คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2545
คำสั่งคำร้องที่ 122/2545
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 26
ความว่า คดีนี้ผู้ร้องทั้งสามเคยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2544 ขอให้ประธานศาลฎีกามีคำสั่งให้โอนคดีนี้ไปยังศาลอาญามาแล้วครั้งหนึ่ง ประธานศาลฎีกามีคำสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องทั้งสามถูกฝ่ายโจทก์ข่มขู่จริงและตลอดมา ผู้ร้องทั้งสามไม่กล้าเดินทางไปศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ตามกำหนดนัดเพราะฝ่ายโจทก์ทราบล่วงหน้าโจทก์ประกอบกิจการอยู่ในอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รู้จักบุคคลและพื้นที่ดีอาจก่อเหตุร้ายในวันนัด ผู้ร้องทั้งสามเห็นว่าการที่จะป้องกันความปลอดภัยได้ดีที่สุดคือการไม่ไปปรากฏตัวที่ศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประกอบกับมีเหตุการณ์ใหม่เกิดขึ้นกล่าวคือการพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1315/2542 อันเป็นคดีที่ผู้ร้องที่ 1 เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลย ผู้ร้องที่ 1 ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน ซึ่งสั่งยกคำร้องของผู้ร้องที่ 1 ที่ขอให้มีคำสั่งโอนคดีดังกล่าวไปยังศาลแพ่ง และยกคำร้องขอส่งประเด็นไปสืบพยานที่ศาลแพ่งด้วย ผู้ร้องที่ 1 จึงได้ร้องเรียนผู้พิพากษาดังกล่าวไปยังประธานองคมนตรีและคณะองคมนตรี ผู้ร้องที่ 1 เกรงว่า แม้เป็นการร้องเรียนผู้พิพากษาเฉพาะราย แต่อาจทำให้ผู้พิพากษาอื่นที่ประจำอยู่ที่ศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เกิดความไม่พอใจและอาจมีอคติในการพิจารณาพิพากษาคดีนี้ ผู้ร้องทั้งสามจึงขอให้ประธานศาลฎีกามีคำสั่งให้โอนคดีนี้ไปยังศาลอาญา
หมายเหตุ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งจดหมายพร้อมสำเนาคำฟ้องคดีแพ่งที่จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ในคดีนี้ เรื่องเรียกค่าทดแทนเพราะเหตุมีความสัมพันธ์กับสามีผู้อื่นในทำนองชู้สาว ไปยังเจ้าของบ้านหลายหลังในโครงการหมู่บ้านปราณบุรีคันทรี่พาร์ค ของโจทก์ ขอให้ผู้ที่พบเห็นว่าโจทก์มีความสัมพันธ์กับสามีจำเลยที่ 1 ในทำนองชู้สาวช่วยไปเป็นพยานให้จำเลยที่ 1 อันเป็นการหมิ่นประมาท และจงใจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328,83,91 ให้ลงโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ และชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน 4,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
ขณะที่คดีอยู่ระหว่างศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้อง จำเลยทั้งสองและทนายจำเลยที่ 1ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2544 ขอให้ประธานศาลฎีกามีคำสั่งให้โอนคดีนี้ไปยังศาลอาญา ประธานศาลฎีกามีคำสั่งยกคำร้อง
ต่อมาวันที่ 3 มกราคม 2545 จำเลยทั้งสองและทนายจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องฉบับนี้ขอให้ประธานศาลฎีกามีคำสั่งให้โอนคดีนี้ไปยังศาลอาญาอีก
คำสั่ง
คดีนี้ผู้ร้องทั้งสามเคยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2544 ขอให้ประธานศาลฎีกามีคำสั่งให้โอนคดีนี้ไปยังศาลอาญา ประธานศาลฎีกามีคำสั่งยกคำร้องเพราะเหตุว่าคดีนี้มิใช่ความผิดร้ายแรง และข้อกล่าวอ้างที่ว่าพวกของโจทก์ข่มขู่จะทำร้ายผู้ร้องทั้งสามเป็นเพียงข้อกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีข้อเท็จจริงประกอบให้ฟังได้เช่นนั้น ผู้ร้องทั้งสามยื่นคำร้องฉบับนี้ขอให้ประธานศาลฎีกามีคำสั่งให้โอนคดีนี้ไปยังศาลอาญาอีก โดยเพียงแต่ยืนยันว่า ผู้ร้องทั้งสามถูกฝ่ายโจทก์ข่มขู่จริง มิได้ระบุข้อเท็จจริงเพิ่มเติมที่จะแสดงให้เห็นว่า มีการข่มขู่จากฝ่ายโจทก์หรือหากพิจารณาพิพากษาคดีนี้ที่ศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ต่อไป อาจมีเหตุร้ายเกิดแก่ผู้ร้องทั้งสามอย่างไร ส่วนข้ออ้างเพิ่มเติมจากคำร้องฉบับก่อนที่ว่า ผู้ร้องที่ 1 ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีแพ่งที่ผู้ร้องที่ 1 เป็นความกับโจทก์ และผู้ร้องที่ 1 ร้องเรียนผู้พิพากษาดังกล่าวต่อประธานองคมนตรีและคณะองคมนตรี ผู้ร้องที่ 1 เกรงว่าผู้พิพากษาอื่นที่ประจำอยู่ที่ศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์อาจเกิดความไม่พอใจและมีอคติในการพิจารณาพิพากษาคดีนี้นั้น เป็นเรื่องที่ผู้ร้องที่ 1 วิตกกังวลไปเอง และกรณีดังกล่าวมิใช่เหตุตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 26 ที่ประธานศาลฎีกาจะมีคำสั่งให้โอนคดีไปยังศาลอื่นได้
จึงให้ยกคำร้อง
คำสั่งคำร้องที่ 118/2545
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 106, 107, 108
ความว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ขอให้ศาลฎีกาอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์
คำสั่ง
พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหา และพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ยังไม่มีเหตุสมควรอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ที่จำเลยอ้างว่าป่วยด้วยวัณโรคปอดต้องรับการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทาง ขอให้ศาลฎีกาไต่สวนแพทย์ผู้ทำการรักษาเพื่อชี้แจงอาการป่วยของจำเลยนั้นเห็นว่าไม่จำเป็น เพราะหากจำเลยมีอาการป่วยร้ายแรงถึงขั้นอันตราย อธิบดีกรมราชทัณฑ์มีอำนาจอนุญาตให้ออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำได้อยู่แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่อนุญาตให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
คำสั่งคำร้องที่ 109/2545
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 129
ความว่า คดีนี้จำเลยทั้งสองได้อ้างถึงผู้เชี่ยวชาญจากศาลเพื่อตรวจสอบสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันตามฟ้อง ไว้ในบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 3 ฉบับลงวันที่ 18 มกราคม 2543 แล้ว แต่ด้วยความพลั้งเผลอ หลงลืม จำเลยทั้งสองมิได้ร้องขอให้ส่งเอกสารดังกล่าวให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบในการพิจารณาของศาลชั้นต้น และเนื่องจากคดีนี้จำเลยทั้งสองได้ต่อสู้ในประเด็นว่า เอกสารสัญญากู้และสัญญาค้ำประกัน เอกสารหมาย จ.3 และ จ.4 เป็นเอกสารปลอม จำเลยทั้งสองจึงขอให้ศาลฎีกาโปรดตั้งผู้เชี่ยวชาญจากศาลตรวจสอบสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันดังกล่าว เพื่อประกอบการวินิจฉัยของศาลฎีกาด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 259,700 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 230,000 บาท นับแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2542 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา (อันดับ 96)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 105)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าการขอให้ศาลตั้งผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบว่า สัญญากู้และสัญญาค้ำประกันตามประเด็นคำให้การของจำเลยทั้งสองว่าเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ เป็นการนำสืบพยานหลักฐานที่สามารถกระทำได้ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำเลยทั้งสองเพิ่งยื่นคำขอต่อศาลฎีกา จึงไม่มีเหตุอันควรอนุญาต ให้ยกคำร้อง
คำสั่งคำร้องที่ 107/2545
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 ม. 26 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 175
ความว่า เนื่องจากจำเลยได้รับโทษครบกำหนดแล้ว จำเลยจึงไม่ประสงค์จะอุทธรณ์อีกต่อไป ขอถอนอุทธรณ์
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 31,70 วรรคสอง ฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อการค้า จำคุก 1 ปี และปรับ 300,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน และปรับ 150,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปี ฯลฯ
จำเลยอุทธรณ์ (อันดับ 24.1)
คดีอยู่ระหว่างนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 41)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ตามใบแต่งทนาย ทนายจำเลยไม่มีอำนาจถอนฟ้อง ฉะนั้นทนายจำเลยจึงไม่มีอำนาจที่จะยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ ให้ยกคำร้อง
คำสั่งคำร้องที่ 84/2545
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 231
ความว่า จำเลยฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 75 แผ่นที่ 2)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 310,934 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12 ต่อปี นับแต่วันที่ 10 เมษายน 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 71 แผ่นที่ 3, ที่ 2)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ถ้าจำเลยหาประกันสำหรับจำนวนเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 10เมษายน 2540 จนถึงวันทราบคำสั่งนี้ และต่อไปอีก 1 ปี มาวางศาลจนเป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ระหว่างฎีกา มิฉะนั้นให้ยกคำร้อง
คำสั่งคำร้องที่ 104/2545
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 42
ความว่า เนื่องจาก โจทก์ที่ 2 ในคดีนี้ถึงแก่ความตายด้วยโรคมะเร็ง ผู้ร้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่ 2 มีความประสงค์ที่จะขอเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้แทนโจทก์ที่ 2 ต่อไป โปรดอนุญาต
หมายเหตุ จำเลยทั้งสี่ได้รับสำเนาคำร้องแล้วแถลงไม่ค้าน (อันดับ 141)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ทั้งสี่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามแผนที่พิพาทกลาง เอกสารหมาย จ.ล.1 ห้ามจำเลยทั้งสี่และบริวารเข้าไปเกี่ยวข้อง ให้จำเลยทั้งสี่รื้อถอนเสาหลักที่ปักไว้แสดงแนวเขตที่หลวงออกไปจากแนวเขตที่ดินพิพาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสี่ฎีกา (อันดับ 141) ศาลฎีกาทำคำพิพากษาเสร็จและส่งไปศาลชั้นต้นเพื่อนัดอ่าน
ในวันนัดอ่าน ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้ และคำร้องเพิ่มเติม (อันดับ 134,140)
คำสั่ง
อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 2 ได้
คำสั่งคำร้องที่ 103/2545
พระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ.2541 ม. 7
ความว่า เนื่องจากโจทก์ในคดีนี้ได้โอนสิทธิเรียกร้องทั้งหมดที่มีต่อจำเลยให้แก่ผู้ร้อง ซึ่งเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ตามพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์พ.ศ. 2541 มาตรา 7 ผู้ร้องในฐานะผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวมีความประสงค์ขอเข้าสวมสิทธิในการดำเนินคดีแทนโจทก์ โปรดมีคำสั่งให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นโจทก์แทนโจทก์เดิมด้วย
หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 300,941.51 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 213,700.20 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 31 มกราคม 2543)ไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ ฯลฯ
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว (อันดับ 29)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 36)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว โจทก์ได้โอนสิทธิเรียกร้องทั้งปวงที่โจทก์มีต่อลูกหนี้รวมทั้งจำเลยในคดีนี้ด้วย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 29 มิถุนายน 2544 ผู้ร้องจึงเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ในคดีนี้ได้ตามพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ. 2541 มาตรา 7 จึงอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นโจทก์แทนธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน)ได้ตามคำร้อง
คำสั่งคำร้องที่ 95/2545
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 88
ความว่า เนื่องจากจำเลยได้เสนอความเท็จต่อศาล จนเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้องโจทก์ต่อมานายกิตติเอ็นดูราษฎร์ ได้ทำบันทึกยอมรับผิดต่อโจทก์ แล้วว่าคำเบิกความของตนเป็นความเท็จ ดังนั้นเพื่อให้โจทก์ได้พิสูจน์ความไม่สุจริตของจำเลย และเพื่อให้คำวินิจฉัยของศาลเป็นไปโดยเที่ยงธรรมถูกต้อง โจทก์จึงขอระบุพยานเพิ่มเติม ตามบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมที่ยื่นมาพร้อมคำร้องนี้
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 130)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 783 และ 785 ตำบลวังหว้าอำเภอแกลง จังหวัดระยอง เป็นของโจทก์ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง และโฉนดที่ดินเลขที่ 16901 ตำบลวังหว้าอำเภอแกลง จังหวัดระยอง เป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 123,125)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ขอระบุพยานเพิ่มเติม โดยอ้างว่านายกิตติเอ็นดูราษฎร์ได้ทำบันทึกยอมรับผิดต่อโจทก์ว่า คำเบิกความของตนเป็นความเท็จนั้น เห็นว่า โจทก์ก็ได้ยื่นบัญชีระบุพยานอ้างนายกิตติเอ็นดูราษฎร์ เป็นพยาน แม้โจทก์จะไม่ติดใจสืบนายกิตติเป็นพยานในศาลชั้นต้นแต่นายกิตติเอ็นดูราษฎร์ ก็ได้เบิกความเป็นพยานจำเลยในคดีนี้แล้ว จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้ระบุพยานเพิ่มเติม ยกคำร้อง
คำสั่งคำร้องที่ 88 - 89/2545
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 106, 107, 108, 218
ความว่า ผู้ประกันยื่นคำร้องขอให้ปล่อยจำเลยทั้งสองชั่วคราวในระหว่างฎีกาโดยขอใช้หลักประกันเดิม
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ยื่นฎีกาแล้วจึงไม่มีเหตุอันควรที่จะให้มีการปล่อยชั่วคราวในระหว่างนี้ ไม่อนุญาตให้ยกคำร้อง
คำสั่งคำร้องที่ 94/2545
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 240 (2), 247
ความว่า เนื่องจากเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2544 นายกิตติเอ็นดูราษฎร์ ได้ทำบันทึกรับผิดยืนยันข้อเท็จจริงตามคำฟ้องของโจทก์ว่า ที่ดินแปลงพิพาททั้งสองแปลงเป็นของนางอองเอ็นดูราษฎร์ที่ขายให้กับโจทก์และพินัยกรรมเอกสารหมายจ.6นั้นนางอองเอ็นดูราษฎร์ ได้ทำขึ้นในขณะหลงลืมไปแล้ว ข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นใหม่และสำคัญต่อคดี ซึ่งโจทก์ไม่อาจเสนอต่อศาลชั้นต้นได้ จึงขอให้ศาลโปรดนัดไต่สวนคำร้องของโจทก์กับมีคำสั่งให้สืบพยานหลักฐานเพิ่มเติมในประเด็นต่อไปนี้
นางอองได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้โจทก์ และโจทก์ได้เข้าครอบครองใช้ประโยชน์ตลอดมานับแต่วันทำสัญญาซื้อขายทั้งสองฉบับหรือไม่
พินัยกรรมเอกสารหมาย จ.6 และสัญญายกให้ที่ดิน เอกสารหมาย ล.4นางอองทำขึ้นในขณะที่สติสัมปชัญญะสมบูรณ์หรือไม่
ทายาทอื่นของนางอองรู้ถึงการครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินพิพาททั้งสองแปลงของโจทก์หรือไม่
ที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 เป็นที่ดินส่วนของนางอองเอ็นดูราษฎร์ หรือไม่ และมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิจารณาและพิพากษาคดีใหม่ด้วย
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 130)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 783 และ 785 ตำบลวังหว้าอำเภอแกลง จังหวัดระยอง เป็นของโจทก์ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง และโฉนดที่ดินเลขที่ 16901 ตำบลวังหว้าอำเภอแกลง จังหวัดระยอง เป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 123,124)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์อ้างว่า นายกิตติเอ็นดูราษฎร์ ได้ทำบันทึกยอมรับผิดยืนยันข้อเท็จจริงตามคำฟ้องของโจทก์ว่า ที่ดินแปลงพิพาททั้งสองแปลงเป็นของนางออง เอ็นดูราษฎร์ที่ขายให้แก่โจทก์และพินัยกรรมเอกสารหมายจ.6นางอองเอ็นดูราษฎร์ได้ทำขึ้นขณะหลงลืมไปแล้ว เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นใหม่และสำคัญต่อคดี ซึ่งโจทก์ไม่อาจเสนอต่อศาลชั้นต้นได้ เห็นว่า โจทก์และจำเลยได้อ้างนายกิตติเอ็นดูราษฎร์ เป็นพยาน และนายกิตติเอ็นดูราษฎร์ ก็ได้เบิกความเป็นพยานจำเลยในคดีนี้แล้ว จึงไม่สมควรที่จะสืบพยานเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 240(2) ประกอบมาตรา 247 ให้ยกคำร้อง