คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2567

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3113

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3110 - 3113/2567

พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ม. 7, 123, 124 พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 ม. 41 (4), 121, 123, 124, 125

กรณีนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยนายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชยหรือค่าจ้างแทนการบอกกล่าวหน้าหรือเงินอย่างหนึ่งอย่างใดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ลูกจ้างมีสิทธิยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานเพื่อให้มีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินดังกล่าวแก่ลูกจ้าง ซึ่งหากพนักงานตรวจแรงงานสอบสวนข้อเท็จจริงและปรากฏว่าลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินอย่างหนึ่งอย่างใดที่นายจ้างมีหน้าที่จ่ายดังกล่าว ให้พนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินดังกล่าวแก่ลูกจ้างตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 123 และมาตรา 124 ส่วนกรณีนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 121 และมาตรา 123 อันเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ลูกจ้างมีสิทธิยื่นคำร้องกล่าวหานายจ้างต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ตามมาตรา 124 คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดและออกคำสั่ง ในกรณีที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชี้ขาดว่าเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานหรือให้จ่ายค่าเสียหาย หรือให้นายจ้างผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดได้ตามที่เห็นสมควรตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 125 และมาตรา 41 (4) เห็นได้ว่า พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 กำหนดการเยียวยาแก่ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างไว้แตกต่างกันและเป็นกฎหมายคนละฉบับ ลูกจ้างจึงมีสิทธินำเหตุแห่งการเลิกจ้างเดียวกันไปยื่นคำร้องทั้งต่อพนักงานตรวจแรงงานหรือต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้ ถือไม่ได้ว่าเป็นการใช้สิทธิซ้ำซ้อนกัน

พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 7 บัญญัติว่า "การเรียกร้องหรือการได้มาซึ่งสิทธิหรือประโยชน์ตามพระราชบัญญัตินี้ ไม่เป็นการตัดสิทธิหรือประโยชน์ที่ลูกจ้างพึงได้ตามกฎหมายอื่น" ประกอบกับ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 41 (4) บัญญัติให้อำนาจคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคำสั่งให้นายจ้างกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดใน 3 ประการ คือ สั่งให้รับลูกจ้างกลับเข้าทำงานก็ได้ หรือสั่งให้จ่ายค่าเสียหายก็ได้ หรือสั่งให้ผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งที่เห็นสมควรก็ได้ หรือคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์อาจจะสั่งพร้อมกันหลายประการก็ได้ ดังนี้ แม้โจทก์ทั้งสี่ได้รับค่าชดเชยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อมีการเลิกจ้าง อันถือได้ว่าโจทก์ทั้งสี่ไม่ประสงค์จะทำงานกับจำเลยที่ 2 อีกต่อไป และไม่ถือเอาประโยชน์ในส่วนของการขอให้จำเลยที่ 2 รับโจทก์ทั้งสี่กลับเข้าทำงานก็ตาม แต่โจทก์ทั้งสี่ก็ยังมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเนื่องจากการกระทำอันไม่เป็นธรรมของจำเลยที่ 2 ตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ซึ่งเป็นคนละส่วนกัน และคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจตามมาตรา 41 (4) สั่งให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าเสียหายดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสี่ได้ ในการยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จำเลยที่ 1 นั้น นอกจากโจทก์ทั้งสี่ขอให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 รับโจทก์ทั้งสี่กลับเข้าทำงานแล้ว โจทก์ทั้งสี่ยังขอให้มีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่ โดยโจทก์ทั้งสี่ยังคงฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จำเลยที่ 1 ที่ให้ยกคำร้อง และขอให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสี่เช่นเดิมด้วย แสดงว่าโจทก์ทั้งสี่ยังติดใจเรียกร้องค่าเสียหายอันเนื่องจากการกระทำอันไม่เป็นธรรมของจำเลยที่ 2 อยู่ โจทก์ทั้งสี่จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จำเลยที่ 1 ในส่วนของค่าเสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2952

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2952/2567

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 72, 288, 371 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 44/1, 195 วรรคสอง, 225

ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ และฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร มิใช่ความผิดต่อส่วนตัว แม้จำเลยที่ 1 นำเงินมาชดใช้ให้แก่ผู้ร้องทั้งสองจนเป็นที่พอใจและไม่ติดใจดำเนินคดีกับจำเลยที่ 1 ก็ตาม ก็ไม่ถือว่าเป็นการยอมความ อันจะทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ในความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวระงับไป แต่มีผลทำให้คดีในส่วนแพ่งของผู้ร้องทั้งสองที่ยื่นคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 ระงับไปเท่านั้น ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2659

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2659/2567

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 91, 341, 343 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 195 วรรคสอง, 225 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ม. 14 วรรคหนึ่ง (1), 14 วรรคสอง

โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยโดยทุจริตหลอกลวงผู้เสียหายด้วยการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จผ่านทางโปรแกรมเฟซบุ๊กตามฟ้อง เสนอขายสินค้าซึ่งความจริงแล้วจำเลยไม่มีเจตนาขายสินค้าดังกล่าวทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินค่าสินค้าให้แก่จำเลย แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องกล่าวหาด้วยว่าเป็นการหลอกลวงเสนอขายสินค้าต่อประชาชนอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตาม ป.อ. มาตรา 343 และไม่ได้บรรยายว่าการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ดังกล่าวนั้นน่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ส่วนบัญชีเฟซบุ๊กตามฟ้อง โจทก์ก็ไม่บรรยายว่าเฟซบุ๊กดังกล่าวเปิดเป็นสาธารณะที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ อันจะถือได้ว่าเป็นการหลอกลวงประชาชน และการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จดังกล่าวน่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน โจทก์จึงบรรยายฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตาม ป.อ. มาตรา 343 และฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) จึงไม่อาจลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 343 และปรับบทลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยไม่ได้ฎีกาปัญหานี้มา ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 แต่พฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยตามฟ้องเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341 และฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จอันเป็นการกระทำต่อบุคคลใดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคสอง ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพ ย่อมลงโทษจำเลยในความผิดฐานดังกล่าวได้

การกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันตาม ป.อ. มาตรา 91 ไม่ได้บัญญัติว่าการกระทำหลายกรรมนั้นจะเกิดขึ้นในวาระเดียวกันไม่ได้ การกระทำในวันและเวลาเดียวกันหรือต่อเนื่องในคราวเดียวกันก็อาจจะเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันได้ คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามฟ้องว่าจำเลยหลอกลวงโดยการส่งข้อความเสนอขายสินค้าให้แก่ผู้เสียหายผ่านทางบัญชีเฟซบุ๊กตามฟ้องรวม 2 ครั้ง และผู้เสียหายซื้อสินค้าต่างชนิดกัน 2 ครั้ง เป็นการหลอกลวงผู้เสียหายเพื่อให้ได้เงินจากผู้เสียหายในการซื้อสินค้าต่างชนิดกันรวม 2 ครั้ง จึงเป็นความผิด 2 กรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2542

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2542/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 193/30, 193/33

สินเชื่อส่วนบุคคลที่จำเลยค้างชำระตามหนังสือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ระบุยอดหนี้ที่จำเลยต้องชำระ 46,797 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และผ่อนชำระเป็นงวดรายเดือนขั้นต่ำ 1,300 บาท ทุกวันที่ 2 ของเดือน โดยกำหนดให้จำเลยชำระเพียงจำนวนเงินขั้นต่ำที่ต้องชำระ แม้จะนำไปหักชำระเป็นต้นเงินและดอกเบี้ยบางส่วนก็ตาม แต่หากจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้และภายในเวลาที่กำหนด จำเลยจะต้องชำระค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใด ๆ อันเป็นข้อตกลงว่า จำเลยอาจชำระหนี้ในอัตราขั้นสูงเพียงใดก็ได้ และมิได้มีข้อตกลงกำหนดให้จำเลยต้องผ่อนชำระทุนคืนเป็นเวลากี่งวด หนังสือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ดังกล่าวไม่มีลักษณะผ่อนทุนคืนเป็นงวด ๆ จึงมิใช่สิทธิเรียกร้องที่มีกำหนดอายุความห้าปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (2) แต่สิทธิเรียกร้องของโจทก์เช่นนี้กฎหมายไม่ได้บัญญัติอายุความไว้ จึงมีอายุความสิบปี ตามมาตรา 193/30

