อมรั้วลวดหนามปลูกห้างเพิงพัก 1 หลัง และทำคอกเลี้ยงวัว 1 คอก ในที่ดินที่เกิดเหตุ ก็มีลักษณะเป็นการทำการเกษตรเพื่อการดำรงชีพมิได้มีลักษณะเป็นนายทุน พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องไม่ร้ายแรง ประกอบกับจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณา แสดงว่ายังสำนึกในการกระทำความผิดของตน เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ย่อมยังอยู่ในวิสัยที่จะแก้ไขฟื้นฟูให้กลับตัวเป็นพลเมืองดีได้ การรอการลงโทษจำคุกและคุมความประพฤติไว้น่าจะเป็นผลดีแก่จำเลยและสังคมโดยส่วนรวมมากกว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน แต่เพื่อให้หลาบจำเห็นสมควรลงโทษปรับอีกสถานหนึ่งและคุมความประพฤติของจำเลยไว้

สำหรับปัญหาว่าในคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เมื่อจำเลยให้การรับในคดีส่วนแพ่งว่าค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินตามฟ้องแล้ว ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกเรื่องค่าเสียหายขึ้นวินิจฉัยเองและปรับลดค่าเสียหายได้อีกหรือไม่ นั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า เมื่อจำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งโดยยอมรับค่าเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลายเป็นจำนวนเงินตามฟ้อง ข้อเท็จจริงย่อมรับฟังเป็นยุติตามที่จำเลยให้การไว้ จึงไม่มีประเด็นที่คู่ความต้องนำสืบและศาลชั้นต้นต้องวินิจฉัยว่าค่าเสียหายมีเพียงใดอีก ทั้งมิใช่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแต่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาจึงไม่มีอำนาจหยิบยกเรื่องค่าเสียหายขึ้นวินิจฉัยเองได้

อนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยของค่าเสียหายให้แก่กรมป่าไม้ในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2565 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จโดยมิได้พิพากษาถึงอัตราดอกเบี้ยในกรณีที่กระทรวงการคลังออกพระราชกฤษฎีกาปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 วรรคสอง ทั้งศาลอุทธรณ์ภาค 5 ไม่ได้สั่งค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง และในส่วนที่โจทก์ขอให้จ่ายเงินสินบนนำจับให้แก่ผู้นำจับตามกฎหมายนั้น เนื่องจากศาลไม่ได้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 แต่ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ซึ่งตามพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่ได้มีบทบัญญัติให้จ่ายเงินสินบนนำจับ ดังนั้น แม้ศาลจะลงโทษปรับจำเลยด้วย ก็ไม่อาจสั่งให้จ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับได้ ที่ศาลล่างทั้งสองยกคำขอในส่วนนี้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลย 40,000 บาท อีกสถานหนึ่ง ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟัง ให้คุมความประพฤติของจำเลยไว้มีกำหนด 1 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 ครั้ง ตามเงื่อนไขและกำหนดเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรกำหนด กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์เกี่ยวกับการอนุรักษ์ รักษา และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรมีกำหนด 30 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 สำหรับอัตราดอกเบี้ยของค่าเสียหายนั้น หากกระทรวงการคลังออกพระราชกฤษฎีกาปรับเปลี่ยนเมื่อใดก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา สว.(อ)177/2565

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE