คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2545

คำสั่งคำร้องที่ 241

คำสั่งคำร้องที่ 241/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 106, 107, 108, 218

ความว่า ผู้ประกันยื่นคำร้องขอให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวในระหว่างฎีกาโดยขอใช้หลักประกันเดิม

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 และตามพฤติการณ์แห่งคดีเป็นการถูกกล่าวหาว่า กระทำผิดในร้านอาหารซึ่งเป็นที่สาธารณะ จึงยังไม่มีเหตุสมควรให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวในชั้นนี้ ยกคำร้อง

คำสั่งคำร้องที่ 229

คำสั่งคำร้องที่ 229/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 106, 107, 108

ความว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 6 ขอให้ศาลฎีกาอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยได้ชำระค่าปรับตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้ว จำเลยไม่ได้ถูกกักขังแทนค่าปรับ จึงไม่มีเหตุให้ต้องปล่อยชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ ส่วนที่จำเลยขอให้คืนเงินค่าปรับนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นที่จะทำให้ต้องมีการคืนเงินค่าปรับแก่จำเลย กรณีจึงย่อมจะคืนเงินค่าปรับให้แก่จำเลยไม่ได้ ให้ยกคำร้อง

คำสั่งคำร้องที่ 219

คำสั่งคำร้องที่ 219/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 106, 107, 108, 218

ความว่า ผู้ประกันยื่นคำร้องขอให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวในระหว่างฎีกาโดยขอใช้หลักประกันเดิม

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 6 เดือนคดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 จำเลยยังมิได้ยื่นฎีกาและได้รับอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ชั้นนี้จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวระหว่างฎีกา ให้ยกคำร้อง

คำสั่งคำร้องที่ 214

คำสั่งคำร้องที่ 214/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 106, 107, 108

ความว่า ผู้ประกันยื่นคำร้องขอให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวในระหว่างฎีกา โดยขอใช้หลักประกันเดิม

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว การลักทรัพย์รถจักรยานยนต์ของผู้อื่นถือว่าเป็นภัยอย่างร้ายแรงต่อสังคม ในชั้นนี้ยังไม่มีเหตุอันสมควรอย่างอื่นที่จะอนุญาตให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวในระหว่างฎีกา ให้ยกคำร้อง

คำสั่งคำร้องที่ 203

คำสั่งคำร้องที่ 203/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 218, 221

ความว่า จำเลยฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา ผู้พิพากษาดังกล่าวมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกา ศาลชั้นต้นจึงสั่งฎีกาว่า จำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 4พิพากษาแก้ไขเล็กน้อย ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยล้วนเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา

จำเลยเห็นว่า การกระทำความผิดของจำเลยเป็นความผิดครั้งแรก จำเลยได้สำนึกในการกระทำความผิดจึงบรรเทาผลร้ายแห่งคดีโดยได้คืนเงินให้แก่ผู้เสียหายจนเป็นที่พอใจและได้ไปทำการขอถอนคำร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนแล้ว ดังนั้น เพื่อให้โอกาสจำเลยต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ โปรดมีคำสั่งแก้คำสั่งของผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเป็นอนุญาตให้จำเลยฎีกาด้วย

หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265,268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 พระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2535 มาตรา 68,105 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมจำเลยซึ่งเป็นผู้ใช้เอกสารปลอมดังกล่าวเป็นผู้ปลอมเอกสารสิทธินั่นเอง จึงให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง เพียงกระทงเดียว จำคุก 1 ปี ฐานกระทำการเป็นตัวแทนประกันชีวิตโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 3 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 3 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2535 มาตรา 68 วรรคหนึ่ง ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 10 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา ผู้พิพากษาดังกล่าวมีคำสั่งไม่อนุญาตศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับฎีกา(อันดับ 68,67)

จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 71)

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว เมื่อผู้พิพากษาผู้มีอำนาจสั่งอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกาย่อมเป็นดุลพินิจอันเด็ดขาดของผู้พิพากษาผู้นั้น ศาลฎีกาไม่อาจก้าวล่วงไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำสั่งนั้นได้ ให้ยกคำร้อง

คำสั่งคำร้องที่ 189

คำสั่งคำร้องที่ 189/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 106, 107, 108, 218 วรรคแรก

