คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2567
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3237/2567
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 850, 852
ตามรายงานการประชุมการไกล่เกลี่ยครั้งที่ 3 ปรากฏข้อความในช่องรายการอื่น ๆ ว่า โจทก์ตกลงถอนฟ้อง โดยจำเลยทั้งสองเสนอให้ขายที่ดินพิพาทในราคาไม่ต่ำกว่า 30,000,000 บาท ภายใน 1 ปี หากไม่มีผู้ซื้อ จำเลยที่ 2 ตกลงเป็นผู้ซื้อเอง เมื่อขายที่ดินพิพาทได้แล้ว จำเลยทั้งสองจะแบ่งเงินที่ได้จากการขายที่ดินตามสัดส่วนการถือหุ้นของโจทก์ให้แก่โจทก์ แต่จะจ่ายให้โจทก์ไม่ต่ำกว่า 8,500,000 บาท และในวันเดียวกันโจทก์และจำเลยทั้งสองต่างยื่นคำร้องขอถอนฟ้องและถอนฟ้องแย้ง ศาลแพ่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำเลยทั้งสองถอนฟ้องแย้ง และจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ กรณีเช่นนี้ย่อมถือได้ว่า โจทก์และจำเลยทั้งสองต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันที่จะระงับข้อพิพาทที่มีอยู่เดิมตามคำฟ้อง คำให้การ ฟ้องแย้ง และคำให้การแก้ฟ้องแย้ง โดยโจทก์และจำเลยทั้งสองต่างมีเจตนามุ่งหมายให้มีการบังคับต่อกันตามบันทึกข้อตกลงที่ปรากฏในรายงานการประชุมการไกล่เกลี่ยครั้งที่ 3 จนถึงกับแต่ละฝ่ายต่างยอมถอนฟ้องและฟ้องแย้ง ยิ่งสนับสนุนให้เชื่อว่า ต่างฝ่ายมุ่งประสงค์ที่จะระงับข้อพิพาทเดิมและผ่อนผันให้ถือตามข้อตกลงใหม่ จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 แม้ตามคำร้องขอถอนฟ้องและฟ้องแย้งจะมีข้อความว่า มีแนวโน้มที่จะตกลงกันได้ ก็เป็นเพียงข้อบ่งชี้ให้เห็นว่า คู่กรณียอมผ่อนผันเพื่อจะนำไปสู่การปฏิบัติตามข้อตกลงไม่ใช่เป็นเพียงแนวทางในการเจรจาเบื้องต้นหรือเป็นเงื่อนไขที่จะทำให้สัญญาประนีประนอมยอมความไม่มีผลสมบูรณ์แต่อย่างใด เพราะมิเช่นนั้นทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสองคงไม่ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องและฟ้องแย้ง ส่งผลให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไปและทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในสัญญานั้นว่าเป็นของตนตาม ป.พ.พ. มาตรา 852 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3114/2567
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ม. 118 วรรคสอง, 118/1 วรรคหนึ่ง
การที่คู่มือพนักงานของจำเลยที่ 2 หมวดที่ 12 ข้อ 4.3 ระบุว่า "เกษียณอายุ พนักงานที่อายุครบห้าสิบห้าปี จะพ้นสภาพจากการเป็นพนักงาน ณ วันสิ้นเดือนของเดือนที่ครบเกษียณอายุ บริษัทอาจขยายเวลาการเกษียณอายุให้แก่พนักงานผู้หนึ่งผู้ใดก็ได้ตามที่เห็นสมควร โดยจะทำความตกลงล่วงหน้ากับพนักงานผู้นั้นเป็นกรณีไปโดยรายละเอียดในสัญญาจะได้รับการพิจารณาแก้ไขเพื่อความเหมาะสมต่อปี" ถือเป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างได้กำหนดเหตุสิ้นสุดสัญญาจ้างแรงงานหรือการสิ้นสุดการทำงานของลูกจ้างเนื่องจากการเกษียณอายุของลูกจ้างไว้ ดังนั้น เมื่อโจทก์มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ ในวันที่ 14 ธันวาคม 2560 โจทก์จึงครบเกษียณอายุในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 ซึ่งการครบเกษียณอายุนี้ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118/1 วรรคหนึ่ง มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดให้การเกษียณอายุหรือการที่ลูกจ้างออกจากงานเนื่องจากมีอายุครบตามเวลาที่กำหนดไว้ ถือเป็นการเลิกจ้างตามความหมายของคำว่า "การเลิกจ้าง" ที่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 118 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ดังนั้น หากลูกจ้างครบเกษียณอายุตามที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันหรือตามที่นายจ้างกำหนดไว้และปรากฏว่านายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้ จึงต้องถือว่านายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างเพราะเหตุเกษียณอายุ นายจ้างจึงมีหน้าที่ที่จะต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างตามอัตราที่กำหนดไว้ในมาตรา 118 วรรคหนึ่ง และการนับอายุงานเพื่อจ่ายค่าชดเชยก็ต้องนับตั้งแต่วันเริ่มทำงานถึงวันครบเกษียณอายุ แต่หากเป็นกรณีที่ลูกจ้างครบเกษียณอายุแล้วนายจ้างยังให้ลูกจ้างทำงานต่อเนื่องไปโดยนายจ้างไม่ได้จ่ายค่าชดเชย จะถือว่านายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างเพราะเหตุเกษียณอายุหาได้ไม่ เพราะมิใช่กรณีที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้อันถือเป็นการเลิกจ้างตามมาตรา 118 วรรคสอง นายจ้างจึงไม่มีหน้าที่ที่จะต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างในวันครบเกษียณอายุนั้น และหากต่อมานายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่เข้าข้อยกเว้นที่ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย การนับอายุงานของลูกจ้างเพื่อจ่ายค่าชดเชยในกรณีเช่นนี้ก็ต้องนับอายุงานต่อเนื่องกันไปจนถึงวันที่นายจ้างเลิกจ้าง
โจทก์ครบกำหนดเกษียณอายุ 55 ปี แล้วโจทก์และจำเลยที่ 2 มีการตกลงกันให้โจทก์ทำงานต่อเนื่องไปโดยไม่มีการจ่ายค่าชดเชย จึงไม่มีการกระทำใดของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างที่ไม่ให้โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้อันจะถือว่าจำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์ในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 ที่เป็นวันครบกำหนดเกษียณอายุของโจทก์ สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 จึงไม่ได้สิ้นสุดลง และมิใช่เป็นการตกลงทำสัญญาจ้างกันใหม่เพราะไม่ปรากฏพฤติการณ์ใดอันเป็นข้อบ่งชี้ได้ว่าโจทก์และจำเลยที่ 2 ประสงค์จะให้สัญญาจ้างเดิมสิ้นสุดลงและตกลงทำสัญญาจ้างฉบับใหม่ หากแต่เป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 ได้ตกลงขยายระยะเวลาเกษียณอายุสำหรับโจทก์ต่อไปเป็นการเฉพาะตามคู่มือพนักงานของจำเลยที่ 2 หมวดที่ 12 ข้อ 4.3 ดังนั้น ในวันที่โจทก์ครบเกษียณอายุ จำเลยที่ 2 จึงไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์แต่อย่างใด วันที่ 11 มิถุนายน 2563 จำเลยที่ 2 มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิดและให้มีผลเป็นการเลิกจ้างในวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 จำเลยที่ 2 จึงมีหน้าที่ที่จะต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์โดยนับอายุงานตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2553 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์เริ่มทำงานให้แก่จำเลยที่ 2 จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ซึ่งเป็นวันที่สัญญาจ้างสิ้นสุดลง รวมเป็นระยะเวลาที่โจทก์ทำงานให้จำเลยที่ 2 ติดต่อกันครบหกปีแต่ไม่ครบสิบปี จำเลยที่ 2 ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายสองร้อยสี่สิบวัน ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118 วรรคหนึ่ง (4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3196/2567
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 4 วรรคสอง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 146 วรรคสอง
คำร้องของโจทก์ที่ 1 มีคำขอให้ประธานศาลฎีกาหรือที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเป็นผู้สั่งกำหนดว่าจะให้ถือตามคําพิพากษาศาลฎีกาที่ขัดกันคดีใด เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดกำหนดให้ประธานศาลฎีกาหรือที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเป็นผู้ชี้ขาดคำพิพากษาศาลฎีกาที่ขัดกัน ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะปฏิเสธไม่ส่งคำร้องนั้นแล้วมีคำสั่งยกคำร้องเสียได้ กรณีนี้เป็นเรื่องของอำนาจร้องจึงเป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นที่จะต้องตรวจและพิจารณาสั่งคำร้องไปตามลำดับชั้นศาล ศาลชั้นต้นหาได้มีคำสั่งยกคำร้องโดยก้าวล่วงเข้าไปวินิจฉัยชี้ขาดว่าให้ถือตามคำพิพากษาศาลฎีกาคดีใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ครพ.พณ. 3139/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 60, 61, 247
ตามระเบียบของผู้ร้องกำหนดให้การลงลายมือชื่อของผู้มีอำนาจกระทำการแทนผู้ร้อง รวมทั้งหนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีหรือแต่งตั้งทนายความ ต้องประทับตราผู้ร้อง และที่ประชุมคณะกรรมการดำเนินการของผู้ร้องมีมติมอบอำนาจให้ประธานกรรมการหรือรองประธานกรรมการร่วมกับผู้จัดการใหญ่มีอำนาจกระทำการแทนผู้ร้องในการเป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งหรือเป็นจำเลยต่อสู้คดีในชั้นศาล โดยให้แต่งตั้งผู้รับมอบอำนาจช่วงได้และต้องประทับตราผู้ร้อง แต่ตามหนังสือมอบอำนาจช่วงที่แต่งตั้ง ช. ผู้จัดการใหญ่เป็นผู้มีอำนาจร้องขอให้ศาลมีคำสั่งในคดีนี้ มิได้ประทับตราผู้ร้อง การแต่งตั้งผู้รับมอบอำนาจช่วงจึงฝ่าฝืนระเบียบและมติที่ประชุมคณะกรรมการดำเนินการของผู้ร้อง
ช. มิใช่ผู้รับมอบอำนาจช่วงโดยชอบ จึงไม่มีอำนาจแต่งตั้งทนายความ การที่ ช. แต่งตั้ง ท. เป็นทนายความคดีนี้ จึงเป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจ ท. ไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาแทนหรือดำเนินคดีต่างผู้ร้องได้ เมื่อ ท.ลงลายมือชื่อเป็นผู้ฎีกา และเป็นผู้ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาโดยไม่มีอำนาจ คำร้องขออนุญาตฎีกาและฎีกาที่ยื่นมาจึงเป็นคำร้องขออนุญาตฎีกาและฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3119 - 3135/2567
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 ม. 49
การพิจารณาว่าการเลิกจ้างจะเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 หรือไม่ ศาลจำต้องพิจารณาว่านายจ้างมีเหตุแห่งการเลิกจ้างหรือไม่ หากมีสาเหตุแห่งการเลิกจ้างตามที่นายจ้างกล่าวอ้างจริง สาเหตุนั้นสมควรและเพียงพอแก่การเลิกจ้างลูกจ้างหรือไม่ นอกจากนี้ยังจะต้องพิจารณาด้วยว่านายจ้างได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ เท่าที่จำเป็นและเหมาะสมเพื่อแก้ไขปัญหาก่อนการเลิกจ้าง รวมทั้งมีกระบวนการคัดเลือกลูกจ้างที่ต้องออกจากงานอย่างเหมาะสมและเป็นธรรมหรือไม่ ประกอบกันด้วย
จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเจ็ดซึ่งเป็นลูกจ้างโดยอ้างเหตุผลความจำเป็นด้านการจัดการ ได้ความว่าจำเลยมีโครงสร้างองค์กร แบ่งหน่วยงานผลิตสินค้าออกเป็น 3 ฝ่าย ฝ่ายผลิต 1 และฝ่ายผลิต 2 ผลประกอบการมีกำไร แต่ฝ่ายผลิต 3 ซึ่งเป็นฝ่ายผลิตสินค้าอาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง ผักและผลไม้แช่แข็ง ที่โจทก์ทั้งสิบเจ็ดทำงานอยู่ มีผลประกอบการขาดทุนอย่างต่อเนื่องมานานนับสิบปี และมีผลประกอบการขาดทุนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วง 4 ปี ย้อนหลัง ก่อนมีการเลิกจ้าง โดยปี 2559 ขาดทุน 2,257,902 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.5 ของยอดจำหน่ายสินค้า ปี 2560 ขาดทุน 10,851,518 บาท คิดเป็นร้อยละ 2.5 ของยอดจำหน่ายสินค้า ปี 2561 ขาดทุน 21,419,971 บาท คิดเป็นร้อยละ 4.9 ของยอดจำหน่ายสินค้า ปี 2562 ขาดทุน 30,546,274 บาท คิดเป็นร้อยละ 7.3 ของยอดจำหน่ายสินค้า ส่วนปี 2563 ซึ่งเป็นปีที่เลิกจ้าง ขาดทุน 18,609,922 บาท คิดเป็นร้อยละ 5.5 ของยอดจำหน่ายสินค้า แม้ในปี 2563 ภายหลังเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 แล้ว ผลประกอบการของฝ่ายผลิต 3 จะขาดทุนลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับผลประกอบการในปี 2562 แต่ก็เห็นได้ว่าฝ่ายผลิต 3 ยังมีสถานะขาดทุนต่อเนื่องอยู่เช่นเดิม โดยมียอดขายลดลงอย่างมาก และการขาดทุนในอัตราส่วนที่ลดลงบ้างดังกล่าวก็ยังไม่มีนัยสำคัญหรือบ่งชี้ว่าการดำเนินงานของฝ่ายผลิต 3 จะสามารถรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ได้ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในประเทศไทยช่วงเดือนมกราคม 2563 ยังไม่มียารักษาโรคหรือวัคซีนป้องกันโรคได้ แนวโน้มของการแพร่ระบาดจึงรุนแรงจนรัฐบาลต้องกำหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อควบคุมยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดต่อดังกล่าว ถึงขั้นปิดสถานบริการหรือสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค และแม้รัฐบาลจะมีมาตรการที่เข้มงวด แต่ก็ปรากฏว่ามีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น สาเหตุที่จำเลยหยิบยกขึ้นเป็นเหตุเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเจ็ด