คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2518

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 761

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 761/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 420, 438 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 84

เทศบาลจำเลยมีหน้าที่ซ่อมแซมถนน จำเลยไม่ทราบว่ามีทางเท้าเป็นหลุมขนาดใหญ่มา 2 ปี จำเลยไม่ซ่อมเป็นเหตุให้โจทก์เดินตกลงไปซึ่งโจทก์คาดหมายได้ว่าทางสาธารณะจะไม่มีหลุมเช่นนั้น จำเลยประมาทเลินเล่อฝ่ายเดียว จำเลยไม่สืบพยานแก้ในข้อค่าเสียหายไม่ถือว่ายอมรับตามที่โจทก์นำสืบ ศาลกำหนดให้ได้ตามควร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 755

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 755/2518

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 59, 350 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 213, 456, 1300

คำว่า 'หนี้' ที่บัญญัติไว้ในตอนต้นของมาตรา 350 แห่งประมวลกฎหมายอาญา มิได้หมายถึงเฉพาะหนี้เงินเท่านั้นแต่ยังรวมถึงหนี้อื่นๆ ด้วย

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ทำสัญญาขายที่ดินมีโฉนดให้แก่โจทก์โจทก์เข้าครอบครองที่ดินนั้นและชำระราคาครบถ้วนแล้ว เหลือแต่การโอนโฉนด โจทก์ย่อมได้ชื่อว่าอยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อน โจทก์จึงเป็นเจ้าหนี้แน่นอนของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งจำเลยทั้งสองมีหนี้ที่จะต้องโอนที่ดินให้โจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 กลับโอนขายที่ดินนั้นให้จำเลยที่ 3 ไปเสีย โดยจำเลยทั้งสามทราบอยู่แล้วว่า โจทก์กำลังจะฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 แต่ได้ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นผู้มีทรัพย์สินมากพอที่จะชำระหนี้ค่าเสียหายให้โจทก์ได้ แม้หนี้สินอื่นที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นหนี้โจทก์อยู่เป็นจำนวนมาก จำเลยก็ชำระให้โดยไม่บิดพลิ้ว การที่จำเลยทั้งสองไม่ยอมโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์นั้น เป็นเพราะโจทก์กับจำเลยแปลความในสัญญากันคนละทาง มิใช่เพราะมีเจตนาที่จะไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ จึงเป็นเรื่องผิดสัญญาในทางแพ่ง ไม่เป็นความผิดทางอาญาฐานโกงเจ้าหนี้ และจำเลยที่ 3 ผู้รับซื้อที่ดินนั้นไว้ ก็ย่อมไม่มีความผิดทางอาญาดุจกัน (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 13/2517 และครั้งที่ 2/2518)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 750

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 750/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 204, 206, 379

สัญญาจะซื้อขายที่ดินมีข้อตกลงว่า ผู้ขายมีหน้าที่ไปจัดการขอรับมรดกเจ้าของที่ดินเดิมและดำเนินการออกโฉนดจนสามารถทำสัญญาขายเสร็จเด็ดขาดให้ผู้ซื้อได้ภายใน 15 เดือนถ้าผู้ขายผิดสัญญา ผู้ขายยอมใช้ค่าเสียหายให้ผู้ซื้อ เมื่อผู้ขายได้ยื่นคำขอรับมรดกแล้วแต่เจ้าพนักงานที่ดินไม่สามารถทำการรังวัดออกโฉนดให้ทันภายในกำหนดเหตุแห่งการออกโฉนดล่าช้านี้จึงไม่ใช่เป็นความผิดของฝ่ายผู้ขายเป็นพฤติการณ์ที่เกิดจากบุคคลภายนอกที่มาเป็นเหตุให้การชำระหนี้ของผู้ขายไม่ทันตามกำหนด ผู้ขายจึงมิได้ตกเป็นผู้ผิดนัดและประพฤติผิดสัญญา ผู้ซื้อไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากผู้ขาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 746

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 746/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 46, 47

มูลคดีเรื่องเดียวกันนี้ โจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีอาญาหาว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ทำการฉ้อโกงเอากระบือของโจทก์ไปโดยหลอกลวงว่าจะซื้อกระบือศาลอุทธรณ์พิพากษาถึงที่สุดว่าข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ซื้อกระบือของโจทก์ไป จำเลยที่ 1 มิได้กระทำผิดตามฟ้องดังนี้ การพิพากษาคดีนี้อันเป็นคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้เกี่ยวข้องกับการซื้อกระบือรายนี้ จึงไม่มีกรณีที่จะต้องวินิจฉัยถึงความรับผิดของจำเลยที่ 1

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 744

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 744/2518

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 36

ร้านค้าของผู้ร้องเปิดโทรทัศน์มีรายการมวย ชาวบ้านมาดูและพนันกัน ผู้ร้องห้ามแล้ว ถือไม่ได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจศาลพิพากษาลงโทษผู้เล่นพนันและริบเครื่องรับโทรทัศน์แล้ว ศาลสั่งคืนเครื่องรับโทรทัศน์แก่ผู้ร้องตามคำขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 687

