คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2427/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 158 (5), 192 วรรคสาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ม. 4
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 บัญญัติให้ฟ้องโจทก์ต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ดังนั้น หากฟ้องโจทก์แตกต่างจากข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาในรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิดในส่วนที่เป็นวัตถุแห่งการกระทำที่กฎหมายมุ่งคุ้มครอง ย่อมถือว่าแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดต่อรถยนต์ตามที่โจทก์ฟ้อง หากแต่จำเลยกระทำต่อเงินที่จำเลยได้รับจากการจำนำรถยนต์ ซึ่งโจทก์ไม่ได้ฟ้องและไม่ได้ประสงค์ให้ลงโทษจำเลย ในกรณีเช่นนี้ต้องถือว่าแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ จึงลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกไม่ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 1,100,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 จำคุก 1 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 9 เดือน กับให้จำเลยคืนเงิน 66,000 บาท แก่ผู้เสียหาย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเกิดเหตุตามฟ้อง ผู้เสียหายมอบรถเก๋งที่ผู้เสียหายเช่าซื้อมาให้จำเลย หลังจากนั้น วันที่ 16 ธันวาคม 2563 จำเลยนำรถยนต์คันดังกล่าวไปจำนำไว้แก่ผู้อื่น และนำเงิน 66,000 บาท ที่ได้รับจากการจำนำรถยนต์คันดังกล่าวไป สำหรับความผิดฐานฉ้อโกง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ไม่อุทธรณ์ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่จำเลยนำเงิน 66,000 บาท ที่ได้รับจากการจำนำรถยนต์ไปนั้น เป็นการยักยอกเงิน 66,000 บาท ของผู้เสียหาย และพิพากษาลงโทษจำเลยฐานยักยอกทรัพย์นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องมานั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยโดยทุจริต หลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ และโดยการหลอกลวงดังว่านั้น จำเลยได้ไปซึ่งรถยนต์ตามฟ้องจากผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกง กับให้คืนหรือใช้ราคารถยนต์แก่ผู้เสียหาย ศาลชั้นต้นเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์มีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยและพิพากษายกฟ้องโจทก์ เท่ากับว่าได้มีการวินิจฉัยข้อเท็จจริงซึ่งเป็นประเด็นแห่งคดีแล้วว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบให้ศาลเห็นว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้อง เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์ ความผิดฐานฉ้อโกงย่อมยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์จึงฎีกาขอให้ศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงไม่ได้ ส่วนที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยต่อไปทำนองว่า ผู้เสียหายรู้เห็นยินยอมให้จำเลยนำรถยนต์ตามฟ้องไปจำนำไว้แก่ผู้อื่นนั้น แม้จะรับฟังเป็นความจริงดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย และข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติดังวินิจฉัยข้างต้นว่า เมื่อจำเลยนำรถยนต์ตามฟ้องไปจำนำไว้แก่ผู้อื่น จำเลยนำเงิน 66,000 บาท ที่ได้รับจากการจำนำรถยนต์คันดังกล่าวไป จะเป็นการเบียดบังเอาเงินของผู้เสียหาย 66,000 บาท ที่ได้รับจากการจำนำรถยนต์ไปโดยทุจริต เป็นความผิดฐานยักยอกดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย อันเป็นกรณีที่ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องระหว่างการกระทำผิดฐานฉ้อโกงและยักยอกก็ตาม แต่ข้อแตกต่างดังกล่าวนั้นเป็นเพียงตัวอย่างที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 บัญญัติไว้ว่า มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญเท่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 บัญญัติให้ฟ้องโจทก์ต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ดังนั้น หากฟ้องโจทก์แตกต่างจากข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาในรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิดในส่วนที่เป็นวัตถุแห่งการกระทำที่กฎหมายมุ่งคุ้มครอง ย่อมถือว่าแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดต่อรถยนต์ตามที่โจทก์ฟ้อง หากแต่จำเลยกระทำต่อเงินที่จำเลยได้รับจากการจำนำรถยนต์ ซึ่งโจทก์ไม่ได้ฟ้องและไม่ได้ประสงค์ให้ลงโทษจำเลย ในกรณีเช่นนี้ต้องถือว่าแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ จึงลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกไม่ได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ย่อมพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอก เป็นให้ยกฟ้องได้ โดยไม่ต้องส่งสำนวนคืนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงที่ได้จากการสืบพยานดังที่โจทก์อ้างในฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องมานั้น ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.4710/2566
แหล่งที่มา หนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา


