คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2567

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6753

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6753/2567

ประมวลรัษฎากร ม. 77/1 (7), 82 (1), 82/1 (1), 83/2, 83/6 (1), 85/2, 85/3

บริษัท ม. ไม่ได้เข้ามาประกอบกิจการขายสินค้าในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 83/6 (1) แต่ถือเป็นการขายสินค้าในราชอาณาจักรเป็นปกติธุระ เมื่อพิจารณา ป.รัษฎากร มาตรา 82 (1) มาตรา 82/1 (1) มาตรา 83/2 มาตรา 85/2 และมาตรา 77/1 (7) ซึ่งข้อเท็จจริงในประเด็นนี้ได้ความจาก ต. และ ก. พยานจำเลยว่า บริษัท อ. ผลิตและขายสินค้าให้กับบริษัท ม. เมื่อผลิตสินค้าแล้วมิได้ส่งออกให้บริษัท ม. แต่มีหน้าที่รับผิดชอบในการเก็บรักษาสินค้าและส่งออกให้ลูกค้าของโจทก์ในนามของโจทก์ตามคำสั่งของบริษัท ม. ถือว่าบริษัท อ. เป็นตัวแทนของบริษัท ม. ผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักร ดังนั้น บริษัท อ. จึงมีหน้าที่ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มตาม ป.รัษฎากร มาตรา 82/1 (1) ประกอบมาตรา 77/1 (7) พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักน้อยกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ จึงยังรับฟังไม่ได้ว่า บริษัท ม. เข้ามาประกอบกิจการขายสินค้าในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 83/6 (1) ดังนั้น หนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ สำหรับเดือนภาษีมกราคม 2557 เดือนภาษีกุมภาพันธ์ 2557 และเดือนภาษีมีนาคม 2557 จำนวน 3 ฉบับ ที่ให้โจทก์รับผิดชำระค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 83/6 (1) ในฐานะที่โจทก์เป็นผู้ชำระค่าสินค้าให้ผู้ประกอบการนอกราชอาณาจักรซึ่งขายสินค้าเป็นการชั่วคราวและไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นการชั่วคราวตามมาตรา 85/3 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6847

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6847/2567

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 91 พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 ม. 71, 132

ปัญหาว่า การกระทำตามฟ้องของจำเลยที่ 1 คดีนี้กับการกระทำของจำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขแดงที่ อ. 1532/2564 และที่ อ. 1533/2564 ของศาลชั้นต้น เป็นการกระทำกรรมเดียวกันหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์ จำเลยทั้งสองร่วมกันติดตั้งแผ่นป้ายเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้งนอกสถานที่ที่จะกระทำได้และไม่เป็นไปตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์กำหนด แม้จำเลยที่ 1 จะกระทำความผิดทั้งสามคดีในวันเดียวกันและมีลักษณะการกระทำความผิดเดียวกัน แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ในแต่ละคดีกระทำความผิดในแต่ละครั้งต่างเวลาและต่างสถานที่กัน ซึ่งอีกสองคดีต่างกระทำในพื้นที่หมู่อื่นตามเขตเลือกตั้งของจำเลยที่ 2 ในคดีนั้น ๆ ซึ่งลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์คู่กับจำเลยที่ 1 การกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ในแต่ละคดี จึงมีเจตนาในการกระทำความผิดแยกออกจากกัน และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ในแต่ละคดีต่างรายกัน กรณีจึงเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระ เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพตามฟ้องแต่ละคดี จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6656

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6656/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 653 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 94 (ข) วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 ม. 7

การกู้ยืมเงินตามสำเนาสัญญากู้ยืมเงินทั่วไป 2 ฉบับ ทำขึ้นในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 จำนวน 700,000 บาท และ 300,000 บาท ตามลำดับ โดยจำเลยได้รับเงินแล้วในวันทำสัญญาแล้ว 1,000,000 บาท ต่อมาวันที่ 10 พฤศจิกายน 2560 จำเลยโอนเงินให้โจทก์ 500,000 บาท โจทก์จึงขีดแก้ไขจำนวนเงินจาก 700,000 บาท เป็น 200,000 บาท ในสัญญากู้ยืมเงินและลงลายมือชื่อกำกับไว้ แต่ไม่มีการลงวันที่กำกับการแก้ไขจำนวนเงิน จึงต้องฟังว่าจำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ โดยระบุจำนวนเงินในวันทำสัญญาเพียง 200,000 บาท โจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยมาแสดงว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ โดยระบุจำนวนเงินในวันทำสัญญา 700,000 บาท การนำสืบของโจทก์ว่าจำนวนเงินกู้ที่ถูกแก้ไขมีอยู่ในวันทำสัญญา แล้วมีการแก้ไขจำนวนเงินกู้ในภายหลัง โดยให้รับฟังจากคำเบิกความของโจทก์ ย่อมเป็นการนำสืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร ต้องห้ามมิให้รับฟังพยานบุคคลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 (ข) วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6063

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6063/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1363, 1364

ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 3 มีข้อความว่า "หากจำเลยสามารถตรวจสอบพบว่าโจทก์ยังมีทรัพย์สินอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในข้อ 2 ตั้งแต่สมรสจนถึงวันที่ 28 กันยายน 2563 โจทก์ยอมให้จำเลยบังคับคดีเอาจากทรัพย์สินอื่นที่ตรวจพบดังกล่าวได้ทันที โดยที่คู่ความทั้งสองฝ่ายจะไม่โต้แย้งหรือพิสูจน์กันอีกว่าเป็นสินสมรสหรือไม่" เมื่อภายหลังจำเลยตรวจพบว่าโจทก์มีทรัพย์สินอื่นตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 3 หลายรายการ จำเลยย่อมใช้สิทธิขอแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวได้กึ่งหนึ่งทันที โดยไม่ต้องพิสูจน์อีกว่าทรัพย์สินดังกล่าวเป็นสินสมรสหรือไม่ แต่การใช้สิทธิขอแบ่งทรัพย์สินที่เป็นสินสมรสนั้น จำต้องพิจารณาว่าเป็นการบังคับคดีที่จะต้องดำเนินการผ่านเจ้าพนักงานบังคับคดีและการบังคับคดีที่ดำเนินการทางศาล โดยศาลชั้นต้นจะออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเฉพาะกรณีที่การบังคับคดีต้องดำเนินการผ่านเจ้าพนักงานบังคับคดีเท่านั้น เมื่อหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมในคดีนี้เป็นการแบ่งสินสมรสที่ชายและหญิงได้ส่วนเท่ากัน หากได้ความว่ายังคงมีทรัพย์สินอื่นที่โจทก์และจำเลยตกลงรับกันแล้วว่าเป็นสินสมรสอยู่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 3 และสินสมรสนั้นยังไม่ได้แบ่ง สินสมรสดังกล่าวถือเป็นกรรมสิทธิ์รวมของทั้งสองฝ่ายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1363 ซึ่งกฎหมายได้กำหนดขั้นตอนการแบ่งทรัพย์สินกันไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1364 การแบ่งทรัพย์สินระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในมาตรา 1364 ก่อน ซึ่งตามมาตรา 1364 นี้ ศาลชั้นต้นสามารถมีคำสั่งให้เอาทรัพย์สินอื่นตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 3 ออกแบ่งได้ ถ้าโจทก์กับจำเลยไม่ตกลงกันว่าจะแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวอย่างไร โดยจำเลยไม่ต้องไปฟ้องเป็นคดีใหม่ ในชั้นนี้ไม่ปรากฏว่าโจทก์กับจำเลยตกลงแบ่งทรัพย์สินกันได้หรือไม่ อย่างไร กรณีจึงยังไม่มีขั้นตอนการบังคับคดีที่ต้องดำเนินการผ่านเจ้าพนักงานบังคับคดี หากเมื่อศาลมีคำสั่งให้แบ่งทรัพย์สินกรณีที่โจทก์กับจำเลยไม่ตกลงแบ่งทรัพย์สินกัน จำเลยย่อมมีสิทธิขอออกคำบังคับและดำเนินการเพื่อให้มีการบังคับคดีต่อไปได้ หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ ไม่ว่าจะเป็นในฐานที่เป็นหนี้เงินหรือนำทรัพย์สินออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาแบ่งปันกันคนละครึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาให้เพิกถอนหมายบังคับคดีของศาลชั้นต้นนั้น ชอบด้วยกฎหมายแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5856

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5856/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1523

ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า "สามีจะเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งล่วงเกินภริยาไปในทำนองชู้สาวก็ได้และภริยาจะเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทำนองชู้สาวก็ได้" จากบทบัญญัติดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า การที่ภริยาเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นโดยไม่มีเงื่อนไขต้องฟ้องหย่าสามีมาด้วยนั้น ต้องปรากฏพฤติการณ์ด้วยว่าหญิงอื่นนั้นได้แสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์อย่างไร เมื่อโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีพฤติการณ์แสดงตนโดยเปิดเผยอย่างไร อันเป็นประเด็นแห่งคดีที่โจทก์จะนำสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าทดแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5579

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5579/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 5, 1523 วรรคสอง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 142 (5), 246, 252 พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 ม. 182/1 วรรคสอง

เมื่อพิจารณาจากคำฟ้องในคดีนี้ประกอบกับคดีที่โจทก์ฟ้อง ล. เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู จึงเห็นได้ว่าโจทก์ทราบมานานแล้วว่า ล. มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับหญิงอื่นหลายคนรวมทั้งจำเลยในคดีนี้ สอดคล้องกับที่โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ในช่วงปี 2559 ล. เลี้ยงดูผู้หญิงหลายคน และ ร. พยานโจทก์ที่เบิกความว่าได้สมัครทำงานเป็นเชฟให้แก่ ล. เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2560 พยานเป็นผู้ส่งภาพถ่ายแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง ล. กับจำเลย รวมทั้งคลิปวิดีโอต่าง ๆ ให้แก่โจทก์ พฤติการณ์ที่โจทก์ทราบดีว่า ล. มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับผู้หญิงหลายคน รวมทั้งจำเลยในคดีนี้ แต่โจทก์กลับมิได้ใช้สิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนในการกระทำดังกล่าวจากจำเลย แต่กลับทำสัญญาแยกกันอยู่กับ ล. สองฉบับดังกล่าวข้างต้นและให้ ล. จ่ายเงินค่าเลี้ยงดูให้แก่โจทก์ ตลอดจนให้ใช้บัตรเครดิตอย่างไม่จำกัดวงเงิน ต่อมาโจทก์กลับมาฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยในคดีนี้เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2563 เป็นจำนวนเงินสูงถึง 300,000,000 บาท หรือการที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจาก ล. เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2563 จำนวน 78,600,000 บาท อันเป็นระยะเวลาภายหลังจากที่โจทก์ทราบถึงเหตุดังกล่าวและแยกกันอยู่กับ ล. เมื่อปี 2557 เป็นเวลาถึงเกือบ 6 ปี จึงเชื่อว่าเกิดจากโจทก์ที่โกรธแค้นจำเลยและ ล. ที่ ล. ไม่จ่ายเงินค่าเลี้ยงดูให้แก่โจทก์อีกต่อไป รวมทั้งยกเลิกการใช้บัตรเครดิตของโจทก์ หาใช่มาจากจำเลย แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับ ล. สามีโจทก์ในทำนองชู้สาวตามที่โจทก์ฟ้องในคดีนี้ไม่ ซึ่งสอดคล้องกับที่โจทก์เบิกความตอบทนายโจทก์ถามว่า ในช่วงที่บัตรเครดิตของโจทก์หมดอายุ ได้มีการส่งบัตรเครดิตใหม่ไปให้ที่ที่พักของ ล. สามี จำเลยเห็นจึงบอกให้ ล. ตัดบัตรทิ้ง ทั้ง ป.พ.พ. มาตรา 5 บัญญัติว่า "ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี ในการชำระหนี้ก็ดี บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต" การที่โจทก์ใช้สิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยในคดีนี้ จึงสืบเนื่องมาจากการที่ ล. ระงับการจ่ายเงินค่าเลี้ยงดูและการใช้บัตรเครดิตของโจทก์ตามข้อตกลงเป็นสำคัญ มิได้มีเจตนาที่จะใช้บทบัญญัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523 วรรคสอง มาเรียกค่าทดแทนจากจำเลยอย่างแท้จริง การฟ้องคดีของโจทก์ดังกล่าวไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดให้กระทำได้ อีกทั้งยังเป็นการใช้สิทธิฟ้องจำเลยโดยไม่สุจริต ตาม ป.พ.พ. มาตรา 5 ด้วย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ ศาลฎีกามีสิทธิยกขึ้นในชั้นฎีกาได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) มาตรา 246 และมาตรา 252 ประกอบ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตา 182/1 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5524

