สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 464/2567

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 464/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 222, 420, 438

เหตุแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 2 เป็นผลโดยตรงทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้อาคารของโจทก์ในการประกอบกิจกรรมบริการเชิงเศรษฐกิจการพาณิชย์ได้ เนื่องเพราะสำนักงานเขตบางกะปิมีหนังสือถึงโจทก์แจ้งว่าอาคารมีสภาพที่อาจเป็นภยันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน และมีคำสั่งให้โจทก์ระงับการใช้อาคารและให้ดำเนินการแก้ไขอาคารให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำสั่งตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 46 วรรคหนึ่ง เมื่อโจทก์ไม่สามารถเข้าใช้อาคารได้ ย่อมเป็นความเสียหายตามปกติธรรมดาที่จำเลยที่ 2 ควรจะได้คาดเห็นเสียแต่ก่อนหรือขณะเข้ารื้อถอนอาคาร หาใช่ความเสียหายพิเศษหรือเป็นเรื่องเกินเลยจากความเสียหายแท้จริงอันมิใช่ผลโดยตรงจากการทำละเมิดของจำเลยที่ 2 ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ ส่วนค่าจ้างปรับปรุงพื้นที่เช่า 1,275,000 บาท เป็นการปรับปรุงเพื่อรอเวลาให้จำเลยที่ 1 ก่อสร้างรถไฟฟ้าให้แล้วเสร็จซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 3 ปี หากโจทก์ทำการซ่อมแซมในขณะนี้ ก็อาจต้องซ่อมแซมอาคารดังกล่าวอีกหลายครั้ง เป็นความเสียหายในอนาคตอันเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 และจากการคาดคะเนของโจทก์ซึ่งอาจไม่เกิดขึ้นก็ได้ ความเสียหายเป็นค่าจ้างปรับปรุงพื้นที่เช่าอาคารชั่วคราวส่วนที่โจทก์ไม่ได้ใช้อาคารสาขาหัวหมากส่วนที่เกินไปกว่า 10 เดือน จึงสูงกว่าความเสียหายแท้จริง

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหาย 6,835,190 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดและหรืออายัดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน

จำเลยที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชดใช้เงิน 5,035,190 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 6 มกราคม 2563) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 2 ไม่ชำระให้ยึดและหรืออายัดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 50,000 บาท และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน 455,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 มกราคม 2563 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งตราขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ที่แก้ไขใหม่ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ คำขออื่นให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงซึ่งพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ 1 ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ให้ดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ถูกเวนคืนการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มบริเวณสถานีรามคำแหง เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2562 จำเลยที่ 2 ดำเนินการรื้อถอนอาคาร 4 ชั้น 4 คูหา บริเวณซอยรามคำแหง 51/1 และ 51/2 ซึ่งอยู่ติดกับอาคารธนาคาร อ. สาขาหัวหมาก ของโจทก์ โดยในวันดังกล่าวเกิดเหตุอาคารที่จำเลยที่ 2 รื้อถอนทรุดตัวลง ทำให้อาคารของโจทก์ที่ตั้งอยู่ข้างเคียงได้รับความเสียหาย หลังจากเกิดเหตุสำนักงานเขตบางกะปิได้มีคำสั่งให้โจทก์ดำเนินการแก้ไขอาคารตามมาตรา 46 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 วันที่ 8 มกราคม 2562 ได้มีการประชุมหารือร่วมกันระหว่างโจทก์ จำเลยทั้งสอง สำนักงานกรุงเทพมหานคร สำนักงานเขตบางกะปิ สำนักการโยธาวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.) สภาวิศวกร และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือแนวทางดำเนินการกรณีที่พิพาทดังกล่าว วันเดียวกันจำเลยที่ 2 มีหนังสือแจ้งมายังโจทก์ว่าขอรับผิดชอบจากอุบัติเหตุที่ทำให้อาคารของโจทก์เกิดความเสียหายและวันที่ 10 มกราคม 2562 มีการประชุมร่วมกันระหว่างโจทก์ จำเลยที่ 2 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางการดำเนินการกรณีพิพาทอีกครั้ง ต่อมาโจทก์ว่าจ้างบริษัท น. ให้ดำเนินการตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้น จากนั้นโจทก์ส่งรายงานผลการตรวจสอบไปยังสำนักงานเขตบางกะปิ สำนักงานเขตบางกะปิจึงมีหนังสือแจ้งเพิกถอนคำสั่งที่ให้โจทก์ดำเนินการแก้ไขอาคาร ต่อมาวันที่ 1 เมษายน 2562 โจทก์ได้ทำสัญญาเช่ากับบริษัท ศ. เพื่อเช่าอาคารเป็นที่ทำการสำนักงานสาขาหัวหมากชั่วคราวและได้ทำสัญญาจ้างบริษัท ซ. เพื่อปรับปรุงพื้นที่อาคารสำนักงานชั่วคราว ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และกำหนดค่าเสียหายเป็นค่าจ้างที่โจทก์จ่ายให้บริษัท น. ดำเนินการตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นเงิน 155,000 บาท คู่ความไม่อุทธรณ์ คดีในส่วนของจำเลยที่ 1 และค่าเสียหายดังกล่าว จึงเป็นที่สุดตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง

คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายสำหรับค่าเช่าสำนักงานชั่วคราว 2,105,190 บาท ค่าปรับปรุงพื้นที่เช่าสำนักงานชั่วคราว 1,275,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารสาขาหัวหมาก 3,300,000 บาท หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า โจทก์ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ให้บริการด้านธุรกรรมการเงินแก่ประชาชนทั่วไป เหตุแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 2 เป็นผลโดยตรงทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้อาคารของโจทก์ในการประกอบกิจกรรมบริการเชิงเศรษฐกิจการพาณิชย์ได้ เนื่องเพราะสำนักงานเขตบางกะปิมีหนังสือถึงโจทก์แจ้งว่าอาคารมีสภาพที่อาจเป็นภยันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน และมีคำสั่งให้โจทก์ระงับการใช้อาคารและให้ดำเนินการแก้ไขอาคารให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำสั่งตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 46 วรรคหนึ่ง เมื่อโจทก์ไม่สามารถเข้าใช้อาคารได้ ย่อมเป็นความเสียหายตามปกติธรรมดาที่จำเลยที่ 2 ควรจะได้คาดเห็นเสียแต่ก่อนหรือขณะเข้ารื้อถอนอาคาร หาใช่ความเสียหายพิเศษหรือเป็นเรื่องเกินเลยจากความเสียหายแท้จริงอันมิใช่ผลโดยตรงจากการทำละเมิดของจำเลยที่ 2 ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ จนวันที่ 4 เมษายน 2562 สำนักงานเขตบางกะปิจึงมีหนังสือเพิกถอนคำสั่งระงับการใช้อาคารซึ่งล่วงไปเป็นระยะเวลา 3 เดือน และโจทก์ต้องใช้เวลาในการซ่อมแซมพื้นอาคารภายในที่ทรุดตัวแยกออกจากกัน ผนังแตกร้าว พื้นชั้นลอยภายในเอียง พื้นภายในชั้นดาดฟ้าทรุดตัว ซึ่งมิใช่การซ่อมแซมในลักษณะเพียงแค่ก่ออิฐฉาบปูนใหม่ จึงต้องใช้ผู้รับจ้างที่มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ และน่าจะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 7 เดือน จึงกำหนดค่าเสียหายที่โจทก์ไม่ได้ใช้อาคารสาขาหัวหมากเป็นเวลา 10 เดือน ๆ ละ 28,250 บาท เท่าที่โจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่าเช่าอาคารสำนักงานชั่วคราวเป็นเงิน 282,500 บาท และสมควรกำหนดค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารสาขาหัวหมากเป็นเงิน 1,000,000 บาท ส่วนค่าจ้างปรับปรุงพื้นที่เช่า 1,275,000 บาท เป็นการปรับปรุงเพื่อรอเวลาให้จำเลยที่ 1 ก่อสร้างรถไฟฟ้าให้แล้วเสร็จซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 3 ปี หากโจทก์ทำการซ่อมแซมในขณะนี้ ก็อาจต้องซ่อมแซมอาคารดังกล่าวอีกหลายครั้ง เป็นความเสียหายในอนาคตอันเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 และจากการคาดคะเนของโจทก์ซึ่งอาจไม่เกิดขึ้นก็ได้ ความเสียหายเป็นค่าจ้างปรับปรุงพื้นที่เช่าอาคารชั่วคราวส่วนที่โจทก์ไม่ได้ใช้อาคารสาขาหัวหมากส่วนที่เกินไปกว่า 10 เดือน จึงสูงกว่าความเสียหายแท้จริง เห็นควรกำหนดให้เป็นเงิน 400,000 บาท รวมเป็นค่าเสียหาย 1,837,500 บาท เยี่ยงนี้ ค่าเสียหายที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยที่ 2 ชดใช้แก่โจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน

อนึ่ง ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองใช้ดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ใช้ดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นสมควรปรับแก้เสียให้ถูกต้อง

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 1,837,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป ตามอัตราและระยะเวลาที่ศาลอุทธรณ์กำหนด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา พ.655/2566

แหล่งที่มา หนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE