สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2542/2567

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2542/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 193/30, 193/33

สินเชื่อส่วนบุคคลที่จำเลยค้างชำระตามหนังสือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ระบุยอดหนี้ที่จำเลยต้องชำระ 46,797 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และผ่อนชำระเป็นงวดรายเดือนขั้นต่ำ 1,300 บาท ทุกวันที่ 2 ของเดือน โดยกำหนดให้จำเลยชำระเพียงจำนวนเงินขั้นต่ำที่ต้องชำระ แม้จะนำไปหักชำระเป็นต้นเงินและดอกเบี้ยบางส่วนก็ตาม แต่หากจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้และภายในเวลาที่กำหนด จำเลยจะต้องชำระค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใด ๆ อันเป็นข้อตกลงว่า จำเลยอาจชำระหนี้ในอัตราขั้นสูงเพียงใดก็ได้ และมิได้มีข้อตกลงกำหนดให้จำเลยต้องผ่อนชำระทุนคืนเป็นเวลากี่งวด หนังสือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ดังกล่าวไม่มีลักษณะผ่อนทุนคืนเป็นงวด ๆ จึงมิใช่สิทธิเรียกร้องที่มีกำหนดอายุความห้าปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (2) แต่สิทธิเรียกร้องของโจทก์เช่นนี้กฎหมายไม่ได้บัญญัติอายุความไว้ จึงมีอายุความสิบปี ตามมาตรา 193/30

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 65,435.49 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 45,631 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 65,435.49 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 45,631 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 3,000 บาท กับค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 600 บาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และค่าส่งคำคู่ความแก่จำเลยรวม 1,908 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลที่ค้างชำระแก่บริษัท อ. เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2555 จำเลยทำหนังสือปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับบริษัท อ. โดยได้รับอนุมัติให้เหลือยอดเงินที่ต้องชำระ 46,797 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ผ่อนชำระเป็นงวดรายเดือนขั้นต่ำ 1,300 บาท ทุกวันที่ 2 ของเดือน ตามหนังสือแสดงเจตนาและให้ความยินยอมเพื่อปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 โจทก์รับโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้คดีนี้มาจากบริษัท อ.

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า บริษัท อ. ได้รับอนุญาตให้ประกอบสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน และกฎหมายมิได้กำหนดอายุความสินเชื่อดังกล่าวไว้ ตามหนังสือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ดังกล่าว ไม่มีลักษณะเป็นการผ่อนทุนคืนเป็นงวด ๆ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 (2) ซึ่งมีอายุความห้าปี แต่มีอายุความสิบปีตามมาตรา 193/30 และโจทก์นำสืบว่าจำเลยชำระหนี้ครั้งสุดท้ายวันที่ 3 กรกฎาคม 2555 จำนวน 1,300 บาท หลังจากนั้นไม่ชำระอีกเลย โดยเหลือยอดหนี้ค้างชำระ ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นเงิน 45,631 บาท ดอกเบี้ย 4,378 บาท ค่าธรรมเนียม 4,100 บาท รวมเป็นเงิน 54,109 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 45,631 บาท นับแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2563 จนถึงวันฟ้อง เป็นดอกเบี้ย 11,326.49 บาท รวมเป็นเงิน 65,435.49 บาท ส่วนจำเลยแก้ฎีกาโดยไม่โต้แย้งยอดหนี้ดังกล่าว เห็นว่า สินเชื่อส่วนบุคคลที่จำเลยค้างชำระตามหนังสือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ดังกล่าวระบุยอดหนี้ที่จำเลยต้องชำระ 46,797 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และผ่อนชำระเป็นงวดรายเดือนขั้นต่ำ 1,300 บาท ทุกวันที่ 2 ของเดือน โดยกำหนดให้จำเลยชำระเพียงจำนวนเงินขั้นต่ำที่ต้องชำระ แม้จะนำไปหักชำระเป็นต้นเงินและดอกเบี้ยบางส่วนก็ตาม แต่หากจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้และภายในเวลาที่กำหนด จำเลยจะต้องชำระค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใด ๆ อันเป็นข้อตกลงว่า จำเลยอาจชำระหนี้ในอัตราขั้นสูงเพียงใดก็ได้ และมิได้มีข้อตกลงกำหนดให้จำเลยต้องผ่อนชำระทุนคืนเป็นเวลากี่งวด หนังสือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ดังกล่าวไม่มีลักษณะผ่อนทุนคืนเป็นงวด ๆ จึงมิใช่สิทธิเรียกร้องที่มีกำหนดอายุความห้าปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 (2) แต่สิทธิเรียกร้องของโจทก์เช่นนี้กฎหมายไม่ได้บัญญัติอายุความไว้ จึงมีอายุความสิบปีตามมาตรา 193/30 จำเลยผิดนัดชำระหนี้ในงวดที่ถึงกำหนดชำระวันที่ 2 สิงหาคม 2555 เป็นต้นมา บริษัท อ. ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ทั้งหมดได้ทันทีนับแต่จำเลยผิดนัดดังกล่าว เมื่อโจทก์รับโอนสิทธิเรียกร้องในมูลหนี้ดังกล่าวและฟ้องคดีนี้ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น

พิพากษากลับ ให้บังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีการวม 6,000 บาท

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา ผบ.(พ)429/2566

แหล่งที่มา หนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE