สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 613/2567

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 613/2567

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 84, 220 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 225 วรรคสอง, 252 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 40, 46 พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ม. 5

ข้อเท็จจริงได้ความตามสำเนาคำพิพากษาและหนังสือรับรองคดีถึงที่สุด เอกสารท้ายคำร้องขอเพิ่มเติมฎีกาของจำเลยซึ่งโจทก์มิได้โต้แย้งข้อเท็จจริงตามเอกสารดังกล่าวว่า โจทก์ได้ฟ้อง ธ. เป็นคดีอาญาต่อศาลชั้นต้นในความผิดฐานก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใด ๆ แม้เป็นของตนเองจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น ขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 84, 220 คดีถึงที่สุดโดยศาลชั้นต้นพิพากษาว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่า ธ. กระทำความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง ซึ่งคดีดังกล่าวนั้นเป็นการฟ้องโดยอาศัยเหตุเดียวกันกับคดีนี้อันเป็นคดีที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในมูลละเมิดจากการกระทำของ ธ. ข้าราชการในสังกัดของจำเลยเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 40 คำพิพากษาในคดีดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดี ถือว่า ธ. มิได้กระทำละเมิดตามฟ้องในคดีส่วนแพ่งด้วย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของ ธ. ให้รับผิดตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5 ได้ ซึ่งคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 กำหนดให้ศาลในคดีส่วนแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญานั้น เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้ให้การในเรื่องนี้ไว้ก็มีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคสอง ประกอบมาตรา 252

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์ 3,540,738 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,489,425 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกบริษัท อ. เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต

จำเลยร่วมให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 700,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2562 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยร่วม

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 1,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิด (2 พฤษภาคม 2562) เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่รวมแล้วต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในอุทธรณ์ให้เป็นพับ

โจทก์และจำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินบริเวณลำน้ำแม่ลัว บ้านแม่แคม หมู่ที่ 7 ตำบลสวนเขื่อน อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ ส่วนจำเลยเป็นผู้รับผิดชอบโครงการอ่างเก็บน้ำแม่แคมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ รวมทั้งโครงการก่อสร้างทำนบหัวงานและอาคารประกอบ ซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่บ้านแม่แคม ตำบลสวนเขื่อน อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ โดยจำเลยว่าจ้างจำเลยร่วมเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างทำนบหัวงานและอาคารประกอบของโครงการอ่างเก็บน้ำแม่แคมดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2562 ถึงวันที่ 3 ธันวาคม 2564 จำเลยแต่งตั้งนายธนาพงศ์ นายช่างชลประทานอาวุโสเป็นหัวหน้าผู้ควบคุมงานก่อสร้าง นายบุญอนันต์ นายช่างชลประทาน เป็นผู้คุมงานก่อสร้างในบังคับบัญชาของนายธนาพงศ์ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2562 ก่อนเกิดเหตุจำเลยร่วมดำเนินการปรับพื้นที่บริเวณหน้างานก่อสร้างอ่างเก็บน้ำแม่แคม โดยล้มต้นไม้แล้วนำเศษต้นไม้ต้นหญ้ามากองรวมกันเป็นกอง ๆ เพื่อรอการจัดการ วันที่ 2 พฤษภาคม 2562 เกิดเพลิงเผาไหม้กองเศษไม้ประมาณ 10 กว่ากองที่จำเลยร่วมกองเรียงรายไว้บริเวณหน้างานก่อสร้างอ่างเก็บน้ำแม่แคมและไฟไหม้บริเวณที่ดินสวนของชาวบ้านซึ่งอยู่ติดกับพื้นที่ก่อสร้างอ่างเก็บน้ำแม่แคมทางทิศเหนือและทิศตะวันออกอีกหลายสวนตามแนวลำน้ำแม่ลัวจนถึงที่ดินสวนของโจทก์เป็นระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร โจทก์กับพวกแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่นายธนาพงศ์ และนายชาญณรงค์ ในข้อหากระทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทและเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย พนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาชี้ขาดคดีของอัยการสูงสุด สำหรับคดีโจทก์ในส่วนของจำเลยร่วมนั้น ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้อง โดยไม่มีคู่ความฝายใดฎีกาในปัญหาข้อนี้ คดีโจทก์ในส่วนของจำเลยร่วมจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า เหตุเพลิงไหม้ทรัพย์สินของโจทก์เกิดจากการกระทำละเมิดของนายธนาพงศ์ ข้าราชการในสังกัดของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า นายธนาพงศ์ซึ่งเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างได้มีคำสั่งให้ลูกจ้างหรือคนงานที่ทำงานในพื้นที่หรือตัวแทนเผากองเศษไม้และต้นไม้ที่กองไว้ ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ลุกลามไปถึงที่ดินที่โจทก์ครอบครอง ทำให้ต้นไม้ที่โจทก์ปลูกได้รับความเสียหาย อันเป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องว่า นายธนาพงศ์เป็นผู้กระทำละเมิด จำเลยในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่นายธนาพงศ์สังกัดอยู่ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5 ดังนั้น การที่จะพิจารณาว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ จำต้องพิจารณาเสียก่อนว่านายธนาพงศ์กระทำละเมิดหรือไม่ ซึ่งนอกจากโจทก์จะร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญาแก่นายธนาพงศ์กับพวกแล้ว ข้อเท็จจริงได้ความตามสำเนาคำพิพากษาและหนังสือรับรองคดีถึงที่สุด เอกสารท้ายคำร้องขอเพิ่มเติมฎีกาของจำเลยซึ่งโจทก์มิได้โต้แย้งข้อเท็จจริงตามเอกสารดังกล่าวว่า โจทก์ได้ฟ้องนายธนาพงศ์เป็นคดีอาญาต่อศาลชั้นต้นในความผิดฐานก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใด ๆ แม้เป็นของตนเองจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84, 220 คดีถึงที่สุดโดยศาลชั้นต้นพิพากษาว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่านายธนาพงศ์กระทำความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง ซึ่งคดีดังกล่าวนั้นเป็นการฟ้องโดยอาศัยเหตุเดียวกันกับคดีนี้อันเป็นคดีที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในมูลละเมิดจากการกระทำของนายธนาพงศ์ ข้าราชการในสังกัดของจำเลย เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 40 คำพิพากษาในคดีดังกล่าว จึงผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดี ถือว่านายธนาพงศ์มิได้กระทำละเมิดตามฟ้องในคดีส่วนแพ่งด้วย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของนายธนาพงศ์ให้รับผิดตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5 ได้ ซึ่งคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 กำหนดให้ศาลในคดีส่วนแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญานั้น เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้ให้การในเรื่องนี้ไว้ก็มีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง ประกอบมาตรา 252 เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้วกรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในข้ออื่นและฎีกาของโจทก์อีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น

อนึ่ง ที่โจทก์ขอคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาตามคำร้องฉบับลงวันที่ 10 มิถุนายน 2565 นั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 3,540,738 บาท ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 1,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิด คือ วันที่ 2 พฤษภาคม 2562 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ซึ่งดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 21,575.34 บาท รวมเป็นต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง เป็นเงิน 1,521,575.34 บาท โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้อง ดังนั้น ทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาของโจทก์จึงมีเพียง 2,019,162.66 บาท ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเป็นเงิน 40,383 บาท แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามาเป็นเงิน 67,526 บาท จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกินเป็นเงิน 27,143 บาท แก่โจทก์

พิพากษากลับให้ยกฟ้อง คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกินเป็นเงิน 27,143 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา พ.515/2566

แหล่งที่มา หนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE