คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2545

คำสั่งคำร้องที่ 99

คำสั่งคำร้องที่ 99/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 106, 107, 108, 218

ความว่า ผู้ประกันยื่นคำร้องขอให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวในระหว่างฎีกา โดยได้เสนอหลักประกันมาด้วยแล้ว

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 6 เดือน ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ในชั้นนี้ยังไม่สมควรอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยโดยที่จำเลยยังมิได้ยื่นฎีกา ยกคำร้อง

คำสั่งคำร้องที่ 172

คำสั่งคำร้องที่ 172/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 106, 107, 108

ความว่า ผู้ประกันยื่นคำร้องขอให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวในระหว่างฎีกา โดยขอใช้หลักประกันเดิม

คำสั่ง

คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยยังไม่ได้ยื่นฎีกา หากจำเลยไม่ยื่นฎีกาหรือยื่นฎีกาแล้วศาลไม่รับฎีกาของจำเลย คดีย่อมถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ในชั้นนี้จึงยังไม่มีเหตุอันสมควรที่จะอนุญาตให้ปล่อยจำเลยชั่วคราว ยกคำร้องแจ้งคำสั่งให้จำเลยทราบโดยเร็ว

คำสั่งคำร้องที่ 145

คำสั่งคำร้องที่ 145/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 248

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้เป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา

จำเลยเห็นว่า โจทก์และจำเลยได้ตกลงเลิกสัญญากันแล้ว เมื่อสัญญาเลิกกันคู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยภายหลังสัญญาเลิกกัน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยต้องรับผิดชำระค่าเช่าที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระและราคาค่าซื้อทรัพย์ที่เช่าทั้งหมดแก่โจทก์หรือไม่เพียงใดนั้น เป็นฎีกาข้อกฎหมายโปรดรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป

หมายเหตุ โจทก์ยังมิได้รับสำเนาคำร้อง

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 130,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว (อันดับ 46)

จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 49)

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่าสัญญารายพิพาทเลิกกันโดยคู่สัญญาสมัครใจเลิกสัญญาหรือสัญญาเลิกกันโดยจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งประพฤติผิดสัญญาเป็นปัญหาข้อเท็จจริง หาใช่ปัญหาข้อกฎหมายไม่คำสั่งศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ

คำสั่งคำร้องที่ 111

คำสั่งคำร้องที่ 111/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 106, 107, 108

ความว่า จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ขอให้ศาลฎีกาอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์

คำสั่ง

พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 10 ปี และจำเลยที่ 1 ไม่ได้โต้แย้งคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยจำเลยที่ 1 ชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ในเหตุผลที่ว่าระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอีก 2 คดีและศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าวคดีหนึ่งไว้ 5 ปี 4 เดือน จึงไม่มีเหตุที่จะอนุญาตให้ปล่อยจำเลยที่ 1 ชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยกคำร้องของจำเลยที่ 1 ชอบแล้ว มีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 1

คำสั่งคำร้องที่ 96

คำสั่งคำร้องที่ 96/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 236

ความว่า โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 7 ว่า คดีนี้จำเลยที่ 1มิได้วางเงินชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียม และค่าทนายความในศาลชั้นต้น ซึ่งกำหนดให้เป็นค่าทนายความ 2,000 บาท และค่าเสียหายอีกเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้อง(วันที่ 17 เมษายน 2540) มาจนถึงวันอุทธรณ์รวมเวลาแล้วประมาณ 4 ปี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของค่าฤชาธรรมเนียมในการอุทธรณ์คำพิพากษาที่จำเลยที่ 1 จำต้องวางต่อศาลตามกฎหมาย คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 7 ที่ให้ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาเป็นการมิชอบ ขอศาลฎีกาโปรดมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ด้วย

หมายเหตุ จำเลยที่ 1 ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว ไม่แถลงคัดค้าน (อันดับ 114,115)

