คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2545

คำสั่งคำร้องที่ 106

คำสั่งคำร้องที่ 106/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 234, 247

ความว่า คดีของจำเลยมีเหตุผลเพียงพอที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้เพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงคำสั่งที่ไม่รับฎีกาของจำเลยตามคำร้องของจำเลย ฉบับลงวันที่ 26 กันยายน2544 เพราะฎีกาของจำเลยเป็นการฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณา ซึ่งการฎีกาคำสั่งดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งไม่มีบทบัญญัติใดกำหนดให้จำเลยต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมฎีกา และจำเลยได้ชำระค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาถูกต้องตามตารางท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแล้ว จึงมีเหตุต้องเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมที่ไม่รับฎีกาของจำเลย โปรดมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้น โดยให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องดังกล่าวของจำเลยใหม่ หรือมีคำสั่งใหม่ต่อไปตามรูปคดี

หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง

ในวันนัดสืบพยานจำเลย ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตและให้งดสืบพยานจำเลย

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 895,244.29 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 771,543.49 บาท นับแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยไม่ชำระหนี้ หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 4887 ตำบลลาดพร้าว อำเภอลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนครบหากได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ

จำเลยอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี

ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกอุทธรณ์ของจำเลย เนื่องจากจำเลยไม่นำค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่จำเลย ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมฎีกา จึงไม่ชอบไม่รับฎีกาของจำเลย

จำเลยยื่นคำร้องขอให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมและมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ยกคำร้อง (อันดับ 72)

จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 73)

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาวันที่ 17 กันยายน 2544 ต่อมาวันที่ 26 กันยายน 2544 จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมจากไม่รับฎีกาเป็นรับฎีกา วันเดียวกันศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ต่อมาวันที่ 15 ตุลาคม2544 จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2544 ว่า กรณีมีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมเป็นรับฎีกา เห็นว่า อุทธรณ์คำสั่งของจำเลยดังกล่าว แม้อ้างว่าเป็นการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมเป็นรับฎีกา แต่โดยเนื้อหาเป็นการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของจำเลยนั่นเอง การอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกานั้น จำเลยต้องยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้นภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 ประกอบมาตรา 247 แต่คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาวันที่ 17 กันยายน2544 จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2544 เป็นการยื่นเกินกว่าสิบห้าวัน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว

ให้ยกคำร้อง คืนค่าคำร้องส่วนที่เกิน 40 บาท แก่จำเลย

คำสั่งคำร้องที่ 99

คำสั่งคำร้องที่ 99/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 106, 107, 108, 218

ความว่า ผู้ประกันยื่นคำร้องขอให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวในระหว่างฎีกา โดยได้เสนอหลักประกันมาด้วยแล้ว

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 6 เดือน ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ในชั้นนี้ยังไม่สมควรอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยโดยที่จำเลยยังมิได้ยื่นฎีกา ยกคำร้อง

คำสั่งคำร้องที่ 172

คำสั่งคำร้องที่ 172/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 106, 107, 108

ความว่า ผู้ประกันยื่นคำร้องขอให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวในระหว่างฎีกา โดยขอใช้หลักประกันเดิม

คำสั่ง

คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยยังไม่ได้ยื่นฎีกา หากจำเลยไม่ยื่นฎีกาหรือยื่นฎีกาแล้วศาลไม่รับฎีกาของจำเลย คดีย่อมถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ในชั้นนี้จึงยังไม่มีเหตุอันสมควรที่จะอนุญาตให้ปล่อยจำเลยชั่วคราว ยกคำร้องแจ้งคำสั่งให้จำเลยทราบโดยเร็ว

คำสั่งคำร้องที่ 145

คำสั่งคำร้องที่ 145/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 248

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้เป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา

จำเลยเห็นว่า โจทก์และจำเลยได้ตกลงเลิกสัญญากันแล้ว เมื่อสัญญาเลิกกันคู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยภายหลังสัญญาเลิกกัน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยต้องรับผิดชำระค่าเช่าที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระและราคาค่าซื้อทรัพย์ที่เช่าทั้งหมดแก่โจทก์หรือไม่เพียงใดนั้น เป็นฎีกาข้อกฎหมายโปรดรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป

หมายเหตุ โจทก์ยังมิได้รับสำเนาคำร้อง

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 130,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว (อันดับ 46)

จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 49)

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่าสัญญารายพิพาทเลิกกันโดยคู่สัญญาสมัครใจเลิกสัญญาหรือสัญญาเลิกกันโดยจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งประพฤติผิดสัญญาเป็นปัญหาข้อเท็จจริง หาใช่ปัญหาข้อกฎหมายไม่คำสั่งศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ

คำสั่งคำร้องที่ 143

คำสั่งคำร้องที่ 143/2545

พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 ม. 26 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 231

ความว่า โจทก์อุทธรณ์ว่า มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางทั้งหมดไว้ก่อน

หมายเหตุ จำเลยทั้งสี่ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว เฉพาะจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 แถลงคัดค้าน (อันดับ 990,993,994)

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 4,6,8,15,19,27,31,61,69,70,74,75 และ 76 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,91 และ 137 ให้จำเลยทั้งสี่ยุติการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ โดยห้ามมิให้จำเลยอ้างตนเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์หรือเป็นผู้มีสิทธิแต่ผู้เดียวใน "อุลตร้าแมน" หรือตัว "ยอดมนุษย์" ทั้งปวงตามคำฟ้องและห้ามมิให้จำเลยทั้งสี่ทำสัญญามอบสิทธิหรือลิขสิทธิ์ใน "อุลตร้าแมน" หรือตัว "ยอดมนุษย์" ทั้งปวงเหล่านี้ให้บุคคลอื่น และมีคำสั่งยกเลิกเพิกถอนสัญญาหรือข้อผูกพันที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้กระทำกับบุคคลภายนอกทุกรายที่เกี่ยวข้องกับตัว "อุลตร้าแมน" หรือ "ยอดมนุษย์" ในลักษณะต่าง ๆ อันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันและแทนกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์มีมูลในคดีอาญาตามคำฟ้องสำหรับจำเลยทั้งสี่ ให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาในคดีส่วนอาญาสำหรับจำเลยทั้งสี่

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง กับให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้องแย้งแก่จำเลยที่ 2 รวม12,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 2 ห้ามโจทก์ละเมิดสิทธิของจำเลยที่ 2 ตามสัญญาพิพาท และห้ามโจทก์ไม่ให้กระทำการใด ๆ อันเป็นการละเมิดสิทธิของจำเลยที่ 2 ต่อปี

โจทก์อุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 946,944)

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว กรณีที่โจทก์ขอทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางที่ให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 2 ตามฟ้องแย้งนั้น หากโจทก์หาประกันสำหรับเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจำนวน 12,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนถึงวันฟังคำสั่งและต่อไปอีก2 ปี มาให้เป็นที่พอใจของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางและภายในเวลาที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางกำหนด ก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์ มิฉะนั้นให้ยกคำร้องขอทุเลาการบังคับในส่วนนี้ และให้ค่าคำร้องเป็นพับ

ส่วนกรณีที่โจทก์ขอทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางที่ห้ามโจทก์ละเมิดสิทธิของจำเลยที่ 2 ตามสัญญาพิพาทและไม่กระทำการใด ๆ อันเป็นการละเมิดสิทธิของจำเลยที่ 2 ต่อไปนั้น หากโจทก์หาประกันสำหรับความเสียหายที่อาจเกิดแก่จำเลยที่ 2 เป็นเงินเดือนละ 5,000,000 บาทเป็นเวลา 24 เดือน เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 120,000,000 บาท มาให้เป็นที่พอใจของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางและภายในเวลาที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางกำหนด ก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์ มิฉะนั้นให้ยกคำร้องขอทุเลาการบังคับในส่วนนี้ และให้ค่าคำร้องเป็นพับ

คำสั่งคำร้องที่ 111

คำสั่งคำร้องที่ 111/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 106, 107, 108

ความว่า จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ขอให้ศาลฎีกาอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์

คำสั่ง

พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 10 ปี และจำเลยที่ 1 ไม่ได้โต้แย้งคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยจำเลยที่ 1 ชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ในเหตุผลที่ว่าระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอีก 2 คดีและศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าวคดีหนึ่งไว้ 5 ปี 4 เดือน จึงไม่มีเหตุที่จะอนุญาตให้ปล่อยจำเลยที่ 1 ชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยกคำร้องของจำเลยที่ 1 ชอบแล้ว มีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 1

คำสั่งคำร้องที่ 96

คำสั่งคำร้องที่ 96/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 236

ความว่า โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 7 ว่า คดีนี้จำเลยที่ 1มิได้วางเงินชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียม และค่าทนายความในศาลชั้นต้น ซึ่งกำหนดให้เป็นค่าทนายความ 2,000 บาท และค่าเสียหายอีกเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้อง(วันที่ 17 เมษายน 2540) มาจนถึงวันอุทธรณ์รวมเวลาแล้วประมาณ 4 ปี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของค่าฤชาธรรมเนียมในการอุทธรณ์คำพิพากษาที่จำเลยที่ 1 จำต้องวางต่อศาลตามกฎหมาย คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 7 ที่ให้ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาเป็นการมิชอบ ขอศาลฎีกาโปรดมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ด้วย

หมายเหตุ จำเลยที่ 1 ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว ไม่แถลงคัดค้าน (อันดับ 114,115)

ระหว่างพิจารณา โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และบริวารออกไปจากที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 5234 เลขที่ดิน 71 หน้าสำรวจ 289 ตำบลท่าไม้ อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรีและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากอาคารเลขที่ 8/2 หมู่ที่ 4 ตำบลท่าไม้ อำเภอท่ามะกาจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งขายฝากและห้ามยุ่งเกี่ยวกับที่ดินและอาคารดังกล่าวของโจทก์ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายแก่ให้โจทก์เป็นเงินเดือนละ 1,000 บาท นับจากวันฟ้อง(วันที่ 17 เมษายน 2540) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่พิพาทอันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะยื่นฟ้องเดือนละ 1,000 บาทจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 วรรคสอง และไม่ปรากฏว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ได้รับการรับรองจากผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้หรือไม่ จึงไม่รับอุทธรณ์

จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ (อันดับที่ 98)

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำสั่งว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าที่ดินและอาคารพิพาทเป็นของโจทก์โดยจำเลยที่ 1 นำมาขายฝากโจทก์ไว้แล้วไม่ไถ่คืนภายในเวลากำหนด โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยที่ 1 อาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทต่อไปจึงฟ้องขับไล่ จำเลยที่ 1 ให้การว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายฝากดังกล่าวเพื่ออำพรางนิติกรรมจำนอง ความจริงเป็นการจำนองที่ดินและอาคารพิพาทกัน เท่ากับจำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้ว่าที่ดินและอาคารพิพาทยังเป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เพียงแต่นำไปจำนองโจทก์ไว้เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้เท่านั้น จึงเป็นการต่อสู้กรรมสิทธิ์ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ และศาลชั้นต้นตีราคาที่ดินพิพาทมาแล้วว่ามีราคา 6,000,000 บาท เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ คดีนี้ก็ยังเป็นคดีที่มีราคาทรัพย์หรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์เกินห้าหมื่นบาท ไม่ต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 1 จึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ให้รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ไว้และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป

โจทก์จึงยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งนี้ (อันดับ 111)

คำสั่ง

คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 7 ที่ให้รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 กรณีนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้เป็นที่สุดโดยไม่อาจฎีกาต่อไปได้อีก สำหรับปัญหาว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ไม่วางค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนให้ครบถ้วน จะเป็นอุทธรณ์ที่ชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 จะได้พิจารณาพิพากษาต่อไป

จึงให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ

คำสั่งคำร้องที่ 92

คำสั่งคำร้องที่ 92/2545

พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 ม. 22, 25

ความว่า เนื่องจากจำเลยได้ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ไว้เด็ดขาดเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2544 ในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ 318/2544 ผู้ร้องจึงขอเข้าดำเนินคดีแทนจำเลย ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 และ 25

หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 93)

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้จำนวน 2,478,680.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ดอกเบี้ยคิดจนถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 23 กรกฎาคม2539) ต้องไม่เกิน 312,201.70 บาท ตามที่โจทก์ขอมา

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา (อันดับ 74)

คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา

ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 93)

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483มาตรา 22 บัญญัติว่า เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่เพียงผู้เดียว มีอำนาจ (1) จัดการและจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ ฯลฯ (3)ประนีประนอมยอมความหรือฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้และมาตรา 25 บัญญัติว่า ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าว่าคดีแพ่งทั้งปวงอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ ซึ่งค้างพิจารณาอยู่ในศาลในขณะที่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์และเมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำขอโดยทำเป็นคำร้อง ดังนั้น จึงอนุญาตให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าดำเนินคดีเรื่องนี้แทนจำเลย (ลูกหนี้) ต่อไปตามคำร้อง

คำสั่งคำร้องที่ 134

คำสั่งคำร้องที่ 134/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 106, 107, 108

ความว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างฎีกา

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ชั่วคราวแล้ว คำสั่งดังกล่าวย่อมถึงที่สุด แต่จำเลยทั้งสามมีสิทธิจะยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวในระหว่างฎีกาต่อศาลชั้นต้นได้อีก และคำร้องของจำเลยทั้งสามพอถือได้ว่าเป็นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกาที่ยื่นเข้ามาใหม่ แม้ศาลชั้นต้นยังมิได้พิจารณาคำร้องดังกล่าว แต่เมื่อคำร้องดังกล่าวขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรสั่งคำร้องดังกล่าวเพื่อให้เสร็จไป พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับการยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวในครั้งนี้ ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้จำเลยทั้งสามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้แล้ว จึงอนุญาตให้ปล่อยจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ชั่วคราวตีราคาคนละสองแสนบาท ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาหลักประกันและดำเนินการต่อไป

คำสั่งคำร้องที่ 128

คำสั่งคำร้องที่ 128/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 106, 107, 108, 218

ความว่า ผู้ประกันยื่นคำร้องขอให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวในระหว่างฎีกา โดยขอใช้หลักประกันเดิม

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จึงยังไม่สมควรอนุญาตให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวในระหว่างฎีกาโดยที่จำเลยยังมิได้ยื่นฎีกา ให้ยกคำร้อง

« »
ติดต่อเราทาง LINE