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5524/2567

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 285

แม้ขณะเกิดเหตุจำเลยไม่ได้อยู่กินฉันสามีภริยากับ ก. แล้ว และอำนาจปกครองของผู้เสียหายตามกฎหมายเป็นของ ก. ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะเกิดเหตุ ก. พาผู้เสียหายไปฝากให้พักอาศัยอยู่กับจำเลยซึ่งก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายเคยพักอาศัยอยู่กับจําเลยหลายปี โดยจำเลยอุปการะเลี้ยงผู้เสียหายเสมือนเป็นบิดา เช่นนี้ พฤติการณ์ล่วงละเมิดทางเพศที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายจึงมีลักษณะเป็นการกระทำที่จำเลยมีอำนาจบังคับเหนือผู้เสียหาย ซึ่งก่อนเกิดเหตุเคยอยู่ในความอุปการะของจำเลย และขณะเกิดเหตุ ก. ได้ฝากให้ผู้เสียหายอยู่ในความดูแลของจำเลย ทำให้ผู้เสียหายต้องมีความเคารพยำเกรงและเชื่อฟังจำเลย ผู้เสียหายจึงเป็นผู้อยู่ภายใต้อำนาจด้วยประการอื่นใดของจำเลยตามความหมายของ ป.อ. มาตรา 285 แล้ว ดังนี้ เมื่อจำเลยพยายามกระทำชำเราผู้เสียหายในระหว่างที่ผู้เสียหายอยู่ภายใต้อำนาจด้วยประการอื่นใดของจำเลยแล้ว จำเลยจึงต้องรับโทษหนักขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5437

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5437/2567

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 295 วรรคสอง, 331 วรรคสาม

ประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้ระบุเงื่อนไขการเข้าเสนอราคาให้ชัดแจ้งว่า ผู้เข้าเสนอราคาที่เป็นผู้มีสิทธิขอหักส่วนได้ใช้แทนนั้นต้องเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิเหนือที่ดินที่ขายตามคำชี้ขาดของศาลดังเช่นที่กำหนดไว้ในระเบียบกระทรวงยุติธรรม ว่าด้วยการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดี พ.ศ. 2522 ข้อ 79 ทั้งในประกาศขายทอดตลาดมีข้อความระบุไว้ว่า "ที่ดินที่จะขายติดจำนองบริษัทบริหารสินทรัพย์ อ. เจ้าหนี้ตามมาตรา 95" เป็นการแสดงให้เห็นแล้วว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ผู้รับจำนองและเป็นผู้มีสิทธิขอหักส่วนได้ใช้แทนตามประกาศขายทอดตลาดดังกล่าว ที่ผู้ร้องมิได้วางหลักประกันก่อนเข้าเสนอราคาเนื่องจากเห็นว่าตนเป็นผู้มีสิทธิขอหักส่วนได้ใช้แทนจึงชอบแล้ว การที่ผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ให้ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ผู้รับจำนองเข้าสู้ราคาโดยอ้างว่าผู้ร้องมิใช่ผู้สิทธิหักส่วนได้ใช้แทน ย่อมทำให้ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีไม่มีสิทธิเต็มที่ในการเข้าสู้ราคาไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 331 วรรคสาม การขายทอดตลาดของผู้คัดค้านที่ 1 จึงฝ่าฝืนกฎหมาย ศาลย่อมมีอำนาจสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 295 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 14

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5357

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5357/2567

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 353 (2)

ผู้ร้องซื้ออุปกรณ์ภายในร้านค้าของจำเลยแล้วเข้าดำเนินกิจการร้านค้าแทน เป็นการอาศัยสิทธิของจำเลยที่เป็นผู้เช่าอาคารพิพาทจากโจทก์เข้าไปทำประโยชน์ในอาคารพิพาทแทนจำเลย ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะบริวารของจำเลย

การรถไฟแห่งประเทศไทยฟ้องขับไล่โจทก์จนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพร้อมส่งมอบที่ดินในสภาพเรียบร้อยคืนแก่การรถไฟแห่งประเทศไทยแล้ว โจทก์เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวและมีหน้าที่ต้องส่งมอบที่ดินในสภาพเรียบร้อยคืนแก่การรถไฟแห่งประเทศไทย การที่ผู้ร้องยังไม่ออกไปจากที่ดินทำให้โจทก์ไม่อาจส่งมอบที่ดินในสภาพเรียบร้อยคืนแก่การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ ผู้ร้องจึงเป็นภาระของโจทก์ในการปฏิบัติตามคำบังคับ หาใช่อำนาจพิเศษในการครอบครองอาคารพิพาทไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5659

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5659/2567


เนื่องจากมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 โดยตามมาตรา 39 แห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าวบัญญัติว่า "เมื่อพ้นกำหนดสามร้อยหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้เปลี่ยนความผิดอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียวตามกฎหมายในบัญชี 1 ท้ายพระราชบัญญัตินี้ เป็นความผิดทางพินัยตามพระราชบัญญัตินี้ และให้ถือว่าอัตราโทษปรับอาญาที่บัญญัติไว้ในกฎหมายดังกล่าว เป็นอัตราค่าปรับเป็นพินัยตามพระราชบัญญัตินี้" และมาตรา 45 บัญญัติว่า "บรรดาความผิดอาญาที่เปลี่ยนเป็นความผิดทางพินัยตามมาตรา 39 มาตรา 40 หรือมาตรา 42 (1)…(3) ถ้าอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ให้ศาลพิจารณาปรับเป็นพินัยตามพระราชบัญญัตินี้" ดังนั้น เมื่อในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาบทบัญญัติมาตรา 39 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรับเป็นพินัยฯ มีผลใช้บังคับ ย่อมมีผลให้ความผิดตาม พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 19, 57 ซึ่งเป็นความผิดอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียวและเป็นกฎหมายที่มีอยู่ในบัญชี 1 ท้าย พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรับเป็นพินัยฯ เปลี่ยนเป็นความผิดทางพินัย และเมื่อความผิดทางพินัยฐานดังกล่าวนี้เป็นการกระทำกรรมเดียวกับความผิดทางอาญาตาม ป.อ. มาตรา 385 ความผิดทางพินัยจึงเป็นอันยุติไปตามบทบัญญัติมาตรา 16 (1) แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรับเป็นพินัยฯ กรณีต้องลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 385

« »
ติดต่อเราทาง LINE