คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2531

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3231

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3231/2531

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 136, 138, 367

เจ้าพนักงานตำรวจขอตรวจค้นรถของจำเลย ครั้งแรกจำเลยไม่ยอมให้ค้นเนื่องจากเกรงว่าตำรวจจะกลั่นแกล้งเพราะเหตุที่เคยมีสาเหตุกับตำรวจนั้นมาก่อนในที่สุดจำเลยยอมให้ค้นดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยขาดเจตนาต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา138

การที่จำเลยว่าตำรวจจะเอาของผิดกฎหมายใส่รถจำเลย ตำรวจจะรุททำร้ายจำเลย ไม่แน่ใจว่าเป็นตำรวจ ตำรวจแต่งเครื่องแบบปล้นก็มี เป็นการกล่าวเพราะเชื่อโดยสุจริตว่าจำเลยถูกตำรวจกลั่นแกล้ง เนื่องจากตำรวจหาเหตุมาหยุดรถและค้นรถของจำเลยโดยเฉพาะ การที่จำเลยกล่าวถ้อยคำเช่นนั้นจึงเป็นการปกป้องตนเอง มิให้ตำรวจกระทำการดังกล่าว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136

ตำรวจรู้จักชื่อและที่อยู่จำเลยแล้วเพราะเคยไปค้นบ้านจำเลยมาก่อน ไม่มีความจำเป็นอย่างไรที่จะต้องถามชื่อและที่อยู่จำเลยอีก การที่จำเลยมิได้แจ้งชื่อและที่อยู่ตามที่ตำรวจถาม จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 367.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3248

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3248/2531

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 4, 164, 609, 616, 624

ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายว่าด้วยรับขนทางทะเลใช้บังคับและไม่ปรากฎว่ามีประเพณีการรับขนของทางทะเลที่ถือปฎิบัติกันอยู่ จึงต้องนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะรับขนในหมวดรับขนของอันเป็นกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับแก่คดี ซึ่งในเรื่องความรับผิดของผู้ขนส่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 616 จำเลย ผู้ขนส่งมีหน้าที่ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าสินค้ากระดาษทิชชูเช็ดหน้าที่รับขนได้รับความเสียหายมีกลิ่นปลาบดเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดแต่สภาพแห่งของนั้นเอง หรือเกิดเพราะความผิดของผู้ส่งหรือผู้รับตราส่ง เมื่อจำเลยไม่สืบพยานจึงต้องฟังว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความประมาทเลินเล่อของจำเลย จำเลยจึงต้องรับผิดในความเสียหายนั้น การเรียกค่าเสียหายกรณีรับขนทางทะเลต้องใช้อายุความทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 ซึ่งมีกำหนด10 ปี จะนำอายุความ 1 ปีตามมาตรา 624 มาใช้บังคับโดยถือว่าเป็นกฎหมายใกล้เคียงไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3246

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3246/2531

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 197, 223, 225

ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา แล้วสืบพยานโจทก์และพิพากษาให้โจทก์ได้รับชำระหนี้เต็มตามฟ้อง จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ยกคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นแล้วให้พิจารณาคดีใหม่เท่านั้น ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาก้าวล่วงไปถึงจำนวนหนี้แล้วพิพากษาให้จำเลยรับผิดน้อยลง โดยจำเลยมิได้อุทธรณ์ขึ้นมา จึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3244

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3244/2531

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 84, 93 พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 ม. 94, 105

การอ้างเอกสารเป็นพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 93 ให้ยอมรับฟังได้เฉพาะต้นฉบับเอกสารเท่านั้น สำเนาภาพถ่ายเช็คและใบคืนเช็คที่เจ้าหนี้อ้างส่งต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อประกอบการพิจารณาคำขอรับชำระหนี้มิใช่ต้นฉบับจึงต้องห้ามมิให้รับฟัง และถือว่าเจ้าหนี้ไม่มีพยานหลักฐานมาแสดงต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้ฟังได้ว่าลูกหนี้เป็นหนี้เจ้าหนี้ตามเช็คพิพาทจึงต้องห้ามมิให้ได้รับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศกราช 2483มาตรา 94

พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 105 ได้ให้อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ออกหมายเรียกเจ้าหนี้หรือบุคคลใดมาสอบสวนเกี่ยวกับเรื่องหนี้สิน แล้วทำความเห็นส่งสำนวนเรื่องหนี้สินที่ขอรับชำระนั้นต่อศาล การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำความเห็นเสนอศาลชั้นต้นว่า เห็นควรยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้เสียนั้นก็มีผลเท่ากับว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้โต้แย้งคำขอรับชำระหนี้รายนี้แล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3242

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3242/2531

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 36

การที่เจ้าของแท้จริงจะร้องขอให้ศาลสั่งคืนทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 โดยอ้างว่าตนเองมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดนั้น จะต้องเป็นกรณีที่ได้มีการฟ้องคดีต่อศาลแล้วเท่านั้นเมื่อมิได้มีการฟ้องคดีต่อศาล ผู้ร้องจึงจะมาร้องขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้องไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3238

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3238/2531

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 120

การจับกุมกับการสอบสวนเป็นคนละขั้นตอนกัน ถ้าการสอบสวนชอบด้วยกฎหมาย แม้การจับกุมอาจไม่ชอบด้วยกฎหมายก็หา กระทบกระเทือนถึงการฟ้องคดีอาญาไม่ พนักงานอัยการมีอำนาจฟ้องคดีได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3237

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3237/2531

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 174 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ม. 7, 69 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2528 ม. 6, 10

แม้ฝิ่นของกลางจะมีน้ำหนักถึง 10,000 กรัม แต่โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าฝิ่นของกลางมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์จำนวนเท่าใด จึงฟังไม่ได้ว่าฝิ่นของกลางมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกินหนึ่งร้อยกรัม ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ฯ มาตรา 69 วรรคสาม หรือมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินกว่าหนึ่งร้อยกรัมตามมาตรา 69 วรรคสี่ จึงไม่อาจลงโทษจำเลยตามมาตรา 69 วรรคสามหรือวรรคสี่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3227

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3227/2531

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 78 (1), 80

จำเลยทั้งสี่ตรวจพบสุรากลั่นจำนวน 14 ขวด มีแรงแอลกอฮอล์สูงกว่าสุราที่ชอบด้วยกฎหมายและโจทก์ว่าเป็นสุราที่ซื้อมาจาก ล. ตัวแทนจำหน่ายสุราในอำเภอจักราช ดังนี้ ไม่ใช่ความผิดซึ่งเจ้าพนักงานเห็นโจทก์กำลังกระทำหรือพบในอาการซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าโจทก์กระทำผิดมาแล้วสด ๆ จึงไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้าซึ่งพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับโจทก์ได้โดยไม่มีหมายจับ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3225/2531

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 15, 219, 221 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 249

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดแต่โทษจำคุกรอการลงโทษโจทก์ร่วมฝ่ายเดียวอุทธรณ์ไม่ให้รอการลงโทษ และศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นไม่รอการลงโทษ จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิด การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันและโจทก์ร่วมมิใช่ผู้เสียหาย ล้วนเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่จำเลยมิได้อุทธรณ์คัดค้าน เพิ่งมายกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาในศาลอุทธรณ์แม้จำเลยจะได้รับอนุญาตให้ฎีกา ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยให้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3224

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3224/2531

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 226

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 มิได้ห้ามนำสืบพยานบุคคลหักล้างพยานเอกสาร การที่ศาลให้นำสืบพยานบุคคลและรับฟังพยานบุคคลนั้น จึงไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย.

« »
ติดต่อเราทาง LINE