คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2518

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 604

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 603 - 604/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 142, 148

คดีเดิมโจทก์จำเลยพิพาทกันเกี่ยวกับทรัพย์มรดกซึ่งรวมที่พิพาทคดีนี้ด้วย แต่คดีที่โจทก์ฟ้องใหม่นี้ไม่มีประเด็นวินิจฉัยในเรื่องมรดกซึ่งการวินิจฉัยไม่ต้องอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อนฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ส.ค.1 มีชื่อจำเลยเป็นผู้แจ้งการครอบครองซึ่งมิใช่หนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน และมิใช่เป็นที่ดินที่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว จึงโอนกันไม่ได้ตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 9 ดังนี้โจทก์จะขอให้บังคับจำเลยไปร้องขอแบ่งแยกที่ดินตาม ส.ค.1 ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อำเภอให้โจทก์หาได้ไม่

คดีมีประเด็นพิพาทกันว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย แม้โจทก์จะมิได้มีคำขอโดยตรงมาในฟ้อง แต่พอเห็นได้ว่าโจทก์จำเลยต่างก็ประสงค์จะแสดงว่าที่พิพาทเป็นของตน ฉะนั้นศาลจึงพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ได้หาเกินไปกว่าหรือนอกเหนือจากคำฟ้องของโจทก์ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 597

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 596 - 597/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 9, 1359, 1361, 1368, 1375, 1381, 1748 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 61

เจ้ามรดกมีทายาท 9 คนรวมทั้งโจทก์และ พ. กับ น.จำเลยในคดีนี้ด้วย ทายาทอื่น 3 คน เคยฟ้องโจทก์ขอแบ่งที่พิพาทอันเป็นที่ดินมรดกซึ่งโจทก์มีชื่อใน น.ส.3 แทน ทายาทจำเลยให้การสู้คดีโดยอ้างว่าได้ครอบครองเพื่อตนคดีนั้นศาลพิพากษาถึงที่สุดให้แบ่งที่พิพาทเป็น 9 ส่วน ให้ทายาทที่ฟ้องคนละ 1 ส่วน การที่โจทก์ถูกฟ้องและให้การต่อสู้คดีโดยอ้างว่าได้ครอบครองเพื่อตนนั้นหาใช่เป็นการบอกกล่าวไปยังทายาทอื่นที่ไม่ได้ฟ้องด้วยว่าโจทก์จะไม่เจตนายึดถือที่พิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกไว้แทนต่อไปไม่ตราบใดที่โจทก์ยังมิได้บอกกล่าวไปยังทายาทอื่นว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนต่อไป ก็ต้องถือว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทแทนทายาทอื่นด้วยดังเดิม พ. และ น. จำเลยคดีนี้ยังคงเป็นเจ้าของรวมในที่พิพาทในส่วนที่ยังมิได้โต้แย้งกัน ทั้งการฟ้องคดีขอแบ่งที่พิพาทอันเป็นมรดกนั้น ทายาทอื่นซึ่งมีส่วนอยู่ด้วยไม่จำต้องฟ้องคดีหมดทุกคนก็ย่อมได้สิทธิตามส่วนที่จะรับมรดกตามคำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงส่วนของทายาทนั้นๆ โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทแทนทายาทอื่นจะอ้างเอาการต่อสู้คดีดังกล่าวว่าเป็นการเข้าแย่งการครอบครองเองหาได้ไม่ และไม่อยู่ในบังคับของเวลาสำหรับเรียกร้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง เมื่อคดีก่อนนั้นศาลวินิจฉัยว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทไว้แทนทายาทอื่นซึ่งรวมถึง พ. และ น. จำเลยคดีนี้ด้วย พ. และน. ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่ออำเภอขอให้ใส่ชื่อของตนใน น.ส.3 ตามสิทธิของตนได้เมื่อใส่แล้วก็มีความชอบธรรมที่จะโอนขายส่วนของตนให้ผู้อื่นไปโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์

จำเลยลงลายพิมพ์นิ้วมือตั้ง พ. เป็นทนายความแม้จะมีพยานลงชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือเพียงคนเดียว แต่ พ. ก็ได้ว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาในฐานะทนายของจำเลยมาตั้งแต่ศาลชั้นต้นจนถึงชั้นอุทธรณ์ โดยจำเลยยอมรับเอาผลของการดำเนินกระบวนพิจารณานั้นตลอดมา และโจทก์ก็มิได้คัดค้านประการใดมาแต่ต้นดังนี้ พ. จึงมีอำนาจที่จะฎีกาในฐานะทนายของจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 594

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 594/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 194

เจ้ามรดกไม่ได้กู้เงินโจทก์ สัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นเอกสารปลอมจำเลยซึ่งเป็นทายาททำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โดยเข้าใจว่ามีหนี้อยู่จริง ดังนี้ ไม่ทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องให้ชำระหนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 593

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 593/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 142

ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยเสียดอกเบี้ยในจำนวนค่าเสียหายตั้งแต่วันทำละเมิดเป็นการเกินคำขอของโจทก์ที่ขอให้เสียดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้องข้อนี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 576

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 576/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55, 142, 161 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 215, 498

ผู้ซื้อฝากฟ้องขับไล่ผู้ขายฝากที่อยู่ในเรือนที่ขายฝากโดยไม่มีสิทธิได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวให้ออกไปก่อน

ฟ้องขับไล่จากเรือนโดยอ้างว่าจำเลยเช่าจากโจทก์ ได้ความว่าจำเลยไม่ได้เช่า แต่ได้อยู่ในเรือนของโจทก์โดยไม่มีสิทธิ ศาลพิพากษาขับไล่ได้ไม่นอกฟ้อง

ชั้นอุทธรณ์โจทก์มิได้แก้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จะให้จำเลยใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ไม่ได้

จำเลยขายฝากเรือนแก่โจทก์ชำระค่าไถ่เรือนบางส่วนในกำหนดแต่ส่วนที่เหลือจำเลยมิได้ชำระจนเกินกำหนดไถ่คืนเรือนตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่โจทก์เด็ดขาด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 552

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 550 - 552/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 56

แม้โจทก์ฟ้องโดยระบุชื่อโจทก์ใช้คำนำชื่อว่านางสาวโจทก์ก็ยื่นหนังสือของสามีอนุญาตให้ดำเนินคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 590

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 590/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 850

นายจ้างของผู้ทำละเมิดตกลงกับโจทก์ซึ่งเป็นบิดาของผู้ถูกละเมิดยอมใช้ค่าเสียหาย 3,000 บาท โจทก์ยอมรับว่าจะไม่เรียกร้องค่าเสียหายใดๆ อีก ดังนี้ เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์เรียกค่าขาดไร้อุปการะอีกไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 572

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 572/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 196

ศาลชั้นต้นสั่งปรับนายประกันเพราะจำเลยไม่มาศาลตามวันเวลานัดพิจารณา นายประกันอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ นายประกันอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์สั่งรับอุทธรณ์คำสั่งนี้เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ฎีกาไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 571

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 571/2518

พระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ.2509 ม. 17, 18 ทวิ, 20, 24 พระราชบัญญัติยาสูบ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2512 ม. 8, 9, 10

จำเลยได้รับใบอนุญาตให้ประกอบอุตสาหกรรมยาสูบ โดยตั้งโรงงานประกอบอุตสาหกรรมยาสูบในเขตอำเภอเมืองฯ จังหวัดนครศรีธรรมราชจำเลยไปซื้อยาเส้นจากชาวไร่ที่บ้านของชาวไร่ในอำเภอท่าศาลาจังหวัดเดียวกัน ยาเส้นดังกล่าวได้รับยกเว้นไม่ต้องปิดแสตมป์ยาสูบเพราะเป็นยาเส้นที่ชาวไร่ผลิตได้จำเลยกำลังขนย้ายยาเส้นนี้ไปยังสถานที่ประกอบการค้าของตนเพื่อดำเนินการก่อนนำออกขาย ระหว่างทางถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับ ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าจำเลยมีไว้เพื่อขายซึ่งยาเส้นที่มิได้ปิดแสตมป์ยาสูบ ตามพระราชบัญญัติยาสูบพ.ศ.2509 มาตรา 24 จำเลยจึงไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 569

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 569/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 158 พระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ.2509

ฟ้องบรรยายว่าจำเลยมีบุหรี่ซิกาแรตไว้ในครอบครองมีผลเท่ากับระบุว่าจำเลยมียาสูบตาม พระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ.2509 มาตรา 4 แล้วและมิต้องบรรยายถึงข้อยกเว้นว่าเป็นของผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งอาจได้รับการยกเว้นฟ้องดังนี้ไม่ขาดองค์ประกอบความผิด

« »
ติดต่อเราทาง LINE