ความว่า จำเลยยื่นคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างฎีกา โดยผู้ประกันได้เสนอบัญชีทรัพย์มาด้วยแล้ว

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นโดยให้ลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกิน 5 ปี ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ดังนั้น ในชั้นนี้เมื่อจำเลยยังมิได้ยื่นฎีกา จึงยังไม่สมควรอนุญาตให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวในระหว่างฎีกาให้ยกคำร้อง

คำสั่งคำร้องที่ 174

คำสั่งคำร้องที่ 173 - 174/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 106, 107, 108

ความว่า ผู้ประกันยื่นคำร้องขอให้ปล่อยจำเลยที่ 1 และที่ 3 ชั่วคราวในระหว่างฎีกา โดยขอใช้หลักประกันเดิม

คำสั่ง

พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์ต่าง ๆ แห่งคดีแล้ว เห็นว่าข้อหาที่ฟ้องเป็นข้อหาหนักและจำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การรับสารภาพบางข้อหาหากปล่อยจำเลยที่ 1 และที่ 3 ชั่วคราวในระหว่างฎีกา จำเลยที่ 1 และที่ 3 น่าจะหลบหนีจึงไม่อนุญาต ให้ยกคำร้อง

คำสั่งคำร้องที่ 187

คำสั่งคำร้องที่ 187/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 106, 107, 108, 218 วรรคแรก

ความว่า จำเลยยื่นคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างฎีกา โดยผู้ประกันขอใช้หลักประกันเดิม

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นจำคุกจำเลยมีกำหนด5 ปี ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก และจำเลยยังไม่ได้รับอนุญาตให้ฎีกา ประกอบกับพฤติการณ์ตามข้อกล่าวหาเป็นการกระทำต่อเด็กมีลักษณะเป็นภัยต่อสังคม ชั้นนี้ยังไม่มีเหตุสมควรอนุญาตให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวในระหว่างฎีกา ยกคำร้อง

คำสั่งคำร้องที่ 177

คำสั่งคำร้องที่ 177/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 236

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย โดยให้เหตุผลว่า อุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 50,000 บาทจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 236 บัญญัติว่า คำสั่งนี้ให้เป็นที่สุด ดังนี้จำเลยยื่นฎีกาคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไม่ได้ ไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาล

จำเลยเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 ไม่ได้ห้ามคู่ความฎีกา เพียงแต่บัญญัติว่าคดีถึงที่สุด ศาลชั้นต้นควรรับฎีกาแล้วส่งให้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีถึงที่สุดหรือไม่ และการที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวเกี่ยวกับทุนทรัพย์ว่าควรกำหนดเท่าใดในชั้นอุทธรณ์เพราะจำเลยเห็นว่าคดีนี้ไม่มีทุนทรัพย์และหากมีทุนทรัพย์แต่ศาลมิได้ตีราคาทุนทรัพย์ จึงทำให้คดีของจำเลยต้องห้ามอุทธรณ์ทำให้จำเลยเสียหายเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป

หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 156)

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรับชำระเงินจากโจทก์จำนวน 15,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 กันยายน 2533 ไปจนกว่าจะชำระแก่จำเลยเสร็จสิ้น และเมื่อจำเลยได้รับชำระหนี้ดังกล่าวครบถ้วนแล้ว ให้จำเลยเวนคืนสัญญากู้ยืมเงิน เอกสารหมาย ล.1 และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1388ตำบลห้วยทรายเหนืออำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี แก่โจทก์ คำขออื่นของโจทก์ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์

จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำสั่งให้ยกคำร้อง (อันดับ 147)

จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 148)

จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 150)

คำสั่ง

คำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุดแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 236 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

คำสั่งคำร้องที่ 157

คำสั่งคำร้องที่ 157/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 218 วรรคหนึ่ง

ความว่า ผู้ประกันยื่นคำร้องขอให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวในระหว่างฎีกาโดยขอใช้หลักประกันเดิม

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง และจำเลยยังมิได้ยื่นฎีกาจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะปล่อยชั่วคราวจำเลยในระหว่างฎีกา ยกคำร้อง

« »
ติดต่อเราทาง LINE