ระหว่างพิจารณา โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และบริวารออกไปจากที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 5234 เลขที่ดิน 71 หน้าสำรวจ 289 ตำบลท่าไม้ อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรีและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากอาคารเลขที่ 8/2 หมู่ที่ 4 ตำบลท่าไม้ อำเภอท่ามะกาจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งขายฝากและห้ามยุ่งเกี่ยวกับที่ดินและอาคารดังกล่าวของโจทก์ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายแก่ให้โจทก์เป็นเงินเดือนละ 1,000 บาท นับจากวันฟ้อง(วันที่ 17 เมษายน 2540) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่พิพาทอันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะยื่นฟ้องเดือนละ 1,000 บาทจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 วรรคสอง และไม่ปรากฏว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ได้รับการรับรองจากผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้หรือไม่ จึงไม่รับอุทธรณ์

จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ (อันดับที่ 98)

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำสั่งว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าที่ดินและอาคารพิพาทเป็นของโจทก์โดยจำเลยที่ 1 นำมาขายฝากโจทก์ไว้แล้วไม่ไถ่คืนภายในเวลากำหนด โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยที่ 1 อาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทต่อไปจึงฟ้องขับไล่ จำเลยที่ 1 ให้การว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายฝากดังกล่าวเพื่ออำพรางนิติกรรมจำนอง ความจริงเป็นการจำนองที่ดินและอาคารพิพาทกัน เท่ากับจำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้ว่าที่ดินและอาคารพิพาทยังเป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เพียงแต่นำไปจำนองโจทก์ไว้เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้เท่านั้น จึงเป็นการต่อสู้กรรมสิทธิ์ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ และศาลชั้นต้นตีราคาที่ดินพิพาทมาแล้วว่ามีราคา 6,000,000 บาท เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ คดีนี้ก็ยังเป็นคดีที่มีราคาทรัพย์หรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์เกินห้าหมื่นบาท ไม่ต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 1 จึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ให้รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ไว้และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป

โจทก์จึงยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งนี้ (อันดับ 111)

คำสั่ง

คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 7 ที่ให้รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 กรณีนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้เป็นที่สุดโดยไม่อาจฎีกาต่อไปได้อีก สำหรับปัญหาว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ไม่วางค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนให้ครบถ้วน จะเป็นอุทธรณ์ที่ชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 จะได้พิจารณาพิพากษาต่อไป

จึงให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ

คำสั่งคำร้องที่ 92

คำสั่งคำร้องที่ 92/2545

พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 ม. 22, 25

ความว่า เนื่องจากจำเลยได้ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ไว้เด็ดขาดเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2544 ในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ 318/2544 ผู้ร้องจึงขอเข้าดำเนินคดีแทนจำเลย ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 และ 25

หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 93)

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้จำนวน 2,478,680.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ดอกเบี้ยคิดจนถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 23 กรกฎาคม2539) ต้องไม่เกิน 312,201.70 บาท ตามที่โจทก์ขอมา

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา (อันดับ 74)

คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา

ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 93)

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483มาตรา 22 บัญญัติว่า เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่เพียงผู้เดียว มีอำนาจ (1) จัดการและจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ ฯลฯ (3)ประนีประนอมยอมความหรือฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้และมาตรา 25 บัญญัติว่า ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าว่าคดีแพ่งทั้งปวงอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ ซึ่งค้างพิจารณาอยู่ในศาลในขณะที่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์และเมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำขอโดยทำเป็นคำร้อง ดังนั้น จึงอนุญาตให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าดำเนินคดีเรื่องนี้แทนจำเลย (ลูกหนี้) ต่อไปตามคำร้อง

คำสั่งคำร้องที่ 134

คำสั่งคำร้องที่ 134/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 106, 107, 108

ความว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างฎีกา

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ชั่วคราวแล้ว คำสั่งดังกล่าวย่อมถึงที่สุด แต่จำเลยทั้งสามมีสิทธิจะยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวในระหว่างฎีกาต่อศาลชั้นต้นได้อีก และคำร้องของจำเลยทั้งสามพอถือได้ว่าเป็นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกาที่ยื่นเข้ามาใหม่ แม้ศาลชั้นต้นยังมิได้พิจารณาคำร้องดังกล่าว แต่เมื่อคำร้องดังกล่าวขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรสั่งคำร้องดังกล่าวเพื่อให้เสร็จไป พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับการยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวในครั้งนี้ ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้จำเลยทั้งสามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้แล้ว จึงอนุญาตให้ปล่อยจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ชั่วคราวตีราคาคนละสองแสนบาท ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาหลักประกันและดำเนินการต่อไป

คำสั่งคำร้องที่ 128

คำสั่งคำร้องที่ 128/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 106, 107, 108, 218

ความว่า ผู้ประกันยื่นคำร้องขอให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวในระหว่างฎีกา โดยขอใช้หลักประกันเดิม

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จึงยังไม่สมควรอนุญาตให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวในระหว่างฎีกาโดยที่จำเลยยังมิได้ยื่นฎีกา ให้ยกคำร้อง

คำสั่งคำร้องที่ 122

คำสั่งคำร้องที่ 122/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 26

ความว่า คดีนี้ผู้ร้องทั้งสามเคยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2544 ขอให้ประธานศาลฎีกามีคำสั่งให้โอนคดีนี้ไปยังศาลอาญามาแล้วครั้งหนึ่ง ประธานศาลฎีกามีคำสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องทั้งสามถูกฝ่ายโจทก์ข่มขู่จริงและตลอดมา ผู้ร้องทั้งสามไม่กล้าเดินทางไปศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ตามกำหนดนัดเพราะฝ่ายโจทก์ทราบล่วงหน้าโจทก์ประกอบกิจการอยู่ในอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รู้จักบุคคลและพื้นที่ดีอาจก่อเหตุร้ายในวันนัด ผู้ร้องทั้งสามเห็นว่าการที่จะป้องกันความปลอดภัยได้ดีที่สุดคือการไม่ไปปรากฏตัวที่ศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประกอบกับมีเหตุการณ์ใหม่เกิดขึ้นกล่าวคือการพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1315/2542 อันเป็นคดีที่ผู้ร้องที่ 1 เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลย ผู้ร้องที่ 1 ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน ซึ่งสั่งยกคำร้องของผู้ร้องที่ 1 ที่ขอให้มีคำสั่งโอนคดีดังกล่าวไปยังศาลแพ่ง และยกคำร้องขอส่งประเด็นไปสืบพยานที่ศาลแพ่งด้วย ผู้ร้องที่ 1 จึงได้ร้องเรียนผู้พิพากษาดังกล่าวไปยังประธานองคมนตรีและคณะองคมนตรี ผู้ร้องที่ 1 เกรงว่า แม้เป็นการร้องเรียนผู้พิพากษาเฉพาะราย แต่อาจทำให้ผู้พิพากษาอื่นที่ประจำอยู่ที่ศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เกิดความไม่พอใจและอาจมีอคติในการพิจารณาพิพากษาคดีนี้ ผู้ร้องทั้งสามจึงขอให้ประธานศาลฎีกามีคำสั่งให้โอนคดีนี้ไปยังศาลอาญา

หมายเหตุ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งจดหมายพร้อมสำเนาคำฟ้องคดีแพ่งที่จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ในคดีนี้ เรื่องเรียกค่าทดแทนเพราะเหตุมีความสัมพันธ์กับสามีผู้อื่นในทำนองชู้สาว ไปยังเจ้าของบ้านหลายหลังในโครงการหมู่บ้านปราณบุรีคันทรี่พาร์ค ของโจทก์ ขอให้ผู้ที่พบเห็นว่าโจทก์มีความสัมพันธ์กับสามีจำเลยที่ 1 ในทำนองชู้สาวช่วยไปเป็นพยานให้จำเลยที่ 1 อันเป็นการหมิ่นประมาท และจงใจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328,83,91 ให้ลงโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ และชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน 4,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย

ขณะที่คดีอยู่ระหว่างศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้อง จำเลยทั้งสองและทนายจำเลยที่ 1ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2544 ขอให้ประธานศาลฎีกามีคำสั่งให้โอนคดีนี้ไปยังศาลอาญา ประธานศาลฎีกามีคำสั่งยกคำร้อง

ต่อมาวันที่ 3 มกราคม 2545 จำเลยทั้งสองและทนายจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องฉบับนี้ขอให้ประธานศาลฎีกามีคำสั่งให้โอนคดีนี้ไปยังศาลอาญาอีก

คำสั่ง

คดีนี้ผู้ร้องทั้งสามเคยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2544 ขอให้ประธานศาลฎีกามีคำสั่งให้โอนคดีนี้ไปยังศาลอาญา ประธานศาลฎีกามีคำสั่งยกคำร้องเพราะเหตุว่าคดีนี้มิใช่ความผิดร้ายแรง และข้อกล่าวอ้างที่ว่าพวกของโจทก์ข่มขู่จะทำร้ายผู้ร้องทั้งสามเป็นเพียงข้อกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีข้อเท็จจริงประกอบให้ฟังได้เช่นนั้น ผู้ร้องทั้งสามยื่นคำร้องฉบับนี้ขอให้ประธานศาลฎีกามีคำสั่งให้โอนคดีนี้ไปยังศาลอาญาอีก โดยเพียงแต่ยืนยันว่า ผู้ร้องทั้งสามถูกฝ่ายโจทก์ข่มขู่จริง มิได้ระบุข้อเท็จจริงเพิ่มเติมที่จะแสดงให้เห็นว่า มีการข่มขู่จากฝ่ายโจทก์หรือหากพิจารณาพิพากษาคดีนี้ที่ศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ต่อไป อาจมีเหตุร้ายเกิดแก่ผู้ร้องทั้งสามอย่างไร ส่วนข้ออ้างเพิ่มเติมจากคำร้องฉบับก่อนที่ว่า ผู้ร้องที่ 1 ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีแพ่งที่ผู้ร้องที่ 1 เป็นความกับโจทก์ และผู้ร้องที่ 1 ร้องเรียนผู้พิพากษาดังกล่าวต่อประธานองคมนตรีและคณะองคมนตรี ผู้ร้องที่ 1 เกรงว่าผู้พิพากษาอื่นที่ประจำอยู่ที่ศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์อาจเกิดความไม่พอใจและมีอคติในการพิจารณาพิพากษาคดีนี้นั้น เป็นเรื่องที่ผู้ร้องที่ 1 วิตกกังวลไปเอง และกรณีดังกล่าวมิใช่เหตุตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 26 ที่ประธานศาลฎีกาจะมีคำสั่งให้โอนคดีไปยังศาลอื่นได้

จึงให้ยกคำร้อง

คำสั่งคำร้องที่ 118

คำสั่งคำร้องที่ 118/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 106, 107, 108

ความว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ขอให้ศาลฎีกาอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์

คำสั่ง

พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหา และพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ยังไม่มีเหตุสมควรอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ที่จำเลยอ้างว่าป่วยด้วยวัณโรคปอดต้องรับการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทาง ขอให้ศาลฎีกาไต่สวนแพทย์ผู้ทำการรักษาเพื่อชี้แจงอาการป่วยของจำเลยนั้นเห็นว่าไม่จำเป็น เพราะหากจำเลยมีอาการป่วยร้ายแรงถึงขั้นอันตราย อธิบดีกรมราชทัณฑ์มีอำนาจอนุญาตให้ออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำได้อยู่แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่อนุญาตให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

« »
ติดต่อเราทาง LINE