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2515

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2515/2567

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 56

หลักเกณฑ์การรอการลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 56 วรรคหนึ่ง (2) ต้องพิจารณาโทษจำคุกในความผิดที่ได้กระทำในคดีนั้น ๆ ว่าต้องคำพิพากษาให้จำคุกเกิน 6 เดือนหรือไม่ ซึ่งหมายถึงโทษจำคุกสุทธิก่อนบวกโทษที่รอการลงโทษในคดีอื่นเท่านั้น ดังนั้น เมื่อคดีก่อนศาลลงโทษจำเลยที่ 5 ให้จำคุกไม่เกิน 6 เดือน แม้ศาลคดีก่อนจะนำโทษจำคุกของจำเลยที่ 5 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอื่นมาบวกคดีละ 4 เดือน เป็นจำคุก 14 เดือน ก็ยังถือว่าอยู่ในเงื่อนไขหลักเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษจำคุกตาม ป.อ. มาตรา 56 วรรคหนึ่ง (2) ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2427

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2427/2567

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 158 (5), 192 วรรคสาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ม. 4

ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 บัญญัติให้ฟ้องโจทก์ต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ดังนั้น หากฟ้องโจทก์แตกต่างจากข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาในรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิดในส่วนที่เป็นวัตถุแห่งการกระทำที่กฎหมายมุ่งคุ้มครอง ย่อมถือว่าแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดต่อรถยนต์ตามที่โจทก์ฟ้อง หากแต่จำเลยกระทำต่อเงินที่จำเลยได้รับจากการจำนำรถยนต์ ซึ่งโจทก์ไม่ได้ฟ้องและไม่ได้ประสงค์ให้ลงโทษจำเลย ในกรณีเช่นนี้ต้องถือว่าแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ จึงลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2359

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2359/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 420, 438, 1168, 1169

จำเลยที่ 1 เป็นกรรมการของโจทก์อยู่ขณะเข้าไปเป็นกรรมการของจำเลยที่ 3 ซึ่งประกอบกิจการค้าขายอันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกันและเป็นการแข่งขันกับการค้าขายของโจทก์ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อหน้าที่ของกรรมการซึ่งจะต้องใช้ความระมัดระวังเอื้อเฟื้อสอดส่องอย่างบุคคลค้าขายผู้ประกอบด้วยความระมัดระวังในการบริหารจัดการงานของบริษัทโจทก์เพื่อประโยชน์ของบริษัทและผู้ถือหุ้น ทั้งเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการประกอบการค้าแข่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1168 ที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นกรรมการของโจทก์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม แต่กลับฝ่าฝืน และจัดตั้งจำเลยที่ 3 มาเป็นส่วนหนึ่งในการประกอบกิจการแข่งขัน จึงเป็นการจงใจกระทำความผิดต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 ด้วย และการกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นการร่วมกับจำเลยที่ 1 เพื่อให้บรรลุผลในการประกอบกิจการแข่งขันอันเป็นละเมิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์

สำหรับจำเลยที่ 2 ได้ความว่าที่ประชุมมีมติแต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการของโจทก์ แต่โจทก์ยังไม่นำความดังกล่าวไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 1157 จึงไม่อาจถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการของโจทก์ซึ่งกระทำผิดต่อหน้าที่กรรมการตามที่กฎหมายบัญญัติดังเช่นการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 แต่อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 2 มีความสัมพันธ์และรับรู้ถึงการก่อตั้งบริษัทจำเลยที่ 3 ขึ้นมาเพื่อทำการแข่งขันทางการค้ากับโจทก์ การที่จำเลยที่ 2 ร่วมเป็นผู้เริ่มก่อการจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ 3 และเข้าเป็นกรรมการซึ่งเป็นผู้ควบคุมการดำเนินการของบริษัทจำเลยที่ 3 ล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการประกอบธุรกิจของจำเลยที่ 3 พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ที่เข้าเกี่ยวข้องดังกล่าวถือเป็นการกระทำร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ในลักษณะแบ่งหน้าที่กันกระทำการแข่งขันทางการค้ากับโจทก์ เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1และที่ 3 เป็นละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ในผลแห่งละเมิดนั้นด้วย

ความรับผิดของกรรมการกรณีฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1168 นั้น บริษัทอาจใช้สิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากกรรมการเป็นการเฉพาะ หรือในกรณีที่บริษัทไม่ยอมฟ้องร้อง ผู้ถือหุ้นอาจฟ้องคดีแทนบริษัทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1169 และการเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสามในฐานะผู้ร่วมกระทำละเมิดต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 438 ไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ 3 จดทะเบียนเลิกบริษัทหรือจดทะเบียนยกเลิกวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการตามคำขอของโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1245

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1245/2567

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 39 (2), 39 (3) พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 ม. 7

การที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำบันทึกข้อตกลงว่า ตามที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีหมายเลขแดงที่ พ 1873/2562 ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ แต่มีเหตุขัดข้องทำให้จำเลยที่ 1 ยังไม่อาจปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ตกลงได้ โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงทำบันทึกดังต่อไปนี้ จำเลยที่ 1 ตกลงชำระเงิน 4,800,000 บาท ให้แก่โจทก์ แบ่งชำระ 2 งวด ชำระในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 เป็นเงิน 1,200,000 บาท และชำระในวันที่ 18 ธันวาคม 2562 เป็นเงิน 3,600,000 บาท โดยจำเลยทั้งสองร่วมกันสั่งจ่ายเช็ค 2 ฉบับ ฉบับแรกสั่งจ่ายเงิน 1,200,000 บาท และฉบับที่สองสั่งจ่ายเงิน 3,600,000 บาท หากจำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวครบถ้วน ให้ถือว่าภาระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งดังกล่าวเป็นอันสิ้นสุด แต่หากจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระหนี้ตามเช็คดังกล่าว ให้ถือว่าบันทึกข้อตกลงฉบับนี้เป็นอันสิ้นสุดลง และจำเลยที่ 1 ยินยอมให้โจทก์บังคับคดีได้เต็มจำนวนภาระหนี้ที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความทันที ตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองร่วมกันออกเช็คพิพาท เพื่อชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่ง โดยมีข้อตกลงว่าหากผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับคดีได้เต็มจำนวนภาระหนี้ที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความได้ทันที เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามเช็คพิพาทฉบับที่ 2 จำนวน 3,600,000 บาท ให้แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอีกต่อไป แต่จำเลยที่ 1 ยังคงผูกพันตามคำพิพากษาตามยอมเดิม หนี้ดังกล่าวที่จำเลยทั้งสองร่วมกันออกเช็คพิพาทชำระจึงไม่สิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งจะถือว่าคดีเลิกกันตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมไม่ระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (3)

ส่วนบันทึกข้อตกลงท้ายรายงานการยึดทรัพย์ในภายหลังต่อมาที่มีข้อความว่า จำเลยที่ 1 จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ 9,000,000 บาท ชำระในวันทำสัญญา 100,000 บาท ส่วนที่เหลือผ่อนชำระเป็นงวดจนกว่าจะชำระครบ โดยชำระงวดสุดท้ายในวันที่ 30 กันยายน 2563 หากจำเลยที่ 1 ผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดถือว่าไม่เคยมีข้อตกลงดังกล่าว ให้โจทก์บังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีหมายเลขแดงที่ พ 1873/2562 ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้นั้น นอกจากจะเป็นข้อตกลงในชั้นบังคับคดีเพื่อชะลอการบังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 แล้ว ยังเป็นข้อตกลงในการผ่อนชำระหนี้ตามเช็คพิพาทเท่านั้น และตามข้อตกลงดังกล่าวไม่มีข้อความตอนใดแสดงว่าโจทก์ตกลงสละสิทธิในการดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองในทันทีหรือยอมความกัน จึงไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ไม่ทำให้มูลหนี้เดิมตามเช็คระงับไป แล้วเกิดหนี้ใหม่ตามบันทึกข้อตกลงท้ายรายงานการยึดทรัพย์ ทั้งไม่มีการเปลี่ยนแปลงสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ จึงไม่เป็นแปลงหนี้ใหม่ อันจะทำให้หนี้เดิมระงับไปแต่อย่างใด เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้ใช้เงินตามเช็คพิพาทฉบับที่ 2 ให้โจทก์ และหนี้ที่ได้ออกเช็คเพื่อใช้เงินนั้นก็ไม่สิ้นผลผูกพันตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 คดีจึงไม่เลิกกัน สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมไม่ระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) และ (3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1220

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1220/2567

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 343 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 2 (4), 28 (2)

ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งชักชวนโจทก์ให้นำเงินมาลงทุนในบริษัท ม. ว่าจะได้ผลตอบแทนสูง แม้เมื่อคำนวณเป็นดอกเบี้ยแล้วจะเกินกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปีก็ตาม แต่กรณีมิใช่เรื่องที่โจทก์ให้บริษัท ม. กู้ยืมเงินแล้วเรียกผลตอบแทนทำนองเดียวกับดอกเบี้ยในอัตราสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดอันจะอยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 หากแต่ผลตอบแทนที่โจทก์จะได้รับนั้นเกิดจากผลกำไรจากการประกอบกิจการของบริษัทนั้นเองซึ่งจากการอวดอ้างชักชวนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่แสดงออกแก่โจทก์ไม่ปรากฏว่าบริษัท ม. มีการประกอบกิจการอย่างใดอันเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีจึงถือไม่ได้ว่าการคาดหมายว่าจะได้รับผลตอบแทนจำนวนสูงของโจทก์มีมูลมาจากการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย

สำหรับความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตาม ป.อ. มาตรา 343 แม้จะเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน แต่ประชาชนคนหนึ่งคนใดที่ต้องสูญเสียทรัพย์สินไปจากการถูกหลอกลวงต้องถือว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำความผิดฐานนี้ด้วยและย่อมเป็นผู้เสียหายที่จะฟ้องคดีได้ด้วยตนเองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 28 (2) โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1207

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1207/2567

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 227 วรรคสอง พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 ม. 5

การจะเป็นความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติโดยร่วมกระทำการใด ๆ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในการดำเนินการขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ หรือเป็นเครือข่ายดำเนินงานขององค์กรดังกล่าว หรือสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรดังกล่าวตามฟ้องได้นั้น โจทก์จะต้องนำสืบให้ปรากฏชัดถึงพฤติการณ์แห่งการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดของจำเลยดังที่ระบุไว้ในมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 แต่คดีนี้ปรากฏว่าผู้เสียหายไม่ได้โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลย เนื่องจากคนร้ายแจ้งเปลี่ยนแปลงบัญชีเงินฝากธนาคารเป็นบัญชีอื่น หาใช่ผู้เสียหายไม่สามารถทำรายการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยได้ ฉะนั้น เมื่อคดีได้ความว่าคนร้ายไม่ได้ใช้บัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยเป็นบัญชีรับและถอนเงินที่ได้มาจากการหลอกลวงผู้เสียหาย เช่นนี้เท่ากับยังไม่ปรากฏพฤติการณ์แห่งการกระทำใด ๆ ของจำเลยอย่างอื่นอีกที่จะบ่งชี้ได้ว่าจำเลยมีส่วนร่วมรู้เห็นหรือยินยอมให้คนร้ายใช้บัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยในการกระทำความผิด ทั้งไม่ปรากฏว่านอกจากคดีนี้แล้วคนร้ายนำบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยไปใช้เป็นบัญชีรับเงินจากผู้เสียหายรายอื่นอีก ลำพังเพียงการที่คนร้ายแจ้งบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยแก่ผู้เสียหายเพื่อให้ผู้เสียหายโอนเงินให้ แต่ภายหลังเปลี่ยนเป็นบัญชีเงินฝากธนาคารอื่นโดยผู้เสียหายยังไม่ได้โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลย จึงยังไม่มีน้ำหนักรับฟังได้มั่นคงว่าจำเลยมีส่วนร่วมกระทำการใด ๆ ในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตามฟ้อง หากแต่ยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำความผิดดังกล่าวหรือไม่ จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง

« »
ติดต่อเราทาง LINE