คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2518

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 661

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 661/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 148, 231 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 438

ลูกหนี้ตามคำพิพากษาขอให้ศาลสั่งเลิกการขายทอดตลาดที่ดินที่ยึดในการบังคับคดี ศาลชั้นต้นยกคำร้องระหว่างอุทธรณ์คำสั่งผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดฟ้องขอให้ขับไล่ลูกหนี้ออกจากที่ดินนั้นไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ผู้ซื้อที่ดินจากศาลขายทอดตลาดในการบังคับคดีฟ้องขอให้บังคับลูกหนี้ออกจากที่ดินแล้วร้องขอให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาออกจากที่ดินที่ซื้ออีกด้วย ศาลชั้นต้นสั่งให้ลูกหนี้ออกจากที่ดินนั้น ลูกหนี้อุทธรณ์คำสั่งและศาลอุทธรณ์สั่งให้ทุเลาการบังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้นการให้ทุเลาการบังคับคดีไม่ทำให้ลูกหนี้อยู่ในที่ดินโดยไม่เป็นละเมิดแต่ศาลให้ลูกหนี้ใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดตั้งแต่วันฟ้อง ไม่ใช่วันที่ผู้ซื้อรับโอนกรรมสิทธิ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 658

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 658/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 158 (5)

ฟ้องว่าเบิกความเท็จบรรยายข้อความที่ว่าเบิกความเป็นเท็จกับความจริงเป็นอย่างไร แต่ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่าข้อความนั้นเป็นข้อสำคัญแก่คดีอย่างไรฟ้องดังนี้ไม่พอฟังว่าคำเบิกความเป็นข้อสำคัญอันควรมีความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 656

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 656/2518

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 76 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 213

จำเลยอายุ 18 ปี แต่ยังอ่อนต่อความรู้สึกผิดชอบกระทำการปล้นโคโดยใช้ปืนยิง ศาลลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามหรือกึ่งหนึ่งตามมาตรา 76 ได้

ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยทั้งสี่คน จำเลย 3 คน อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสามไม่ได้ทำผิดมิใช่ไม่มีความผิดเกิดขึ้น และยกคำพยานโจทก์สำหรับจำเลยที่ 4 ขึ้นวินิจฉัย ดังนี้เป็นคำพยานคนละชุดกันไม่ใช่เหตุในส่วนลักษณะคดี ศาลอุทธรณ์ปล่อยจำเลยที่ 4 ด้วยไม่ได้แต่ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำเป็นแต่ปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิงไม่ใช่พยายามฆ่าคน เป็นเหตุในลักษณะคดีพิพากษาให้เป็นผลดีแก่จำเลยที่ 4 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 651

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 651/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 292

ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนรถยนต์กับใช้ค่าเสียหาย 3,000 บาทระหว่างอุทธรณ์โจทก์จำเลยร้องขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาตามยอมที่โจทก์จำเลยนำมายื่นต่อศาลชั้นต้นเพื่อส่งไปศาลอุทธรณ์ทำยอมแต่จำเลยไม่ไปศาลและโจทก์ไม่ประสงค์ทำยอมตามที่ขอไว้ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้วจำเลยต้องทำตามคำบังคับ เรื่องสัญญายอมความเป็นเรื่องนอกศาลจำเลยอ้างให้งดบังคับคดีไม่ได้ โจทก์รับต่อศาลว่าได้รับรถคืนแล้ว หนี้ประการนี้จึงระงับไป แต่หนี้ใช้ค่าเสียหายตามคำพิพากษายังต้องบังคับต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 642

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 642/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 165 (1), 172, 188 วรรคท้าย

การรับสภาพหนี้อันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 นั้น ต้องเป็นการรับสภาพหนี้ภายในกำหนดอายุความ

การที่จำเลยเพียงแต่มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่เท่าใด และขอให้โจทก์ช่วยจัดการให้ ป. ชำระหนี้ที่ค้างให้แก่จำเลย แล้วจำเลยจะชำระหนี้ส่วนที่เหลือให้โจทก์ โดยโจทก์ก็มิได้กระทำการอย่างใดอันเป็นการสนองรับข้อเสนอของจำเลยดังกล่าว หาใช่เป็นเรื่องการรับสภาพความรับผิดโดยสัญญา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 188 วรรคท้ายไม่(อ้างฎีกาที่ 756/2510)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 640

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 640/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 321, 656, 1377

กู้เงินแล้วผู้กู้ทำหนังสือสละการครอบครองที่ดินมือเปล่าให้เป็นการชำระหนี้เมื่อถึงกำหนดใช้เงินแล้ว ผู้ให้กู้ตกลงยอมรับ ผู้ให้กู้เข้าครอบครองได้ทันที ถือเป็นการชำระหนี้ คิดราคาท้องตลาดเท่ากับจำนวนหนี้ตามมาตรา 656 หนี้ระงับตามมาตรา 321

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 634

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 634/2518

พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 ม. 3

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ร่วมได้เรียกร้องเอาดอกเบี้ยจากเงินที่โจทก์ร่วมนำมาให้จำเลยยืมไปลงทุนค้าพลอยโดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย อันเป็นความผิดอาญาตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราพ.ศ.2475 และจำเลยได้ออกเช็คให้โจทก์ร่วมเพื่อชำระเงินดอกเบี้ยดังกล่าว โจทก์ร่วมย่อมไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องบังคับให้ใช้เงินจำนวนตามเช็คนั้นซึ่งมีมูลหนี้โดยผิดกฎหมายได้จำเลยจึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 แม้ขณะที่ออกเช็คนั้น จำเลยจะไม่มีเงินอยู่ในบัญชีพอที่จะจ่ายเงินจำนวนตามเช็คนั้น (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1291/2505)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 619

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 619/2518

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 175, 177 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 145 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 15, 46, 227 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 ม. 3

ในคดีก่อน จำเลยเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการฟ้องโจทก์ในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คและเบิกความว่าโจทก์ออกเช็คแลกเงินสดไปจากจำเลย ศาลพิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ออกเช็คดังกล่าวให้จำเลยเป็นประกันการกู้ยืมโจทก์จึงมาฟ้องจำเลยกล่าวหาว่าจำเลยฟ้องเท็จและเบิกความเท็จในคดีก่อน ดังนี้ คำชี้ขาดของศาลในข้อเท็จจริงในคดีก่อนนั้นต้องถือว่ายุติระหว่างโจทก์จำเลยในคดีนั้นส่วนคดีหลังนี้ก็ชอบที่ศาลจะต้องพิจารณาพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนคดีนี้เป็นสำคัญจะถือเอาข้อเท็จจริงซึ่งยุติในคดีก่อนมาผูกมัดให้ศาลวินิจฉัยคดีหลังตามหาได้ไม่ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเพียงพยานหลักฐานส่วนหนึ่งซึ่งศาลอาจใช้ประกอบการพิจารณาคดีหลังเท่านั้นศาลจึงวินิจฉัยคดีหลังนี้โดยไม่ต้องถือตามข้อเท็จจริงในคดีเรื่องก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 620

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 620/2518

พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 ประมวลกฎหมายอาญา ม. 33

จำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อหา ซึ่งบรรยายว่าของกลางคือโต๊ะเครื่องเล่นไฟฟ้าจักรกลสปริง (บิลเลียดไฟฟ้า) อันเป็นอุปกรณ์ใช้ในการเล่นพนันสล๊อทแมชีน จับได้ในขณะเล่นพนันจึงต้องริบของกลางนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 608

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 608/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 224

คู่กรณีทำสัญญาประนีประนอมยอมความเอาหนี้เงินกับดอกเบี้ยที่ค้างชำระเป็นต้นเงินและให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินนั้นอีกดังนี้แม้จำนวนต้นเงินนี้มีดอกเบี้ยเดิมรวมอยู่ด้วย ก็ไม่เป็นการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรค 2

« »
ติดต่อเราทาง LINE