คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2545

คำสั่งคำร้องที่ 79

คำสั่งคำร้องที่ 79/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 106, 107, 108

ความว่า ผู้ประกันยื่นคำร้องขอให้ปล่อยจำเลยทั้งสองชั่วคราวในระหว่างฎีกา โดยขอใช้หลักประกันเดิม

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยทั้งสองต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ในชั้นนี้จึงยังไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้งสองในระหว่างพิจารณาให้ยกคำร้อง

คำสั่งคำร้องที่ 250

คำสั่งคำร้องที่ 250/2545

พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 ม. 54

ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า อุทธรณ์จำเลยเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 จึงไม่รับอุทธรณ์จำเลย

จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยข้อ 2.1 ที่ว่าศาลแรงงานกลางวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีนอกเหนือไปจากที่ปรากฏในสำนวน ข้อ 2.2 ที่ว่า คำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางฝ่าฝืนบทบัญญัติ มาตรา 51 ที่ไม่แสดงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยข้อ 2.3 การแปลความคำว่านายจ้าง ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยแตกต่างไปจากที่กฎหมายกำหนดไว้ และข้อ 2.4 การที่นางสาวพรรณี พูดว่า ให้ออกไปเลยในวันนี้ เป็นการโต้เถียงเพียงว่าคำพูดดังกล่าวยังแปลความไม่ถึงขั้นเป็นการพูดไม่ให้โจทก์ทำงานต่อไปได้นั้น ล้วนแต่เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดรับอุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อไว้พิจารณาต่อไป

หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 44)

ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน 10,000 บาท และชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 15,667 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 25 เมษายน 2544) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ชำระค่าจ้างจำนวน 4,667 บาท และค่าชดเชยจำนวน 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 25 เมษายน 2544) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว (อันดับ 39)

จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 40)

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว อุทธรณ์ของจำเลยข้อ 2.1 ที่ว่า นางสาวพรรณีวนาสุขพันธ์เป็นเพียงผู้จัดการฝ่ายการตลาดของจำเลยเท่านั้น แต่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่านางสาวพรรณีเลิกจ้างโจทก์โดยกระทำในฐานะตัวแทนของจำเลย เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีนอกเหนือไปจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนหรือไม่ก็ดี ข้อ 2.2 ที่ว่า เมื่อศาลแรงงานกลางไม่ได้แสดงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยว่า เหตุใดจึงเห็นว่านางสาวพรรณีกระทำในฐานะตัวแทนของจำเลย คำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางดังกล่าวชอบด้วยบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 51 หรือไม่ก็ดี ข้อ 2.3 ที่ว่า เมื่อนางสาวพรรณีเป็นเพียงผู้จัดการฝ่ายการตลาดของจำเลย ไม่ใช่กรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยและไม่ปรากฏว่าได้รับมอบหมายอย่างชัดแจ้งจากผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยให้เลิกจ้างพนักงานหรือลูกจ้างของจำเลยรวมทั้งโจทก์ นางสาวพรรณีจะมีอำนาจเลิกจ้างโจทก์หรือไม่ก็ดี และข้อ 2.4 ที่ว่า คำพูดของนางสาวพรรณี ที่พูดกับโจทก์ว่า ให้ออกไปเลยในวันนี้ เมื่อพิจารณาประกอบกับเอกสารหมาย จ.1 ตามคำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางจะถือได้หรือไม่ว่า เป็นการบอกเลิกจ้างโจทก์แล้วก็ดี ล้วนเป็นอุทธรณ์ในข้อกฎหมายทั้งสิ้น ส่วนอุทธรณ์ข้อ 3 เป็นอุทธรณ์เกี่ยวเนื่องกับอุทธรณ์ในข้อ 2.1 ถึง 2.4 จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อกฎหมายเช่นเดียวกันให้รับอุทธรณ์ทุกข้อของจำเลยไว้ดำเนินการต่อไป

คำสั่งคำร้องที่ 249

คำสั่งคำร้องที่ 249/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 42

ความว่า เนื่องจาก จำเลยที่ 2 ได้ถึงแก่กรรมลงด้วยโรคชรา ผู้ร้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 2 มีความประสงค์จะขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 2 ต่อไปโปรดอนุญาต