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 687/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 5, 172, 198, 204 วรรคสอง ประมวลรัษฎากร ม. 104, 118

หนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยทำให้แก่โจทก์ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน จำเลยมิได้ชำระหนี้ให้ครบตามกำหนดเป็นเวลาถึง 8 เดือน จำเลยจึงตกเป็นฝ่ายผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคสอง แม้จะปรากฏว่าในเวลาต่อมาจำเลยได้ส่งเงินที่ค้างชำระอยู่นั้นทั้งหมดไปให้โจทก์ แต่โจทก์ไม่ยอมรับแล้วนำคดีมาฟ้องก็ตาม จะถือว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ได้

บันทึกข้อความท้ายหนังสือรับสภาพหนี้ของจำเลยมีว่า 'การชำระงวดนั้นข้าพเจ้านายชัยชิดชอบ ขอรับรองว่าเมื่อทางโรงงานสามารถจำหน่ายหินได้เป็นเงินก้อนหรือทางบริษัทเอื้อวิทยาสามารถให้ทางโรงงานศิลาชัยส่งหิน 3 ให้การรถไฟได้ จะส่งชำระแทนจนครบจำนวนที่ค้างหนี้ เพราะถือว่าบริษัทได้มีความกรุณามาก ขอยืนยันรับสภาพหนี้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ' แล้วจำเลยลงชื่อไว้ท้ายบันทึกดังกล่าวแต่ฝ่ายเดียว เช่นนี้เป็นเพียงคำรับรองยืนยันการชำระหนี้ของจำเลยฝ่ายเดียวต่อโจทก์เท่านั้น มิใช่เรื่องที่โจทก์ให้สิทธิจำเลยที่จะเลือกชำระหนี้ได้

หนังสือรับสภาพหนี้ซึ่งบุคคลธรรมดาได้ทำขึ้น เป็นใบรับรองหนี้เป็นตราสารที่ไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร แม้ไม่ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 632

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 632/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 158 (5), 218 ประมวลรัษฎากร

บรรยายฟ้องว่าจำเลยร่วมกับบริษัท 'หลีกเลี่ยงภาษีการค้าสำหรับสินค้าขาออกโดยแจ้งข้อความเท็จ นำพยานหลักฐานเท็จมาแสดงต่อเจ้าพนักงานสรรพากร' ดังนี้เป็นฟ้องที่ยืนยันอยู่ในตัวว่าได้กระทำโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จหรือจงใจแจ้งความเท็จ เป็นความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37

ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุก 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลย ฎีกาข้อกำหนดโทษและให้รอการลงโทษ เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 736

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 736/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 107, 109, 369, 420, 477, 549, 566, 1299 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55, 57

โจทก์ร่วมทำสัญญาให้บริษัท ว. ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ในที่ดินของโจทก์ร่วม โดยตกลงให้อาคารตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ร่วมบริษัทว. หรือบริษัทผู้รับช่วงจากบริษัท ว. ได้สิทธิเรียกร้องเงินกินเปล่าจากผู้เช่าและนำผู้เช่ามาทำสัญญากับโจทก์ร่วม บริษัท ว. ให้บริษัท ส. รับช่วงก่อสร้างอาคารดังกล่าวไป บริษัท ส. ได้ก่อสร้างอาคารพิพาทนี้แล้วบริษัท ว. และบริษัท ส. ได้ตกลงให้ ม. เช่าและนำ ม. ไปทำสัญญาเช่ากับโจทก์ร่วมต่อมา ม. โอนสิทธิการเช่าให้โจทก์โดยโจทก์ร่วมอนุญาตและทำสัญญาเช่ากับโจทก์แล้ว ดังนี้ แม้จำเลยจะได้ออกเงินค่าก่อสร้างอาคารพิพาทให้แก่บริษัท ส. และบริษัท ส. ตกลงจะให้จำเลยเช่าอาคารพิพาททั้งจำเลยได้เข้าอยู่อาศัยในอาคารพิพาทก่อนที่โจทก์จะทำสัญญาเช่ากับโจทก์ร่วมก็ตามแต่เมื่อโจทก์ร่วมไม่ทราบถึงข้อตกลงระหว่างบริษัท ส.กับจำเลยและบริษัท ส. ไม่ได้นำจำเลยไปทำสัญญาเช่ากับโจทก์ร่วมข้อตกลงระหว่างจำเลยกับบริษัท ส. คงผูกพันเฉพาะจำเลยกับบริษัท ส. เท่านั้น ไม่ผูกพันโจทก์และโจทก์ร่วมซึ่งเป็นบุคคลภายนอก โจทก์ร่วมจึงไม่มีหน้าที่ให้จำเลยเช่าอาคารพิพาท

อาคารพิพาทปลูกในที่ดินของโจทก์ร่วม เมื่อตกลงกันว่าให้อาคารที่ก่อสร้างขึ้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ร่วม จึงเป็นส่วนควบของที่ดินของโจทก์ร่วมและเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ร่วมทันที โดยไม่ต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตึกพิพาทให้โจทก์ร่วมอีก

การที่จำเลยได้เข้าอยู่ในอาคารพิพาทอันเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ร่วมโดยไม่มีสิทธิที่จะอยู่นั้น เป็นการละเมิดต่อโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาทเมื่อโจทก์ร่วมไม่ได้ฟ้องขับไล่จำเลย ทำให้โจทก์ผู้เช่าตึกพิพาทจากโจทก์ร่วมได้รับความเสียหายเพราะเข้าอยู่ในอาคารพิพาทไม่ได้ โจทก์ชอบที่จะฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกพิพาท และขอให้ศาลเรียกผู้ให้เช่าเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับโจทก์ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 477 ประกอบด้วยมาตรา 549แม้โจทก์และโจทก์ร่วมจะตกลงกันว่าโจทก์ร่วมไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิ และโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้โจทก์ร่วมขจัดปัดเป่าการรอนสิทธิตามมาตรา483 ประกอบด้วยมาตรา 549 ก็ตาม แต่การที่โจทก์ขอให้ศาลเรียกโจทก์ร่วมเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมกับโจทก์ ไม่ใช่เป็นการฟ้องขอให้โจทก์ร่วมรับผิดในการรอนสิทธิทั้งโจทก์ร่วมก็ยินยอมเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีโจทก์ย่อมมีสิทธิดำเนินคดีในฐานะเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยได้

การที่จำเลยเข้าอยู่ในอาคารพิพาทโดยมิได้เช่าจากโจทก์ร่วมและเข้าอยู่โดยไม่มีสิทธิอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ร่วมโจทก์และโจทก์ร่วมย่อมฟ้องขับไล่จำเลยได้ โดยไม่ต้องบอกกล่าวให้จำเลยออกจากอาคารพิพาทก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 665

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 665/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 859, 655 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 167

สัญญาบัญชีเดินสะพัดมีกำหนดเวลา 1 ปี 6 เดือน แต่หลังจากนั้นคู่สัญญายังติดต่อให้บัญชีเดินสะพัดเดินอยู่ถือว่าเลิกกันเมื่อเจ้าหนี้บอกกล่าวบังคับจำนอง เจ้าหนี้เรียกดอกเบี้ยทบต้นหลังจากนั้นอีกไม่ได้

คำสั่งให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ ศาลสั่งในคำพิพากษาได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 167 แม้โจทก์มิได้มีคำขอมาในฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 663

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 663/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 8, 76, 420, 437

จำเลยที่ 1 รับราชการเป็นตำรวจ มีหน้าที่ขับรถยนต์ของทางราชการกรมตำรวจจำเลยที่ 3 วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถจิ๊ปของจำเลยที่ 3 ไปราชการตามหน้าที่โดยมิได้ใช้ความระมัดระวังตรวจตราดูรถก่อนจะขับออกไปว่าฝากระโปรงครอบหน้ารถอยู่ในสภาพเรียบร้อยหรือไม่ เมื่อรถยนต์คันจำเลยที่ 1 ขับแล่นสวนทางกับรถยนต์คันที่ อ. ขับซึ่งมีโจทก์นั่งมาข้างหน้าด้วยฝากระโปรงครอบเครื่องยนต์หน้ารถคันจำเลยที่ 1 ขับได้หลุดไปปะทะกระจกหน้ารถคันที่โจทก์นั่ง แต่ทะลุไปถูกหน้าโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัสเหตุที่ฝากระโปรงครอบเครื่องยนต์หน้ารถหลุดออกไปก็เพราะสปริงขอเกาะฝากระโปรงอ่อนและเบ้าที่รองรับโคนขอรั้งสึก ทำให้เบ้าหลวมเนื่องจากใช้มานานจึงเกิดการเสื่อมสภาพ เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถไปด้วยความเร็ว 50-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนพื้นถนนราดยางที่ไม่เรียบและมีลมพัดแรงจึงเกิดความสั่นสะเทือนอย่างแรง ทำให้ขอรั้งหลุดออกลมเข้าไปในฝากระโปรงหน้ารถเมื่อถูกลมแรงๆ จึงหลุดออกไปจากตัวรถซึ่งเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จะต้องระมัดระวังตรวจตราทำให้อยู่ในสภาพดีเสียก่อนนำไปใช้ และจำเลยที่ 1 ก็ทราบแต่หาได้จัดการอย่างใดไม่ดังนี้ เหตุที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่เหตุสุดวิสัย เพราะไม่ใช่กระโปรงหน้ารถอยู่ในสภาพแข็งแรงเรียบร้อยตามสภาพแล้วเกิดจากภัยนอกอำนาจซึ่งไม่อาจรู้และป้องกันได้ จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์

« »
ติดต่อเราทาง LINE