สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3118/2567

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3118/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 77, 820 พระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2550 ม. 24

จำเลยที่ 1 เป็นโรงเรียนเอกชนในระบบและเป็นนิติบุคคลตาม พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียน และเป็นผู้แทนของจำเลยที่ 1 ตาม พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 มาตรา 24 เมื่อ พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนเอกชนในระบบมีฐานะเป็นผู้แทนของโรงเรียน และการดำเนินกิจการของโรงเรียน ให้ผู้รับใบอนุญาตดำเนินการให้มีคณะกรรมการบริหารเพื่อบริหารกิจการโรงเรียนโดยที่ไม่ได้กำหนดเรื่องความรับผิดของผู้รับใบอนุญาตไว้เป็นการเฉพาะต่างหาก ดังนั้น จึงต้องบังคับ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 77 ประกอบมาตรา 820 คดีนี้โจทก์เป็นครูโรงเรียนเอกชนและเป็นลูกจ้างฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะโรงเรียนเอกชนและเป็นนายจ้าง และฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งจำเลยที่ 1 เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้แทนของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำแทนจำเลยที่ 1 ในขอบอำนาจ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันจ่ายค่าจ้างค้างจ่าย 130,500 บาท ค่าชดเชย 432,000 บาท และค่าเสียโอกาสในการทำงานของโจทก์ 324,000 บาท รวมเป็นเงิน 886,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะร่วมกันหรือแทนกันชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานภาค 1 พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันจ่ายค่าชดเชย 432,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 2 กรกฎาคม 2564) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองจ่ายค่าชดเชย 324,000 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค 1

จำเลยทั้งสองฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค 1 รับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนเอกชน ประเภทโรงเรียนสามัญศึกษา จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งจำเลยที่ 1 ตามหนังสือแจ้งข้อมูลโรงเรียน โจทก์เคยเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 ตำแหน่งสุดท้ายของโจทก์เป็นครูต่างชาติ แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์โดยไม่ปรากฏว่า โจทก์ได้กระทำความผิดและมิได้ลาออกโดยสมัครใจ โจทก์ทำงานกับจำเลยที่ 1 ตั้งแต่ปี 2557 จนถึงวันเลิกจ้างเดือนมีนาคม 2564 ติดต่อกันครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชย 8 เดือน ของค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 54,000 บาท ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2542 ข้อ 32 (4) เป็นเงิน 432,000 บาท ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญและครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2542 ข้อ 32 กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตเป็นผู้จ่ายค่าชดเชยแก่ครู จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับใบอนุญาตจึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ แต่การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการกระทำแทนจำเลยที่ 1 ความรับผิดของจำเลยที่ 2 ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 77 ประกอบมาตรา 820 เมื่อจำเลยที่ 2 กระทำการไปภายในขอบอำนาจ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า ปรากฏข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันว่า จำเลยที่ 1 อนุมัติให้โจทก์เข้าเริ่มงานวันที่ 10 พฤษภาคม 2559 เป็นวันที่บรรจุเข้าทำการสอน มิใช่วันที่ 1 พฤษภาคม 2557 เมื่อนับระยะเวลาถึงวันเลิกสัญญาวันที่ 15 มีนาคม 2564 ติดต่อกันครบ 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี จำเลยทั้งสองต้องจ่ายค่าชดเชยไม่น้อยกว่า 6 เดือน ของเงินเดือนเดือนสุดท้าย เป็นเงิน 324,000 บาท

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองในส่วนที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกามีว่า จำเลยที่ 2 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์หรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้แทนนิติบุคคลของโรงเรียนจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำการแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 77 ประกอบมาตรา 820 การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการกระทำภายในขอบอำนาจ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว เห็นว่า ข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยที่ 1 เป็นโรงเรียนเอกชนในระบบและเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียน และเป็นผู้แทนของจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 มาตรา 24 เมื่อพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนเอกชนในระบบมีฐานะเป็นผู้แทนของโรงเรียน และการดำเนินกิจการของโรงเรียน ให้ผู้รับใบอนุญาตดำเนินการให้มีคณะกรรมการบริหารเพื่อบริหารกิจการโรงเรียนโดยที่ไม่ได้กำหนดเรื่องความรับผิดของผู้รับใบอนุญาตไว้เป็นการเฉพาะต่างหาก ดังนั้น จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 77 ประกอบมาตรา 820 คดีนี้โจทก์เป็นครูโรงเรียนเอกชนและเป็นลูกจ้างฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะโรงเรียนเอกชนและเป็นนายจ้าง และฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งจำเลยที่ 1 เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้แทนของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำแทนจำเลยที่ 1 ในขอบอำนาจ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค 1 ที่ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยต่อโจทก์นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา ร.144/2566

แหล่งที่มา หนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE