คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2567
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ครพ. 1020/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 247, 248 (เดิม)
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 247 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "การฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ ให้กระทำได้เมื่อได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา" และวรรคสอง บัญญัติว่า "การขออนุญาตฎีกา ให้ยื่นคำร้องพร้อมกับคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้นที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีนั้นภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์" เมื่อจำเลยยื่นฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาและพิพากษาคดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 9 รับรองฎีกา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 (เดิม) ซึ่งคำร้องดังกล่าวไม่อาจแปลความหรือถือว่าเป็นคำร้องขอให้ศาลฎีกาอนุญาตให้ฎีกา จึงเป็นกรณีที่จำเลยยื่นคำฟ้องฎีกาโดยไม่ได้ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาต่อศาลฎีกามาด้วย อันเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 788/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 295 พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 ม. 22, 24, 79
มาตรา 22 และ 24 แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจจัดการและจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ เก็บรวบรวมและรับเงินหรือทรัพย์สินซึ่งจะตกได้แก่ลูกหนี้ หรือซึ่งลูกหนี้มีสิทธิจะได้รับจากผู้อื่น ทั้งห้ามมิให้ลูกหนี้กระทำการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินหรือกิจการของตน เว้นแต่จะได้กระทำตามคำสั่งหรือความเห็นชอบของศาล เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ผู้จัดการทรัพย์ หรือที่ประชุมเจ้าหนี้ ส่วนที่โจทก์ได้รับการปลดจากล้มละลาย คงมีผลทำให้โจทก์พ้นจากการเป็นบุคคลล้มละลายและมีอำนาจจัดการทรัพย์สินหรือกิจการของตนที่ได้มาหลังจากปลดจากล้มละลาย ส่วนการจัดการทรัพย์สินอันอาจแบ่งได้ในคดีล้มละลายซึ่งยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยังคงมีอำนาจในการจัดการจำหน่ายเพื่อนำมาชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย แต่ทั้งนี้โจทก์ยังมีหน้าที่ช่วยในการจำหน่ายและแบ่งทรัพย์สินของตนซึ่งตกอยู่กับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต้องการตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 79 การที่หลังจากได้รับการปลดจากล้มละลายแล้ว โจทก์ขอออกหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 64138 แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร เป็นการกระทำที่สอดคล้องกับมติของที่ประชุมเจ้าหนี้ที่มีมติให้บังคับคดีนี้ต่อไปโดยมอบหมายให้เจ้าหนี้รายที่ 6 เป็นผู้รับมอบอำนาจและการที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รับทราบการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 64138 ของจำเลยและยื่นคำคัดค้านในคดีนี้แสดงว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยินยอมในการกระทำดังกล่าว และถือว่าการนำยึดที่ดินดังกล่าวของโจทก์เป็นการช่วยเหลือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในการจัดการทรัพย์สินอันอาจแบ่งได้ในคดีล้มละลายที่ยังค้างอยู่ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 79 ตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต้องการและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของมติที่ประชุมเจ้าหนี้ จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนหมายบังคับคดีและการบังคับคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 742/2567
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 438 วรรคสอง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 142 (5), 289 (3), 288 (1) พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 ม. 7, 42
การที่โจทก์และจำเลยทำบันทึกข้อตกลงปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามคำพิพากษาเพื่อผ่อนปรนการชำระหนี้กันเป็นไปเพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายกล่าวคือ โจทก์ได้รับการผ่อนเวลาชำระหนี้และไม่ต้องกังวลว่าจำเลยจะดำเนินการบังคับคดีแก่ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ระหว่างที่โจทก์ปฏิบัติตามข้อตกลงนั้น ส่วนจำเลยก็มีทางได้รับชำระหนี้โดยไม่จำต้องดำเนินการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของโจทก์ แสดงให้เห็นว่าโจทก์ประสงค์ให้จำเลยงดการบังคับแก่โจทก์ไว้ก่อนนั่นเอง จำเลยจึงต้องดำเนินการงดการบังคับคดี และการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะงดการบังคับคดีสำหรับกรณีที่พิพาทนี้ได้ ย่อมต้องบังคับตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289 (3) กล่าวคือ จำเลยต้องแจ้งเป็นหนังสือไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าให้งดการขายทอดตลาดทรัพย์ของโจทก์ไว้ โดยได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากโจทก์ ซึ่งโจทก์ได้ทำหนังสือยินยอมให้งดการขายทอดตลาดมอบไว้แก่พนักงานของจำเลยแล้ว การที่จำเลยไม่ได้ดำเนินการดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีจนเป็นเหตุให้มีการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ไป เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อและทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย อันเป็นการทำละเมิดและต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ส่วนโจทก์ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีจะไปดูแลการขายทอดตลาดหรือไม่นั้น เป็นสิทธิของโจทก์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 288 (1) การที่โจทก์ไม่ไปดูแลการขายทอดตลาดหาได้เป็นผลโดยตรงต่อความเสียหาย หรือจะถือว่าโจทก์มีส่วนในการก่อให้เกิดความเสียหาย อันจะทำให้จำเลยพ้นความรับผิด เมื่อการทำละเมิดของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ต้องสูญเสียที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยต้องถูกขายทอดตลาดไปจำเลยจึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามราคาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวรวมทั้งความเสียหายอื่น ๆ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 438 วรรคสอง
เมื่อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของโจทก์มีภาระจำนองกับธนาคาร อ. และถูกขายทอดตลาดโดยจำนองติดไปย่อมเป็นเหตุให้โจทก์หลุดพ้นภาระหนี้ไปตามจำนวนดังกล่าวและต้องนำมาคิดหักจากราคาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในวันทำละเมิด
ศาลจะมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจจ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 ได้นั้น ต้องเป็นกรณีการกระทำที่ถูกฟ้องร้องเกิดจากผู้ประกอบธุรกิจกระทำโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรมหรือจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหายหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่นำพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภคหรือกระทำการฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ซึ่งการกระทำของผู้ประกอบธุรกิจที่ว่านี้หมายถึง การกระทำเกี่ยวกับสินค้าที่ขายหรือผลิต หรือการให้บริการที่ก่อให้เกิดผลหรือมีลักษณะตามบทบัญญัติดังกล่าว และมีการฟ้องร้องเป็นคดีกันด้วยข้อพิพาทที่เกิดจากสินค้าที่ขาย หรือผลิต หรือการให้บริการ อันเป็นการประกอบกิจการของผู้ประกอบธุรกิจนั้นเอง แต่การกระทำที่จำเลยถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้เกิดจากการทำละเมิดของจำเลยที่ไม่ได้ดำเนินการเพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการบังคับคดีเกี่ยวกับที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ที่ยึดไว้ตามที่โจทก์กับจำเลยตกลงกัน เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไป ไม่ใช่ความเสียหายโดยตรงที่เกิดจากตัวสินค้าและบริการที่ศาลจะมีอำนาจสั่งให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษตามบทบัญญัติดังกล่าวได้ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะไม่ได้ยกขึ้นกล่าวอ้างเป็นประเด็นโดยตรง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 532/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 185 วรรคหนึ่ง, 195 วรรคสอง, 215, 225 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ม. 4 พระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ.2497 ม. 34, 45
ในคดีอาญา แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ แต่มิได้หมายความว่าศาลจะต้องพิพากษาลงโทษจำเลยเสมอไป เพราะไม่ว่าจำเลยจะให้การเช่นใดก็เป็นเรื่องที่ศาลจะต้องพิจารณาให้ได้ความว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงจึงจะพิพากษาลงโทษ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยถูกควบคุมตัวตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2560 เรื่อยมาโดยไม่ได้รับการประกันตัวหรือปล่อยตัวชั่วคราวแต่อย่างใด จนกระทั่งศาลจังหวัดสมุทรปราการมีคำพิพากษาลงโทษจำเลย โดยจำเลยพ้นโทษและได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2565 ทำให้ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2560 ซึ่งเป็นวันนัดให้จำเลยไปรายงานตัวเพื่อเข้ารับราชการทหารกองประจำการ จำเลยไม่สามารถไปรายงานตัวตามหมายนัดของนายอำเภอปรางค์กู่ในวันเวลาและสถานที่ตามหมายนัดได้เพราะถูกคุมขังในเรือนจำกลางสมุทรปราการ พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยไม่ได้มีเจตนาหลีกเลี่ยงขัดขืนไม่ไปรายงานตัวเพื่อเข้ารับราชการทหารกองประจำการตามหมายนัดของนายอำเภอปรางค์กู่แต่อย่างใด จำเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง แม้ปัญหานี้จะมิได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็ตาม แต่ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแล้วยกฟ้องได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง, 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 มาตรา 225 และ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 และ พ.ร.บ.ให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 722/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 185 วรรคสอง, 215, 225
แม้คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณาด้วยว่าโทษที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ลงแก่จำเลยทั้งสามนั้นเหมาะสมหรือไม่เพียงใด ทั้งนี้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 508/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 39 (2) พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 ม. 4
มูลหนี้ตามเช็คในคดีนี้เป็นเรื่องที่จำเลยออกเช็คพิพาทสั่งจ่ายเงิน 1,200,000 บาท เพื่อชำระหนี้กู้ยืม หลังจากธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยจึงได้ชำระเงินสด 300,000 บาท และนำเช็ค 3 ฉบับ ฉบับละ 75,000 บาท ไปมอบให้แก่โจทก์ ต่อมาโจทก์นำเช็คทั้งสามฉบับเรียกเก็บเงินและได้รับเงินตามเช็คทั้งสามฉบับครบถ้วนแล้ว โดยโจทก์ได้รับการชำระหนี้จากจำเลยในส่วนนี้เพียง 525,000 บาท จำเลยยังคงต้องชำระหนี้ที่กู้ยืมส่วนที่เหลืออีก 675,000 บาท โจทก์จึงมาฟ้องเป็นคดีนี้ อันแสดงให้เห็นได้ว่าโจทก์ยังประสงค์จะบังคับตามเช็คพิพาทต่อไป ซึ่งการที่โจทก์รับเงินสดและเช็คทั้งสามฉบับที่จำเลยนำไปมอบให้โจทก์หลังธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินก็ไม่ได้มีข้อตกลงว่าโจทก์ไม่ประสงค์เรียกร้องหนี้ที่ยังไม่ได้รับชำระหรือไม่ติดใจเรียกร้องหนี้ตามเช็คพิพาทต่อไป กรณีจึงไม่เป็นการยอมความกันอันทำให้สิทธิที่จะดำเนินคดีอาญาของโจทก์ระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 464/2567
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 222, 420, 438
เหตุแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 2 เป็นผลโดยตรงทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้อาคารของโจทก์ในการประกอบกิจกรรมบริการเชิงเศรษฐกิจการพาณิชย์ได้ เนื่องเพราะสำนักงานเขตบางกะปิมีหนังสือถึงโจทก์แจ้งว่าอาคารมีสภาพที่อาจเป็นภยันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน และมีคำสั่งให้โจทก์ระงับการใช้อาคารและให้ดำเนินการแก้ไขอาคารให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำสั่งตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 46 วรรคหนึ่ง เมื่อโจทก์ไม่สามารถเข้าใช้อาคารได้ ย่อมเป็นความเสียหายตามปกติธรรมดาที่จำเลยที่ 2 ควรจะได้คาดเห็นเสียแต่ก่อนหรือขณะเข้ารื้อถอนอาคาร หาใช่ความเสียหายพิเศษหรือเป็นเรื่องเกินเลยจากความเสียหายแท้จริงอันมิใช่ผลโดยตรงจากการทำละเมิดของจำเลยที่ 2 ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ ส่วนค่าจ้างปรับปรุงพื้นที่เช่า 1,275,000 บาท เป็นการปรับปรุงเพื่อรอเวลาให้จำเลยที่ 1 ก่อสร้างรถไฟฟ้าให้แล้วเสร็จซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 3 ปี หากโจทก์ทำการซ่อมแซมในขณะนี้ ก็อาจต้องซ่อมแซมอาคารดังกล่าวอีกหลายครั้ง เป็นความเสียหายในอนาคตอันเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 และจากการคาดคะเนของโจทก์ซึ่งอาจไม่เกิดขึ้นก็ได้ ความเสียหายเป็นค่าจ้างปรับปรุงพื้นที่เช่าอาคารชั่วคราวส่วนที่โจทก์ไม่ได้ใช้อาคารสาขาหัวหมากส่วนที่เกินไปกว่า 10 เดือน จึงสูงกว่าความเสียหายแท้จริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 647/2567
พระธรรมนูญศาลยุติธรรม ม. 25 (5)
โทษที่ผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจลงโทษได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 (5) หมายความถึง โทษสุทธิที่ลงแก่จำเลยภายหลังการเพิ่มและลดโทษแล้วถ้าหากมี และโทษสุทธิเช่นว่านี้ หมายถึงโทษสุทธิในแต่ละกระทงความผิดโดยไม่คำนึงว่าเมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วโทษจำคุกเกินกว่าหกเดือนหรือไม่ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเป็นความผิด 7 กระทง จำคุกกระทงละ 4 เดือน และลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 2 เดือน แม้เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วเป็นจำคุก 14 เดือน แต่เป็นการลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกิน 6 เดือน จึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 (5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 613/2567
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 84, 220 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 225 วรรคสอง, 252 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 40, 46 พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ม. 5
ข้อเท็จจริงได้ความตามสำเนาคำพิพากษาและหนังสือรับรองคดีถึงที่สุด เอกสารท้ายคำร้องขอเพิ่มเติมฎีกาของจำเลยซึ่งโจทก์มิได้โต้แย้งข้อเท็จจริงตามเอกสารดังกล่าวว่า โจทก์ได้ฟ้อง ธ. เป็นคดีอาญาต่อศาลชั้นต้นในความผิดฐานก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใด ๆ แม้เป็นของตนเองจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น ขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 84, 220 คดีถึงที่สุดโดยศาลชั้นต้นพิพากษาว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่า ธ. กระทำความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง ซึ่งคดีดังกล่าวนั้นเป็นการฟ้องโดยอาศัยเหตุเดียวกันกับคดีนี้อันเป็นคดีที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในมูลละเมิดจากการกระทำของ ธ. ข้าราชการในสังกัดของจำเลยเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 40 คำพิพากษาในคดีดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดี ถือว่า ธ. มิได้กระทำละเมิดตามฟ้องในคดีส่วนแพ่งด้วย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของ ธ. ให้รับผิดตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5 ได้ ซึ่งคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 กำหนดให้ศาลในคดีส่วนแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญานั้น เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้ให้การในเรื่องนี้ไว้ก็มีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคสอง ประกอบมาตรา 252
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 599/2567
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 358 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 ม. 54, 64 ทวิ, 74 ตรี
บทบัญญัติ พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจจับกุม ดำเนินคดีและมีอำนาจ ยึดบรรดาเครื่องมือเครื่องใช้ สัตว์พาหนะ ยานพาหนะ หรือเครื่องจักรกลใด ๆ ที่ได้ใช้หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าได้ใช้ในการกระทำความผิด แต่การใช้อำนาจดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม แม้ว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จะเชื่อว่าตนเป็นเจ้าพนักงานของรัฐมีอำนาจหน้าที่ที่จะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเพื่อให้สภาพป่าคืนดังเดิมก็ตาม แต่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นทั้งผู้ใหญ่บ้านและกำนันท้องที่เกิดเหตุ และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายอำเภอทราบว่าวัด ข. ได้รับอนุญาตจากทางราชการให้ใช้พื้นที่เพื่อกิจการสงฆ์ ซึ่งโจทก์ได้ก่อสร้างกุฎิ ห้องน้ำ และศาลาปฏิบัติธรรมในพื้นที่ดังกล่าว โดยไม่ปรากฏว่าทางราชการได้เพิกถอนสิทธิการใช้พื้นที่แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 คาดหมายได้ว่าการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเป็นการทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์สินของโจทก์ การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จึงเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์