หมายเหตุ โจทก์แถลงไม่คัดค้าน (อันดับ 191)

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกับคดีอีกสำนวนหนึ่งโดยให้เรียกจำเลยคดีนี้ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และบริวารรื้อถอนบ้านเลขที่ 43 หมู่ที่ 1 ตำบลอ่างแก้วอำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง ออกไปจากที่ดินของโจทก์ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 4622 ตำบลอ่างแก้วอำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง ห้ามจำเลยที่ 2 ที่ 3 และบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีนี้รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง(อันดับ 164,163) คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา

ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้ว โจทก์แถลงรับผู้ร้องเป็นบุตรของจำเลยที่ 2 จริง (อันดับ 186,191)

คำสั่ง

อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 2 ได้

คำสั่งคำร้องที่ 247

คำสั่งคำร้องที่ 247/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 236 วรรคแรก

ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 4 เป็นที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 วรรคหนึ่ง โจทก์ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา ยกคำร้อง

โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าคดีมีทุนทรัพย์หรือไม่มีทุนทรัพย์นั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 ซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์เฉพาะเนื้อหาสาระในอุทธรณ์เท่านั้น คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกา จึงไม่ถูกต้อง โปรดรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป

หมายเหตุ จำเลยยังมิได้รับสำเนาคำร้อง

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3 ก. เลขที่ 572(ที่ถูกโฉนดที่ดินเลขที่ 25578) ตำบลยางคำ อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น และเพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 25578 ตำบลยางคำ อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์

โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท และจำเลยทั้งสองต่อสู้กรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาท แม้โจทก์มีคำขอเพิกถอนนิติกรรมระหว่างจำเลยทั้งสองด้วย ก็เป็นเพียงคำขอไม่มีผลให้คดีโจทก์กลายเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ไปได้ ดังนั้นเมื่อราคาที่ดินพิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาทย่อมต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและการพิจารณาว่า คดีมีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงหรือไม่เป็นอำนาจของผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นโดยเฉพาะ เมื่อผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นไม่รับรองให้โจทก์อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงแล้ว ย่อมไม่มีเหตุจะรับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาได้ และโจทก์จะขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงอีกมิได้ ให้ยกคำร้อง

โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว (อันดับ 60)

โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 61)

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 4 เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 วรรคแรก ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาคำสั่งของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

คำสั่งคำร้องที่ 246

คำสั่งคำร้องที่ 246/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 15 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 249

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษา ไม่อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาของจำเลย

จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 ที่ว่า ยาเสพติดให้โทษมีสารบริสุทธิ์ไม่ถึง 20 กรัม ยังไม่เข้าองค์ประกอบตามมาตรา 15 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงเป็นการมิชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป

หมายเหตุ โจทก์ยังมิได้รับสำเนาคำร้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง,66 วรรคหนึ่ง,102 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ให้ลงโทษจำคุก 6 ปี ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้ลงโทษจำคุก 5 ปี รวมให้ลงโทษจำคุก 11 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามคงลงโทษจำคุก 7 ปี 4 เดือน ฯลฯ

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว (อันดับ 71)

จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 77)

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนนั้น เป็นการวินิจฉัยโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ได้จากการนำสืบของโจทก์ มิใช่โดยอาศัยข้อสันนิษฐานของกฎหมายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสองดังที่จำเลยยกขึ้นอ้างในฎีกา ฎีกาของจำเลยไม่ตรงต่อรูปเรื่อง จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันสมควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ ข้อ 2(2) นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้อง

คำสั่งคำร้องที่ 176

คำสั่งคำร้องที่ 176/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 163, 215, 225

ความว่า เนื่องจากฎีกาของจำเลยยังมีข้อความที่พิมพ์ผิดพลาดและตกหล่นเพื่อให้ฎีกาสมบูรณ์และถูกต้อง จำเลยจึงขอแก้ไขเพิ่มเติมฎีกามีข้อความตามคำร้องนี้

หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,335(1)(8) วรรคสาม ให้ลงโทษจำคุก 4 ปี ฯลฯ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา (อันดับ 146)

จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 148)

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อย จึงอนุญาตให้แก้ไขฎีกาตามคำร้อง ส่งสำเนาคำร้องและสำเนาฎีกาที่จำเลยพิมพ์ใหม่ให้แก่โจทก์

คำสั่งคำร้องที่ 175

คำสั่งคำร้องที่ 175/2545

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 371 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 195, 198, 205, 245 วรรคสอง

ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา โจทก์และจำเลยที่ 2 ต่างไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมายังศาลอุทธรณ์ภาค 5 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 ดังนั้นเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษาแก้เฉพาะให้ปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ที่ศาลชั้นต้นยังมิได้กำหนด ซึ่งมีผลเท่ากับศาลอุทธรณ์พิพากษายืนในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น จึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง จึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2

จำเลยที่ 2 เห็นว่า ชั้นอุทธรณ์ทนายจำเลยที่ 2 แจ้งว่าได้ยื่นอุทธรณ์แล้วแต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ทนายจำเลยที่ 2 มิได้ยื่นอุทธรณ์ จึงเป็นเหตุสุดวิสัย ทั้งจำเลยที่ 2 ก็ใช้สิทธิในการแถลงการณ์ในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งมีสาระสำคัญประดุจเป็นอุทธรณ์กรณีเป็นความเกี่ยวเนื่องกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 205,195,198 ประกอบกับศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้ไขเล็กน้อย จำเลยที่ 2 จึงชอบที่จะได้รับการวินิจฉัยคดีนี้ในชั้นฎีกาต่อไป โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณาด้วย

หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกับคดีอีกสำนวนหนึ่ง โดยให้เรียกจำเลยคดีนี้ว่า จำเลยที่ 2

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83,289(4) พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7,8 ทวิ วรรคหนึ่ง,72 วรรคสาม,72 ทวิ วรรคสอง เรียงกระทงลงโทษ ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนลงโทษประหารชีวิต ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปีฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างลดโทษให้หนึ่งในสามสำหรับความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเมื่อคำนวณลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 52(1) แล้ว คงจำคุกตลอดชีวิต ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองจำคุก 8 เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง จำคุก 8 เดือนเมื่อจำคุกตลอดชีวิตในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนแล้วก็ไม่อาจนำโทษจำคุกฐานอื่นมารวมได้อีกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) คงจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิต ริบของกลาง

โจทก์และจำเลยที่ 2 ต่างไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์ภาค 5ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว (อันดับ 120 แผ่นที่ 2)

จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 2ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 224 คือ ต้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นต่อศาลฎีกา มิใช่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ตามที่จำเลยที่ 2ยื่นมา อีกทั้งคำร้องดังกล่าวบังคับจำต้องยื่นภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันฟังคำสั่งแต่จากการตรวจสำนวนคดีแล้วไม่ปรากฏหลักฐานเป็นหนังสือว่าจำเลยที่ 2 ได้รับคำสั่งตั้งแต่เมื่อใด แต่เมื่อพิจารณาวันที่ระบุในหนังสือที่ศาลจังหวัดเชียงรายที่แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบผ่านเรือนจำกลางบางขวาง และวันที่ระบุในคำร้องของจำเลยที่ 2 แล้ว ยังอยู่ในกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย ดังนั้นเพื่อความรวดเร็วไม่ต้องส่งคำร้องกลับไปให้จำเลยที่ 2 แก้ไข สมควรส่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นนี้ให้ศาลฎีกาพิจารณาตามกฎหมายและพิจารณาคำสั่งเกี่ยวกับความบกพร่องดังกล่าวไปพร้อมกัน (อันดับ 122แผ่นที่ 2)

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว ปรากฏตามหนังสือของศาลจังหวัดเชียงราย ลงวันที่ 24 สิงหาคม2544 ถึงผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวางให้แจ้งคำสั่งศาลไม่รับฎีกาให้จำเลยทั้งสองทราบ กับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่หัวหน้าฝ่ายควบคุมแดน 2 รับรองว่าเรือนจำได้รับคำร้องดังกล่าวเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2544 แล้ว แสดงว่าจำเลยที่ 2 ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ฟังคำสั่งแล้ว จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไว้ และกรณีพอถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา ซึ่งปรากฏว่าคดีนี้จำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เฉพาะข้อหาความผิดฐานพาอาวุธปืน โดยให้ปรับบทความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 ด้วยเท่านั้น ซึ่งมีผลเท่ากับศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืนในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน คดีจึงถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 245 วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

คำสั่งคำร้องที่ 245

คำสั่งคำร้องที่ 245/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 249

ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีต้องห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นไม่รับรองให้ฎีกา ส่วนปัญหาข้อกฎหมายก็ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จึงไม่รับฎีกาโจทก์

โจทก์เห็นว่า อำนาจในการวินิจฉัยว่าปัญหาข้อกฎหมายใดมีสาระแก่คดีหรือไม่ มิใช่เป็นอำนาจของผู้พิพากษาในศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 และปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์หยิบยกมาฎีกานั้น คือปัญหาคำให้การจำเลยที่ขัดแย้งกันเอง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 โปรดรับฎีกาของโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมายต่อไป

หมายเหตุ จำเลยยังมิได้รับสำเนาคำร้อง

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง เนื้อที่ 23 ไร่เศษหมู่ที่ 1 ตำบลโคกหาร อำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่ เป็นของโจทก์ ให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท และห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้องที่ดินพิพาทต่อไป ให้จำเลยชำระเงิน 22,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่16 เมษายน 2537 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว (อันดับ 107)

โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 109)

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่า คำให้การของจำเลยขัดกัน เป็นคำให้การที่ไม่ชอบจำเลยไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบ เท่ากับจำเลยรับว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์นั้น เห็นว่า ข้อกฎหมายดังกล่าวเป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยเพราะอาจทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงได้ จึงให้รับฎีกาของโจทก์ในข้อกฎหมายดังกล่าวไว้ดำเนินการต่อไป

คำสั่งคำร้องที่ 243

คำสั่งคำร้องที่ 243/2545

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ม. 264

ความว่า คดีนี้จำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ว่า การตรวจค้นของเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2519 และไม่ขออำนาจศาลยุติธรรมให้เป็นผู้ออกคำสั่งพร้อมหมายค้น เป็นการขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ขอให้ส่งสำนวนคดีนี้ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

หมายเหตุ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 6,569 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 150.67 กรัม ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4,7,15,66 วรรคสอง,102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ริบของกลาง

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง,66 วรรคสอง ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 25 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 60)

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว คำร้องของจำเลยโดยเนื้อหาเป็นการโต้แย้งว่า การตรวจค้นของเจ้าพนักงานเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มิใช่โต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะต้องรอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้ชั่วคราวและส่งความเห็นของจำเลยดังกล่าวไปตามทางการเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 264 ให้ยกคำร้อง

คำสั่งคำร้องที่ 242

คำสั่งคำร้องที่ 242/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 42, 44

ความว่า เนื่องจากจำเลยที่ 1 ได้ถึงแก่กรรมแล้ว ขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกนางสาวชุลีข้องม่วงและนายภิรมย์ข้องม่วง ทายาทของจำเลยที่ 1 เข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 1 ผู้มรณะด้วย

หมายเหตุ นางสาวชุลีข้องม่วงและนายภิรมย์ข้องม่วง ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว เฉพาะนางสาวชุลีข้องม่วง แถลงว่า ประสงค์จะเข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 1 (อันดับ 139,140 แผ่นที่ 2)

โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาท ตามโฉนดเลขที่ 11303 ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี และให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งเจ็ด หากไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนเจตนาจำเลยทั้งสอง และหากตกลงไม่ได้ก็ให้ขายทอดตลาดที่ดินพิพาท

ระหว่างพิจารณา โจทก์ที่ 2 และที่ 3 ถึงแก่กรรม นายอำนาจ โมพันธุ์ และนางสาววิภาวรรณข้องม่วง ทายาทของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ผู้มรณะตามลำดับ ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์ทั้งเจ็ดอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน

โจทก์ทั้งเจ็ดฎีกา (อันดับ 130)

คดีอยู่ระหว่างส่งหมายนัดสำเนาฎีกาให้กับจำเลยที่ 1

โจทก์ทั้งเจ็ดยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 136)

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้นางสาวชุลีข้องม่วง เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 1 ได้ตามหมายเรียก

»
ติดต่อเราทาง LINE