โดยอ้างว่าสืบเนื่องมาจากกิจการของจำเลยประสบปัญหาการดำเนินงานและปริมาณงานของแผนกลดน้อยลงเป็นอย่างมากจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 จำเป็นต้องปรับปรุงหน่วยงานของจำเลยเพื่อความอยู่รอดขององค์กร จึงนับเป็นสาเหตุที่มีอยู่จริง และแม้ขณะเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเจ็ด กิจการทั้งหมดของจำเลยยังมีกำไร ไม่ได้มีผลประกอบการขาดทุนก็ตาม แต่ในฝ่ายผลิต 3 ที่โจทก์ทั้งสิบเจ็ดทำงานอยู่มีผลประกอบการขาดทุนในแต่ละปีเป็นจำนวนมากและต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลานานหลายปี ประกอบในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ประเทศไทยยังประสบกับภาวะวิกฤติด้านสาธารณสุขจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทำให้ยอดคำสั่งซื้อสินค้าลดน้อยลง และยังไม่เป็นการแน่นอนว่าวิกฤติการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจเพียงใดและจะยุติจบสิ้นลงเมื่อใด หากจำเลยไม่ดำเนินมาตรการต่าง ๆ ที่จำเป็นเพื่อปรับปรุงแก้ไขฝ่ายผลิต 3 ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีผลการดำเนินงานขาดทุนให้ดีขึ้นแล้ว ย่อมมีผลกระทบโดยตรงต่อผลประกอบการโดยรวมของจำเลยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งอาจทำให้กิจการทั้งหมดของจำเลยมีผลกำไรลดน้อยลงหรือถึงกับขาดทุนได้ ดังนั้น การที่จำเลยผู้เป็นนายจ้างดำเนินการปรับปรุงหน่วยงานฝ่ายผลิต 3 โดยลดจำนวนลูกจ้างทำงานในหน่วยงานดังกล่าวให้น้อยลงเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรให้เหมาะสมกับปริมาณงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในหน่วยผลิตที่เป็นปัญหา จึงเป็นอำนาจจัดการของนายจ้างที่สามารถทำได้ ภายใต้การประกอบการค้าเสรีและตามสภาวะการแข่งขันในทางธุรกิจ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเจ็ดซึ่งเป็นลูกจ้างในฝ่ายผลิต 3 เพราะสาเหตุดังกล่าว จึงนับได้ว่ามีเหตุผลที่สมควรและเพียงพอแก่การเลิกจ้างได้ ก่อนเลิกจ้างจำเลยมอบหมายให้หัวหน้างานของแต่ละแผนกไปแจ้งลูกจ้างให้ทราบถึงสถานการณ์ของจำเลยในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และจำเลยมีมาตรการต่าง ๆ เพื่อประคับประคองกิจการในภาพรวม เช่น การปรับลดลูกจ้างในหน่วยประสานงานและติดต่อลูกค้า หน่วยงานสนับสนุน และหน่วยงานผลิตสินค้า ฯลฯ ลดการทำงานล่วงเวลา ไม่จ้างลูกจ้างใหม่เพิ่ม เป็นต้น ทั้งจำเลยยังได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณาคัดเลือกลูกจ้างที่จำเลยจะเลิกสัญญา ได้แก่ การพิจารณาลูกจ้างที่สมัครใจลาออกก่อน การพิจารณาความซ้ำซ้อนของหน้าที่ในการทำงานและประสิทธิภาพในการทำงาน การพิจารณาลูกจ้างที่ถูกดำเนินการทางวินัย การพิจารณาลูกจ้างที่อายุงานน้อยหรือลูกจ้างที่เข้าใหม่ การพิจารณาลูกจ้างที่มีความเสี่ยงต่อผลกระทบจากการติดเชื้อโรคโควิด 19 สูง และการพิจารณาลูกจ้างที่มีผลการทำงานและความรู้ความสามารถเหมาะสมที่จะทำงานกับจำเลยต่อไป เพื่อให้อัตรากำลังเหมาะสมกับปริมาณงาน แสดงให้เห็นว่าจำเลยได้พยายามดำเนินการต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาก่อนการเลิกจ้างอย่างเป็นขั้นตอน รวมทั้งมีหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกลูกจ้างที่จะถูกเลิกจ้างอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ยังรุนแรง และส่งผลต่อกิจการของจำเลย ฝ่ายผลิต 3 ยังคงขาดทุนอย่างต่อเนื่อง การที่จำเลยปรับปรุงองค์กรและลดจำนวนลูกจ้าง โดยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเจ็ดซึ่งทำงานในหน่วยงานที่ประสบปัญหาตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว บ่งชี้ว่าจำเลยเลิกจ้างเนื่องจากความจำเป็นด้านการจัดการ ไม่ได้เลือกปฏิบัติหรือกลั่นแกล้งเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเจ็ด ดังนั้น เมื่อจำเลยมีเหตุแห่งการเลิกจ้างและสาเหตุดังกล่าวสมควรและเพียงพอแก่การเลิกจ้าง รวมทั้งจำเลยได้ใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาก่อนการเลิกจ้าง ตลอดจนใช้กระบวนการคัดเลือกลูกจ้างที่ถูกออกจากงานซึ่งรวมถึงโจทก์ทั้งสิบเจ็ดอย่างเหมาะสมและเป็นธรรมแล้ว การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเจ็ดจึงไม่ใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 โจทก์ทั้งสิบเจ็ดไม่มีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3118/2567
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 77, 820 พระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2550 ม. 24
จำเลยที่ 1 เป็นโรงเรียนเอกชนในระบบและเป็นนิติบุคคลตาม พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียน และเป็นผู้แทนของจำเลยที่ 1 ตาม พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 มาตรา 24 เมื่อ พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนเอกชนในระบบมีฐานะเป็นผู้แทนของโรงเรียน และการดำเนินกิจการของโรงเรียน ให้ผู้รับใบอนุญาตดำเนินการให้มีคณะกรรมการบริหารเพื่อบริหารกิจการโรงเรียนโดยที่ไม่ได้กำหนดเรื่องความรับผิดของผู้รับใบอนุญาตไว้เป็นการเฉพาะต่างหาก ดังนั้น จึงต้องบังคับ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 77 ประกอบมาตรา 820 คดีนี้โจทก์เป็นครูโรงเรียนเอกชนและเป็นลูกจ้างฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะโรงเรียนเอกชนและเป็นนายจ้าง และฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งจำเลยที่ 1 เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้แทนของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำแทนจำเลยที่ 1 ในขอบอำนาจ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3373/2567
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 816
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2557 จำเลยที่ 1 ขอสินเชื่อประเภทวงเงินกู้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 20,000,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 มอบหลักประกัน คือ บุคคลค้ำประกัน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันจำนวน 20,000,000 บาท เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2557 บสย. ทำหนังสือค้ำประกันหนี้ตามสัญญารับชำระหนี้ (กรณีกู้เงินโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน) ของจำเลยที่ 1 ในวงเงิน 20,000,000 บาท ต่อโจทก์ โดยหนังสือค้ำประกันดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตราบเท่าที่โจทก์จัดการให้ บสย. ได้รับชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันล่วงหน้าเป็นรายปีต่อเนื่องกันทุกปี ต่อมาโจทก์ชำระค่าธรรมเนียมหนังสือค้ำประกันแทนจำเลยที่ 1 ไปก่อน รวม 2 ครั้ง คือ วันที่ 28 กรกฎาคม 2559 และวันที่ 27 กรกฎาคม 2560 ครั้งละ 350,000 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี นับแต่วันที่ชำระแทนไป รวมเป็นต้นเงินค่าธรรมเนียมหนังสือค้ำประกัน 700,000 บาท ดอกเบี้ย 184,339.72 บาท รวมเป็นเงิน 884,339.72 บาท อันเป็นการบรรยายฟ้องให้เห็นถึงนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ในหนี้ค่าธรรมเนียมหนังสือค้ำประกัน บสย. ว่า โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดในมูลหนี้ค่าธรรมเนียมการค้ำประกันของ บสย. ซึ่งจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องชำระ แต่ไม่ชำระและโจทก์ได้ชำระแทนไปก่อน
หนังสือค้ำประกันมีข้อความระบุว่า หนังสือค้ำประกันมีผลบังคับใช้ตราบเท่าที่ผู้ให้กู้ (โจทก์) จัดการให้ บสย. ได้รับชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันล่วงหน้าเป็นรายปีต่อเนื่องกันทุกปี จึงแสดงให้เห็นว่าหนังสือค้ำประกันดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ต่อเมื่อ บสย. ได้รับชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกัน และเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ผู้กู้ที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าว แม้โจทก์มิได้นำสืบโดยตรงว่าหากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าธรรมเนียม จำเลยที่ 1 ตกลงให้โจทก์ทดรองจ่ายแทนโดยจำเลยที่ 1 ต้องชำระคืนให้แก่โจทก์ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 1 ดำเนินการให้มีหนังสือค้ำประกันของ บสย. เป็นหลักประกันก็ย่อมประสงค์ให้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องจาก บสย. ในฐานะผู้ค้ำประกัน เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้กู้เข้าจัดการให้ บสย. ได้รับชำระค่าธรรมเนียมหนังสือค้ำประกันดังกล่าวแทนจำเลยที่ 1 ก็เพื่อให้หนังสือค้ำประกันมีผลใช้บังคับต่อเนื่องอันเป็นไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 1 ยังคงมีหลักประกันเพื่อเป็นประกันหนี้ตามสัญญารับชำระหนี้ (กรณีกู้เงินโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน) วงเงิน 20,000,000 บาท ที่มีอยู่กับโจทก์ ประกอบกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน ส่วนจำเลยที่ 3 ให้การลอย ๆ ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมหนังสือค้ำประกัน โดยไม่มีพยานหลักฐานใดมานำสืบสนับสนุน ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมหนังสือค้ำประกันแทนจำเลยที่ 1 ไปรวม 2 ครั้ง คือ วันที่ 28 กรกฎาคม 2559 จำนวน 350,000 บาท และวันที่ 27 กรกฎาคม 2560 จำนวน 350,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นเงินทดรองจ่ายที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชำระเงินค่าธรรมเนียมหนังสือค้ำประกันดังกล่าว รวมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองจ่ายไปในแต่ละปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 816 วรรคหนึ่ง
สำหรับอัตราดอกเบี้ยที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดนั้น ทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่ามีข้อตกลงหรือสัญญาให้โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดได้ในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราดังกล่าว แต่เมื่อมิได้มีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ โจทก์คงคิดดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 7 (เดิม) นับแต่วันที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองจ่ายไป ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกัน นั้น ตามสัญญาค้ำประกันหนี้สัญญารับชำระหนี้ไม่มีข้อความว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตกลงยอมรับผิดในมูลหนี้อันเกิดจากการที่โจทก์ออกเงินทดรองจ่ายค่าธรรมเนียมหนังสือค้ำประกันไป จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในหนี้ค่าธรรมเนียมหนังสือค้ำประกันดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3006 - 3081/2567
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 577 พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ม. 13, 20, 118 วรรคหนึ่ง
อายุงานหรือระยะเวลาที่ลูกจ้างทำงานติดต่อกันให้แก่นายจ้างตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118 วรรคหนึ่ง หมายถึง ระยะเวลาตั้งแต่ลูกจ้างเริ่มต้นทำงานให้แก่นายจ้างต่อเนื่องกันไปจนสัญญาจ้างสิ้นสุดลง ระยะเวลาการทำงานให้แก่นายจ้างนี้ต้องต่อเนื่องติดต่อกันไปไม่ขาดตอน ดังนั้น หากลูกจ้างทำงานให้แก่นายจ้างมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง แล้วสัญญาจ้างสิ้นสุดลง ไม่ว่าด้วยการลาออกหรือเลิกจ้าง แม้ต่อมานายจ้างกับลูกจ้างจะตกลงผูกนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้างและลูกจ้างกันใหม่ อายุงานตามสัญญาจ้างเดิมที่สิ้นสุดและขาดตอนไปแล้ว ย่อมไม่อาจนำมานับรวมกับระยะเวลาการทำงานในภายหลังอีก เว้นแต่นายจ้างกับลูกจ้างจะตกลงกันให้นับอายุงานเดิมของลูกจ้างรวมเข้ากับระยะเวลาการทำงานภายหลัง หรือกรณีมีกฎหมายบัญญัติให้ลูกจ้างมีสิทธิได้นับอายุงานเดิมรวมเข้ากับระยะเวลาการทำงานใหม่ เช่น พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 20 ลูกจ้างจึงจะมีสิทธินับระยะเวลาการทำงานให้แก่นายจ้างในทุก ๆ ช่วงเวลารวมเข้าด้วยกัน
แม้ก่อนหน้านี้จำเลยที่ 1 จะเคยทำสัญญาจ้างโจทก์ที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาทำงานเป็นลูกจ้างมาก่อนก็ตาม แต่สัญญาจ้างงานแต่ละฉบับได้สิ้นสุดลงไปก่อนแล้ว ภายหลังจากสัญญาจ้างสิ้นสุดลง จะมีผู้ประมูลงานรายใหม่ที่ชนะประมูลทำสัญญาจ้างงานโจทก์ดังกล่าวทำงานเป็นลูกจ้าง นิติสัมพันธ์การเป็นนายจ้างลูกจ้างและการทำงานระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์ที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาตามสัญญาจ้างฉบับก่อนหน้านี้ได้จบสิ้นลงและขาดตอนไปแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าการจ้างงานตามสัญญาจ้างฉบับหลัง จำเลยที่ 1 และโจทก์ที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาตกลงกันให้นำอายุงานตามสัญญาจ้างฉบับเดิมรวมเข้ากับระยะเวลาการทำงานตามสัญญาจ้างฉบับหลัง กรณีจึงไม่อาจนำอายุงานเดิมมานับรวมเข้ากับระยะเวลาการทำงานตามสัญญาจ้างฉบับหลังนี้
ส่วนที่โจทก์ที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาเคยทำงานเป็นลูกจ้างผู้ชนะประมูลงานรายอื่นได้แก่สหกรณ์บริการผู้ปฏิบัติงาน ทศท.จำกัด และบริษัท ว. จะเห็นได้ว่า นายจ้างเหล่านี้กับจำเลยที่ 1 เป็นคนละนิติบุคคลกัน ดังนั้นระยะเวลาที่โจทก์ที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาทำงานเป็นลูกจ้างให้แก่สหกรณ์บริการผู้ปฏิบัติงาน ทศท. จำกัด ก็ดี บริษัท ว. ก็ดี ย่อมถือไม่ได้ว่าเป็นระยะเวลาที่ทำงานให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อสัญญาจ้างแรงงานทุกฉบับที่ทำขึ้นระหว่างนายจ้างผู้ชนะประมูลงานกับโจทก์ที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกา ไม่มีข้อความแสดงถึงข้อตกลงให้นับอายุงานเดิมรวมเข้ากับระยะเวลาการทำงานกับนายจ้างผู้ชนะการประมูลงานรายใหม่ กรณีจึงนำอายุงานที่ทำงานกับนายจ้างเหล่านี้มานับรวมเข้ากับระยะเวลาการทำงานให้แก่จำเลยที่ 1 ไม่ได้ นอกจากนี้ การที่สัญญาจ้างแรงงานฉบับเดิมสิ้นสุดลง จากนั้นมีการทำสัญญาจ้างแรงงานฉบับใหม่กับนายจ้างรายใหม่โดยที่นายจ้างเดิม นายจ้างใหม่ และลูกจ้าง ไม่ได้ทำข้อตกลงเกี่ยวกับเรื่องการโอนสิทธิการเป็นนายจ้างแก่กัน ย่อมถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีที่นายจ้างเดิมตกลงโอนสิทธิความเป็นนายจ้างให้แก่นายจ้างใหม่โดยลูกจ้างยินยอมพร้อมใจด้วย อันจะมีผลทำให้นายจ้างใหม่ต้องนับอายุงานเดิมรวมเข้ากับอายุงานใหม่ให้แก่ลูกจ้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 577 วรรคหนึ่ง ทั้งไม่ใช่เป็นกรณีการเปลี่ยนแปลงตัวนายจ้าง หรือกรณีนายจ้างที่เป็นนิติบุคคล มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลง โอน หรือควบกับนิติบุคคลใด ที่มีผลทำให้ลูกจ้างไปเป็นลูกจ้างของนายจ้างใหม่ และนายจ้างใหม่ต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่อันเกี่ยวกับลูกจ้างนั้นทุกประการตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 13 ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องนับอายุงานเดิมของโจทก์ที่ได้รับอนุญาตให้ฎีการวมเข้ากับระยะเวลาการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงานฉบับสุดท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2794/2567
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1490 (4)
เมื่อ ป.พ.พ. มาตรา 1490 (4) มิได้ให้นิยามหรือคำจำกัดความของคำว่าสัตยาบันไว้เป็นการเฉพาะ จึงต้องพิจารณาความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ซึ่งพอสรุปได้ว่า สัตยาบัน คือ การยืนยันรับรองความตกลงหรือการรับรองนิติกรรม และเป็นที่เข้าใจกันได้ว่า บุคคลจะยืนยันรับรองความตกลงหรือรับรองนิติกรรมใดได้ ย่อมต้องมีข้อตกลงหรือนิติกรรมเช่นนั้นเกิดขึ้นเสียก่อนแล้วจึงให้สัตยาบัน การให้สัตยาบันของสามีหรือภริยาแก่หนี้ที่อีกฝ่ายก่อขึ้นตามมาตรา 1490 (4) ย่อมมีลักษณะเฉกเช่นเดียวกัน กล่าวคือ ต้องมีหนี้เกิดขึ้นเสียก่อนสามีหรือภริยาถึงจะให้สัตยาบันได้ การให้ความยินยอมในขณะที่ยังไม่มีความตกลง ไม่มีนิติกรรมหรือไม่มีหนี้เกิดขึ้น ย่อมไม่ต้องด้วยความหมายของการให้สัตยาบัน โจทก์ไม่อาจถือเอาหนังสือยินยอมคู่สมรสที่จำเลยที่ 7 ทำไว้ต่อโจทก์ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2548 มาเป็นการให้สัตยาบันแก่หนี้ที่จำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดขึ้นในภายหลังเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2558 และวันที่ 3 มิถุนายน 2558 ได้ กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 1490 (4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2656/2567
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1599, 1600 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 23 ประมวลรัษฎากร ม. 57 ทวิ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 ม. 17
กำหนดระยะเวลาฟ้องคดีต่อศาลภาษีอากรกรณีที่ผู้อุทธรณ์ไม่พอใจคำวินิจฉัยอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558 มาตรา 26 วรรคห้า เป็นระยะเวลาที่เกี่ยวด้วยวิธีพิจารณาความแพ่งที่ศาลภาษีอากรกลางมีอำนาจขยายได้โดยอาศัยอำนาจตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17
พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558 ไม่ได้นิยามความหมายของคำว่า มรดก ไว้ จึงต้องพิจารณาความหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1600 ซึ่งบัญญัติว่า กองมรดกของผู้ตายได้แก่ ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ โดยมาตรา 1599 บัญญัติให้มรดกนั้นตกทอดแก่ทายาททันทีเมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ดังนั้น วันที่ได้รับมรดกที่เป็นเหตุให้ผู้รับมรดกมีหน้าที่เสียภาษีการรับมรดกจึงหมายถึงวันที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย เพราะหากถือวันที่ผู้รับมรดกได้รับเอามรดกตามจริง นอกจากไม่เป็นไปตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้วก็ยังจะเป็นผลให้เกิดความไม่แน่นอนในการจัดเก็บภาษีที่ขึ้นอยู่กับอำเภอใจของผู้รับมรดกว่าจะรับเอามรดกเมื่อใด ซึ่งยากต่อการบังคับใช้กฎหมายของทุกฝ่าย ดังนี้ การคำนวณมูลค่าของเงินฝากหรือเงินอื่นใดที่มีลักษณะทำนองเดียวกันตามบัญชีเงินฝากธนาคารพิพาทที่เจ้ามรดกมีสิทธิเรียกถอนคืนหรือมีสิทธิเรียกร้องจากสถาบันการเงิน ซึ่งตามกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณมูลค่าของทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2559 ข้อ 5 ให้ถือเอาตามมูลค่าของเงินฝากหรือเงินอื่นใดที่มีลักษณะทำนองเดียวกันรวมทั้งดอกเบี้ยหรือผลประโยชน์อื่นใดที่จะได้รับจากเงินดังกล่าวในวันที่ได้รับมรดกนั้นจึงต้องถือเอาตามมูลค่าของเงินฝากรวมทั้งดอกเบี้ยที่ได้รับจากเงินดังกล่าวที่พึงมีในวันที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ดังนั้น รายการฝาก รายการดอกเบี้ย และรายการเงินปันผลที่มีขึ้นหลังจากเจ้ามรดกถึงแก่ความตายซึ่งไม่อาจฟังได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่เจ้ามรดกมีสิทธิได้รับในขณะถึงแก่ความตาย ตลอดจนรายการหนี้สินต่าง ๆ ที่มีขึ้นหลังจากเจ้ามรดกถึงแก่ความตายซึ่งฟังไม่ได้ว่าเป็นหนี้ของกองมรดกในขณะที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย จึงไม่ต้องนำมารวมคำนวณและหักมูลค่าเพื่อเสียภาษีการรับมรดก
การจัดเก็บภาษีเงินได้ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 57 ทวิ เป็นการเก็บภาษีจากกองมรดกของเจ้ามรดกที่มีหลักเกณฑ์เป็นการเฉพาะ แต่การจัดเก็บภาษีตาม พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558 เป็นการเก็บภาษีจากทายาทผู้รับมรดกซึ่งเป็นคนละหน่วยภาษีกัน โดย พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558 บัญญัติถึงกรณีการเสียภาษีการรับมรดกของทายาทไว้โดยเฉพาะ ไม่จำต้องถือตาม ป.รัษฎากร มาตรา 57 ทวิ
เจ้ามรดกเป็นเจ้าของหุ้นกู้ของบริษัท ซ. ซึ่งในขณะที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย หุ้นกู้ดังกล่าวยังไม่ครบกำหนดไถ่ถอน ทรัพย์มรดกที่โจทก์ได้รับขณะเจ้ามรดกถึงแก่ความตายคือหุ้นกู้และสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้นั้น ไม่ใช่เงินฝากจากเงินค่าไถ่ถอนหุ้นกู้ที่เข้ามาในบัญชีเงินฝากธนาคารหลังจากเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย การคำนวณมูลค่าของหุ้นกู้ที่เป็นทรัพย์มรดกจึงต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558 มาตรา 15 (3) และกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณมูลค่าของทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2559 ข้อ 3 (2)


