คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2522
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1905/2522
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 352 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 39 (2)
โจทก์ฟ้องว่าได้มอบเงินให้จำเลยไปลงหุ้นจำนวน 350,000 บาท จำเลยได้ยักยอกเงินจำนวนนั้นไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 เมื่อปรากฎว่าโจทก์จำเลยได้ทำสัญญากันตามเอกสารหมาย ล.1 มีข้อความว่าจำเลยยืมเงินโจทก์ไป 350,000 บาทแล้ว ไม่สามารถใช้หนี้จำเลยให้บุคคลอื่นชำระหนี้แทนโยจำเลยเช็คเป็นประกันแก่บุคคลนั้นไว้ โจทก์ตกลงตามนั้น แสดงว่าโจทก์จำเลยทำสัญญาเอกสารหมาย ล.1 ขึ้นเพื่อระงับข้อพิพาทในเรื่องเงินที่จำเลยได้รับไปจากโจทก์แล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ในข้อหาฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 จึงระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1904/2522
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 172, 177 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 158 (5)
โจทก์บรรยายฟ้องเป็นสองตอน ตอนแรกว่าจำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนด้วยข้อความอย่างหนึ่งตอนที่สองว่า จำเลยเบิกความต่อศาลด้วยข้อความอีกอย่างหนึ่งไม่ตรงกัน สรุปลงท้ายโจทก์บรรยายว่า จำเลยกระทำความผิดฐานแจ้งความเท็จเพราะความจริงเป็นดังจำเลยเบิกความต่อศาล หรือมิฉะนั้น จำเลยกระทำความผิดฐานเบิกความเท็จเพราะความจริงเป็นดังจำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวน โจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ชัดว่าจำเลยกระทำความผิดฐานใด การที่บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานแจ้งความเท็จหรือมิฉะนั้น จำเลยกระทำความผิดฐานเบิกความเท็จ เป็นฟ้องที่ขัดกันไม่ยืนยันการกระทำความผิดของจำเลยให้แน่นอน ทั้งฟ้องโจทก์มิได้ยืนยันข้อเท็จจริงใดเป็นความเท็จข้อเท็จจริงใดเป็นความจริง การกระทำของจำเลยต้องมีข้อเท็จจริงเป็นความเท็จหรือเป็นความจริงเพียงอย่างเดียว มิใช่เป็นได้ทั้งสองอย่างดังที่โจทก์กล่าวมาในฟ้องเช่นนั้นฟ้องโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)(อ้างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2372/2519 ประชุมใหญ่ครั้งที่ 21/2519)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1892/2522
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 334
จำเลยฆ่าคนในเรือยนต์แล้วเอาเรือท้ายตัดท้องแบนในเรือใช้เป็นพาหนะหลบหนี ไม่มีเจตนาลักทรัพย์ ไม่เป็นความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1898/2522
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 168, 423, 438 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 51
โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาและศาลพิพากษาลงโทษจำเลยจนคดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้วก่อนที่จะได้ยื่นฟ้องคดีแพ่ง สิทธิที่จะฟ้องคดีแพ่งมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 168 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสาม
การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญานั้น เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้จำเลยได้รับโทษทางอาญา ค่าใช้จ่ายในการฟ้องคดีอาญาจึงไม่ใช่ค่าเสียหายที่โจทก์จะพึงเรียกร้องเอาจากจำเลยฐานละเมิดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1874/2522
พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490
จำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหาย จำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืน ฟังได้ว่าจำเลยมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 373/2522
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 877 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 182
จำเลยยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้อง ซึ่งมีว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยประมาท ตามกรมธรรม์ประกันภัยค้ำจุนซึ่งจำเลยที่ 3 ทำต่อจำเลยที่ 2 เจ้าของรถมีว่าจำเลยที่ 1 ขับรถโดยจำเลยที่ 2 ยินยอมถือเสมือนจำเลยที่ 2 เป็นผู้เอาประกันภัยเอง จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดในการที่จำเลยที่ 1 ขับรถชนรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหายตามคำท้าโจทก์ซ่อมรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้แล้วโจทก์ได้รับช่วงสิทธิไล่เบี้ยเอากับจำเลยที่ 3 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1873/2522
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 62, 56
จำเลยเป็นกำนันยิงผู้ตาย 3 นัด เพราะสำคัญผิดว่าผู้ตายจะยิงจำเลย เป็นการป้องกันเกินกว่าเหตุ ศาลลดโทษและลงโทษตาม มาตรา 288,69 ได้ จำเลยมีประวัติดีเด่นในหน้าที่ราชการ ศาลจำคุก 2 ปี รอการลงโทษไว้ 5 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1870/2522
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 86, 90, 151, 157, 162 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 120, 158, 192
ข้าราชการกรมชลประทานที่ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจรับมอบงานจ้างตัดไม้ในบริเวณที่ทำเขื่อน ไม่มีหน้าที่รักษาเขื่อน ลงชื่อในหนังสือรับมอบงานโดยไม่ได้ไปตรวจสอบงาน แต่ไม่ปรากฏว่าทุจริตต่อไม้และต้นไม้ที่ถูกตัดคงเหลืออยู่ในบริเวณอ่างเก็บน้ำไม่ทำให้น้ำเน่าเขื่อน และอ่างเก็บน้ำไม่เสียหาย ไม่เป็นความผิดตาม มาตรา 151,157 แต่เป็นความผิดตาม มาตรา 162 เฉพาะตัวผู้รับเงินจากผู้รับจ้างเป็นทุจริต เป็นความผิดตาม มาตรา 157 สัญญาจ้างทำ 3 คราว 52 ฉบับ เป็นเพียงวิธีการแต่ผู้รับจ้างมีรายเดียวเป็นเจตนาเดียว เป็นความผิดกรรมเดียว
บรรยายฟ้องว่าเจ้าพนักงานรับเงินที่จ่ายแก่ผู้มีชื่อในใบรับเงินไปบางส่วน เพราะโจทก์ไม่รู้ว่าส่วนที่รับไปนั้นเป็นจำนวนเท่าใด ถือเป็นการบรรยายที่ถูกต้องแล้วไม่เคลือบคลุม
พนักงานสอบสวนมิได้แจ้งข้อหาอื่นแก่ผู้ต้องหา แต่ปรากฏความผิดฐานอื่นในเรื่องที่เกี่ยวหรือสืบเนื่องมาจากการกระทำผิดในคราวเดียวกัน ก็ถือได้ว่ามีการสอบสวนความผิดฐานอื่นแล้ว อัยการฟ้องฐานอื่นนั้นได้
ผู้ใช้ให้ทำผิดตาม มาตรา 84 โจทก์ไม่ฟ้องขอให้ลงโทษฐานเป็นตัวการ แต่ขอให้ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุน ก็ลงโทษตาม มาตรา 86 เบากว่าตัวการได้ ไม่ถือว่าต่างกับฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1869/2522
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 90, 91 ประมวลรัษฎากร ม. 132, 135, 138, 142 ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2516
เมื่อฟ้องโจทก์ตอนแรกได้บรรยายว่า จำเลยจัดให้มีการฉายภาพยนตร์ เพื่อเก็บเงินจากผู้ซื้อตั๋วเข้าชมภาพยนตร์จำเลยได้กระทำผิดกฎหมายหลายบทหลายกระทง และได้บรรยายการกระทำตามข้อ (ก)(ข)(ค)และ(ง) กับอ้างมาตราในประมวลรัษฎากร ซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดฟ้องโจทก์จึงได้บรรยายแล้วว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดตามฟ้องแต่ผู้เดียวและโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทุกกระทงความผิดดังนั้น แม้ฟ้องข้อ (ข) บรรยายว่าพนักงานของจำเลยที่ได้รับแต่งตั้งจากจำเลยเป็นผู้ฉีกตั๋วและข้อ (ค) บรรยายว่าพนักงานของจำเลยไม่นำกากตั๋วใส่ภาชนะโดยไม่กล่าวถึงจำเลยก็พอเห็นได้ว่าการกระทำของพนักงานของจำเลยผู้ได้รับแต่งตั้งจากจำเลย เป็นการกระทำของจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของผู้จัดให้มีมหรสพและผู้รับผิดชอบดำเนินการมหรสพนั้นเอง ทั้งข้อเท็จจริงก็ ฟังได้ว่า จำเลยได้กระทำผิดโดยผู้ได้รับแต่งตั้งจากจำเลยให้คอยรับตั๋วจากผู้ดู ไม่ฉีกตั๋วที่ได้รับจากผู้ดูแล้วไม่นำกากตั๋วใส่ภาชนะ ทันที อันเป็นการฝ่าฝืนประมวลรัษฎากร โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้ จำเลยรับผิดทางอาญาได้
จำเลยจำหน่ายตั๋วเข้าชมภาพยนตร์โดยมิได้ปิดอากรมหรสพ 346ฉบับ ไม่ฉีกอากรมหรสพที่ปิดทับบนตั๋วให้ขาดเป็นสองตอน 7 ฉบับ และไม่นำกากตั๋วใส่ภาชนะทันที 143 ฉบับ เมื่อการเสียอากรมหรสพ ต้องเสียเป็นรายตัวผู้ดูตามประมวลรัษฎากร มาตรา 132 การกระทำของจำเลยดังกล่าวก็เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียอากรตั๋วทุก ๆ ฉบับแม้ จะกระทำต่อเนื่องในการฉายภาพยนตร์รอบเดียวก็ตามแต่ก็แยกการกระทำออกจากกันได้ตามตั๋วแต่ละฉบับ จึงเป็นความผิดหลายกรรม ต่างกันรวม 496 กระทง หาใช่เป็นความผิดเพียง 3 กระทงไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1865 - 1867/2522
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 292
จำเลยแพ้คดีโจทก์โดยคำพิพากษาให้ขับไล่ตามคำท้า จำเลยอ้างเหตุขึ้นใหม่ว่า บ้านและที่ดินอยู่นอกโฉนดที่พิพาทดังนี้ ไม่เป็นเหตุงดการบังคับคดีและขังจำเลยเพราะไม่ปฏิบัติตามคำบังคับของศาล