คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 647/2567
พระธรรมนูญศาลยุติธรรม ม. 25 (5)
โทษที่ผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจลงโทษได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 (5) หมายความถึง โทษสุทธิที่ลงแก่จำเลยภายหลังการเพิ่มและลดโทษแล้วถ้าหากมี และโทษสุทธิเช่นว่านี้ หมายถึงโทษสุทธิในแต่ละกระทงความผิดโดยไม่คำนึงว่าเมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วโทษจำคุกเกินกว่าหกเดือนหรือไม่ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเป็นความผิด 7 กระทง จำคุกกระทงละ 4 เดือน และลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 2 เดือน แม้เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วเป็นจำคุก 14 เดือน แต่เป็นการลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกิน 6 เดือน จึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 (5)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4, 5, 6, 10, 12 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91 และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4, 5, 6, 10, 12 (1) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 (ที่ถูก การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91) ลงโทษจำคุกกระทงละ 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกกระทงละ 2 เดือน รวม 7 กระทง เป็นจำคุก 14 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยศาลชั้นต้นรับฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ที่ผู้พิพากษาคนเดียวในศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 14 เดือน ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 (5) หรือไม่ เห็นว่า พระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 บัญญัติว่า "ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้ (5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่จะลงโทษจำคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้" เมื่อความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 12 (1) ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปจนถึง 3 ปี และปรับตั้งแต่ 500 บาท ขึ้นไปจนถึง 5,000 บาท จึงเป็นกฎหมายซึ่งกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ไม่เกินอัตราโทษที่กำหนดไว้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 (5) ซึ่งหมายความถึง โทษสุทธิที่ลงแก่จำเลยภายหลังการเพิ่มและลดโทษแล้วถ้าหากมี และโทษสุทธิเช่นว่านี้ หมายถึงโทษสุทธิในแต่ละกระทงความผิดโดยไม่คำนึงว่าเมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วโทษจำคุกเกินกว่าหกเดือนหรือไม่ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเป็นความผิด 7 กระทง จำคุกกระทงละ 4 เดือน และลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 2 เดือน แม้เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วเป็นจำคุก 14 เดือน แต่เป็นการลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกิน 6 เดือน จึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 (5) แล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.3457/2566
แหล่งที่มา หนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา


