คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2532
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 430/2532
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 59, 62, 276, 284, 310, 339
จำเลยกับผู้เสียหายเคยอยู่กินฉัน สามีภริยาโดย ทำพิธี แต่งงานกันตาม ลัทธิศาสนาอิสลาม และมีบุตรด้วยกัน 1 คน ต่อมาได้ แยกกันอยู่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏชัด ว่า จำเลยหย่าขาดกับผู้เสียหายตามกฎหมายอิสลาม การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปเพื่อกระทำอนาจารและข่มขืนกระทำชำเรา จึงอาจเป็นกรณีที่จำเลยกระทำไปโดย เข้าใจว่ามีสิทธิกระทำได้ กับภริยาซึ่ง มีบุตรด้วยกัน อันเสมือนกับทำโดยวิสาสะย่อมไม่เข้าลักษณะกระทำโดย มีเจตนาร้าย จึงไม่เป็นความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารหน่วงเหนี่ยวกักขังและข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย จำเลยถอด เอาแหวนและตุ้มหูของผู้เสียหายซึ่งสวมใส่ไป โดย บอกกับผู้เสียหายว่าถ้ามีแหวนและตุ้มหูติดตัว อาจมีเงินหลบหนีได้ แสดงว่าการที่จำเลยเอาทรัพย์ดังกล่าวไป จำเลยมีเจตนาเพียงที่จะป้องกันมิให้ผู้เสียหายหลบหนี หามีเจตนาทุจริตไม่จึงไม่เป็นความผิดฐาน ชิงทรัพย์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4090/2532
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 369, 810, 812 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 148
ในคดีก่อนประเด็นแห่งคดีมีว่า โจทก์ (จำเลยในคดีนี้) มีสิทธิเรียกค่าเสียหายในการเป็นตัวแทนซื้อขายหุ้นให้แก่จำเลย (โจทก์ในคดีนี้) ได้หรือไม่ แต่สำหรับประเด็นในคดีนี้มีว่าโจทก์มีสิทธิเรียกเงินมัดจำคืนจากจำเลยได้หรือไม่ ดังนั้น แม้จะเป็นคู่ความรายเดียวกัน แต่ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยอาศัยเหตุคนละอย่าง กรณีจึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 โจทก์ได้จ่ายเงินให้แก่จำเลยไว้เพื่อใช้ซื้อหุ้นให้แก่โจทก์จำเลยได้จัดการซื้อหุ้นให้แก่โจทก์ตามคำสั่งของโจทก์แล้ว แต่ต่อมาปรากฏว่าจำเลยได้นำหุ้นเหล่านั้นออกขายให้แก่บุคคลภายนอกไปโดยโจทก์มิได้สั่ง การที่จำเลยได้ขายหุ้นของโจทก์ให้แก่บุคคลอื่นไปโดยพลการ โดยไม่ได้รับความยินยอมและอนุญาตจากโจทก์นั้น ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำไปโดยปราศจากอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจที่โจทก์มอบหมายไว้ จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ต้องคืนเงินและทรัพย์สินที่ได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนให้แก่โจทก์ทั้งหมด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4089/2532
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 108, 820 พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2497 ม. 11 (4), 18, 22, 25, 26 พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชาและตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุงจังหวัดชลบุรี พ.ศ. 2521 พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่อำเภอศรีราชา และอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พ.ศ.2516
สับปะรด เป็นพืชถาวรจำพวกใบเลี้ยงเดี่ยว ที่มีอายุหลายปี ลำต้นสับปะรด ไม่มีเนื้อไม้ให้เห็นเด่นชัด สับปะรด จึงไม่ใช่ไม้ยืนต้น นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของจำเลยที่ 1ได้แต่งตั้งคณะกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อสร้างท่าเรือน้ำลึกตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลทุ่งสุขลาอำเภอศรีราชาและตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุงจังหวัด ชลบุรี พ.ศ. 2521 คณะกรรมการเวนคืนดังกล่าวย่อมมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการให้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยเจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืนให้ตกลงกันในเรื่องจำนวนค่าทดแทนตามมาตรา 18222526แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2497 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะพิพาท เมื่อคณะกรรมการเวนคืนได้รับการแต่งตั้งโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว คณะอนุกรรมการที่คณะกรรมการเวนคืนแต่งตั้งย่อมเป็นตัวแทนของคณะกรรมการเวนคืนดังนั้นการกระทำของคณะอนุกรรมการดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายและข้อตกลงที่คณะอนุกรรมการได้กระทำไว้กับโจทก์จึงเป็นการกระทำแทนคณะกรรมการเวนคืนและเมื่อคณะกรรมการเวนคืนก็ได้เห็นชอบตามข้อตกลงดังกล่าว จึงย่อมมีผลใช้บังคับ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4083/2532
ประมวลรัษฎากร ม. 41 (1), 48, 50 (1), 63 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 225
ประมวลรัษฎากร มาตรา 50(1) ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นบัญญัติให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1)หักภาษี ณ ที่จ่ายโดยวิธีคูณเงินได้พึงประเมินที่จ่ายด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่ายเพื่อให้ได้จำนวนเงินเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี แล้วคำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48 เป็นเงินภาษีเท่าใดให้หาร ด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่าย ได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใดให้หักภาษีไว้เท่านั้น ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานประเมินคำนวณภาษีโดยใช้สูตร สำเร็จของกรมสรรพากรตามคำสั่งของกรมสรรพากรที่ ป.2/2526 ซึ่งระบุวิธีคำนวณแตกต่างไปจากบทบัญญัติดังกล่าวและได้ตัวเลขแตกต่างกันโดยไม่มีกฎหมายอนุญาตให้ทำเช่นนั้นได้การประเมินโดยวิธีการตามคำสั่งนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาที่ว่าโจทก์ร้องขอให้กรมสรรพากรคืนเงินภาษีที่ชำระเกินไปคืนเมื่อพ้นกำหนด 3 ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งปีซึ่งได้ถูกหักภาษีเกินไปหรือไม่ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน การขอคืนเงินภาษีอากรที่ได้ชำระเกินไปคืนตามประมวลรัษฎากรมาตรา 63 นั้น เมื่อโจทก์ได้รับแจ้งการประเมินภาษีอากรแล้วโจทก์ก็ไม่จำต้องร้องขอต่อเจ้าพนักงานประเมินแต่โจทก์มีสิทธิร้องขอต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในชั้นอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลา 3 ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งปีซึ่งถูกหักภาษีเกินไป ตามบทมาตราดังกล่าวได้ ดังนั้น การที่โจทก์อุทธรณ์การประเมินภาษีอากรขอให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ยกเลิกการประเมิน และให้เครดิตภาษีตามจำนวนที่โจทก์ชำระเกินไปในปี พ.ศ. 2526 ให้โจทก์และจำเลยได้รับอุทธรณ์ดังกล่าวเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2529 จึงเป็นการร้องขอให้จำเลยคืนเงินภาษีอากรภายในกำหนดเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2526 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายแห่งปีซึ่งถูกหักภาษีเกินไปแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินค่าภาษีอากรที่ชำระเกินคืน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4077/2532
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ.2494 ม. 8 ทวิ พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ.2494 ม. 24, 24 จัตวา
เยาวชนอายุ 14 ปีเศษ กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288และถูกฟ้องเมื่ออายุ 17 ปีเศษ ดังนี้ คดีอยู่ในอำนาจของศาลคดีเด็กฯ ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 163 ข้อ 1 แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กฯมาตรา 8(1) ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีเด็กฯ มาตรา 24 จัตวานั้น ห้ามพนักงานอัยการฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามมาตรา 24 ทวิ ต่อศาลทุกศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4069/2532
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 289, ตาราง 1 ข้อ 1( ค )
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอต่อศาลให้เอาเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์มาชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้อื่น ๆ โดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา289 คำร้องดังกล่าวถือได้ว่าเป็นคำฟ้องบังคับจำนองด้วย เมื่อจำเลยผู้จำนองไม่ให้การต่อสู้คดีหรือคัดค้าน ผู้ร้องก็ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามตาราง 1 ข้อ (1)(ค) ในอัตราร้อยละหนึ่ง แต่ไม่เกินหนึ่งแสน บาทแม้โจทก์จะได้ยื่นคำคัดค้านก็ถือว่าเป็นการโต้แย้งในชั้นบังคับคดีเท่านั้น ไม่ใช่ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการบังคับจำนองโดยตรงและถือไม่ได้ว่าคำคัดค้านเป็นคำให้การต่อสู้คดีแทนจำเลยตามความหมายของตาราง 1 ค่าขึ้นศาล แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4067/2532
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 156
การขอขยายระยะเวลาการบังคับคดี มีผลเท่ากับเป็นการขอทุเลาการบังคับคดี และการจะให้ทุเลาการบังคับระหว่างอุทธรณ์หรือไม่ เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์โดยเฉพาะจำเลยจะฎีกาคำสั่งของศาลอุทธรณ์ไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4065/2532
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1516 (6), 1516 (4)
การที่จำเลยร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์ขอแบ่งเงินเดือนเนื่องจากโจทก์ไม่ส่งเงินค่าเลี้ยงดูบุตรให้จำเลยบ้าง การกระทำดังกล่าวก็เพื่อคุ้มครองสิทธิที่จำเลยคิดว่าควรจะได้ จึงไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้ โจทก์เป็นฝ่ายไม่ไปมาหาสู่จำเลยตามหน้าที่สามีที่ดีเป็นเวลานานหลายปี ทั้งยังได้หญิงอื่นเป็นภริยาจนมีบุตรด้วยกัน จำเลยเองกลับเป็นฝ่ายไปหาโจทก์บ่อย ๆจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายทิ้งร้างโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4059/2532
ประมวลรัษฎากร ม. 65 ตรี (1), 65 ตรี (2)
โจทก์จ่ายเงินเข้าบัญชีให้พนักงาน พนักงานมีหน้าที่จะต้องรำเงินที่จ่ายให้ส่งเป็นเงินประกันตัวและเมื่อส่งเป็นเงินประกันตัวแล้ว โจทก์จะนำเข้าฝากในบัญชีประจำของพนักงานพนักงานไม่มีสิทธิถอนเงินจำนวนนี้จนกว่าจะออกจากงานและถ้าออกโดยทำความเสียหายให้แก่โจทก์ โจทก์ก็จะหักเป็นค่าเสียหาย จึงถือไม่ได้ว่าเงินดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของพนักงานโดยเด็ดขาด มีลักษณะเป็นการตั้งบัญชีสำรองจ่ายเงินบำเหน็จพิเศษไว้โดยมิได้มีการจ่ายจริง จึงเป็นเงินสำรองตาม ประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี(1) จะถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4058/2532
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 177
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยตกลงขายที่ดินเลขที่ 442 ตำบลลาดใหญ่อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัด ชัยภูมิ ส่วนทางทิศเหนือให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง คิดเป็นเนื้อที่ 1 งาน 94 ตารางวา แต่สัญญาจะซื้อจะขายที่โจทก์แนบสำเนามาท้ายฟ้องระบุแต่เพียงว่าคู่สัญญาตกลงซื้อขายที่ดินแปลงหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ระบุเนื้อที่และที่ตั้งของที่ดินและไม่ได้ระบุว่าเป็นที่ดินตามฟ้อง การที่จำเลยให้การว่าตามสัญญาดังกล่าวจำเลยตกลงขายให้เฉพาะบริเวณที่เป็นที่ปลูกสร้างเรือนและยุ้งข้าว ไม่ได้กำหนดเนื้อที่จำนวนแน่นอนเท่าใดดังโจทก์ฟ้องถือได้ว่าจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ในเรื่องจำนวนเนื้อที่ดินและบริเวณที่ดินที่จำเลยจะขายให้โจทก์โดยชัดแจ้งแล้ว ชอบที่ศาลจะฟังพยานหลักฐานของคู่ความให้สิ้นกระแสความเสียก่อนจึงวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดี.