คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2518

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 553

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 553/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 21, 369, 1336, 1546

โจทก์ทั้งสองเป็นผู้เยาว์ บิดาตายไปแล้ว มารดาโจทก์ไปกู้เงินจำเลยและได้นำโฉนดที่ดินของโจทก์ไปให้จำเลยยึดถือไว้เป็นประกันโดยโจทก์รู้เห็นยินยอมกรณีเช่นนี้ไม่อยู่ใต้บทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 และตามพฤติการณ์ถือได้ว่ามารดาผู้ใช้อำนาจปกครองโจทก์ได้ให้ความยินยอมในการกระทำดังกล่าวนั้น ถึงแม้ว่าโจทก์มิใช่ผู้กู้เงินจากจำเลยจำเลยก็มีสิทธิที่จะยึดโฉนดของโจทก์ไว้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้ครบถ้วนตามสัญญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1072

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1072/2518

พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.2490 ม. 71 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 84 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 15, 192, 195

กรณีการจ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับตามมาตรา 71 แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.2490 นั้น ระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดให้จ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ศาลรู้ได้เอง โจทก์จะต้องกล่าวอ้างหรือนำสืบให้ศาลรู้ถึงระเบียบนั้นด้วย มิฉะนั้นศาลย่อมสั่งจ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับไม่ได้

การที่ศาลชั้นต้นยกคำขอให้จ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับเพราะเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจขอ โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์มีอำนาจขอ และศาลต้องจ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดเมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์มีอำนาจขอแต่โจทก์มิได้นำสืบหรือแนบระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดมาท้ายฟ้องให้ศาลรู้ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษาให้ยกคำขอนั้นเสียได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 621

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 621/2518

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 326

กล่าวว่าหญิงเป็นคนสำเพ็งคนไม่ดี 5 ผัว 6 ผัว แม้กล่าวด้วยความหึงหวงสามีมิให้คบกับหญิงนั้นก็เป็นหมิ่นประมาท ตามมาตรา 326

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 617

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 616 - 617/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 420, 425, 438, 442

เมื่อจะเกิดเหตุเป็นเวลาเริ่มมืดแล้วโจทก์ได้นำรถยนต์บรรทุกไปบรรทุกไม้สนมาจอดอยู่ที่ริมถนนเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของรถ และต่อสายไฟมาที่สาลี่พ่วงท้ายรถแต่ยังไม่ได้ติดหลอดไฟและเปิดไฟ ขณะกำลังต่อสายไฟอยู่รถยนต์บรรทุกน้ำมันของจำเลยได้วิ่งตามหลังรถยนต์บรรทุกอีกคันหนึ่งมาด้วยความเร็วสูงครั้นมาถึงตรงที่รถโจทก์จอดอยู่ มีรถเปิดไฟสว่างวิ่งสวนทางมาคนขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยไม่เห็นรถโจทก์ที่จอดอยู่เพราะมิได้เปิดไฟ จึงวิ่งเข้าชนรถสาลี่ของโจทก์ เป็นเหตุให้รถของโจทก์และของจำเลยเสียหาย โจทก์ได้รับบาดเจ็บและลูกจ้างคนหนึ่งของโจทก์ถึงแก่ความตาย เช่นนี้การที่รถโจทก์จำเลยเกิดชนกันขึ้น เป็นความประมาทเลินเล่อของทั้งสองฝ่าย และตามพฤติการณ์แห่งการละเมิดของทั้งสองฝ่ายมีความร้ายแรงพอๆ กัน โจทก์ในฐานะเป็นนายจ้างรถคันเกิดเหตุคันหนึ่งจึงต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดด้วยค่าสินไหมทดแทนตามที่โจทก์จำเลยต่างขอมาสมควรให้เป็นพับไปแก่ตนแต่จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในผลแห่งการละเมิดที่เกิดขึ้นแก่ลูกจ้างของโจทก์ซึ่งถึงแก่ความตายนั้นให้แก่มารดาผู้ตายครึ่งหนึ่งของค่าสินไหมทดแทนทั้งหมด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 601

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 601/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 163, 169, 456, 461, 1299, 1336, 1373 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55

เดิมโจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน 1 แปลง ได้แจ้งการครอบครองไว้ตาม ส.ค.1 และที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินดังกล่าว ต่อมาจำเลยซื้อที่พิพาทจากโจทก์ โจทก์ส่งมอบที่พิพาทให้จำเลยครอบครองนับแต่ปี 2503 จนบัดนี้ ต่อมาทางการออกโฉนดให้ในนามของโจทก์ เพราะใน ส.ค.1 เป็นชื่อของโจทก์ โดยโจทก์ตกลงกับจำเลยว่า เมื่อออกโฉนดแล้วโจทก์จะโอนให้จำเลยภายหลังดังนี้ โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทเป็นแต่เพียงมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ตามโฉนดแทนจำเลย เพื่อความสะดวกในการออกโฉนดเท่านั้นจำเลยจึงมีสิทธิฟ้องโจทก์ขอให้ศาลแสดงสิทธิของจำเลยได้ ไม่อยู่ในบังคับของบทบัญญัติเรื่องอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2626

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2626/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1435, 1439 (1), 1445, 1489 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 142, 242, 247

โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดโดยอาศัยเหตุว่าเพราะจำเลยผิดสัญญาหมั้นจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องค่าทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1439(1) ที่ศาลล่างวินิจฉัยว่าโจทก์เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดจากจำเลย จึงเป็นการวินิจฉัยที่ผิดไปจากคำฟ้องของโจทก์กรณีเช่นนี้ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะวินิจฉัยคดีเสียใหม่ให้ถูกต้องตามประเด็นแห่งคดีได้

การหมั้นที่ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1435โดยฝ่ายชายมีอายุไม่ถึง 17 ปีบริบูรณ์นั้น หาตกเป็นโมฆะไม่ ทั้งนี้ โดยอาศัยกฎหมายที่ใกล้เคียงเปรียบเทียบ คือ การสมรสที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งมาตรา 1445(1) ในเรื่องอายุทำนองเดียวกัน มาตรา 1489 ก็มิได้บัญญัติให้เป็นโมฆะแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับบัญญัติว่าให้ผู้มีส่วนได้เสียเท่านั้นมีอำนาจร้องขอต่อศาลได้ และไม่ได้บังคับให้ศาลจำต้องสั่งให้เพิกถอนโดยเด็ดขาดด้วย แต่ให้อำนาจศาลที่จะเพิกถอนเสียก็ได้เท่านั้น คงมีแต่เฉพาะในเรื่องการผิดต่อบทบัญญัติแห่งมาตรา 1445(2)(3)(4)และ (5) เท่านั้นที่ให้ถือว่าเป็นโมฆะ

การหมั้นที่ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1435 เป็นโมฆะหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับอำนาจฟ้องหรือเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่อย่างใด ฉะนั้น การที่ศาลล่างยกประเด็นนข้อนี้ขึ้นวินิจฉํยเสียเองโดยคู่ความมิได้ยกขึ้นต่อสู้จึงไม่ชอบ

จำเลยได้ร่วมประเวณีกับ ร.และเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นร. ย่อมต้องได้รับความเสียหายต่อกายและชื่อเสียง และมีสิทธิเรียกค่าทดแทนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1439(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2699

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2699/2518

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 288, 80, 81

ตามปกติอาวุธปืนเป็นอาวุธร้ายแรง หากกระสุนปืนที่จำเลยยิงถูกอวัยวะส่วนสำคัญของร่างกายผู้เสียหาย และผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ก็เห็นได้ชัดว่าปืนกระบอกนั้นไม่อาจใช้ยิงให้ผู้เสียหายตายได้ แต่เมื่อกระสุนปืนที่จำเลยยิงเฉียดถูกผู้เสียหายที่ต้นแขนซ้ายมีบาดแผลเล็กน้อย จึงเป็นเรื่องการกระทำของจำเลยไม่บรรลุผล เพราะกระสุนปืนที่จำเลยยิงนั้นถูกอวัยวะส่วนไม่สำคัญของร่างกาย หาใช่เพราะการกระทำของจำเลยไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้เพราะเหตุปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทำไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2695

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2695/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 24, 55 ประมวลกฎหมายที่ดิน ม. 61 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 334

ทางราชการได้ออกโฉนดที่ดินให้โจทก์ ต่อมามีผู้คัดค้านว่าที่ดินที่ออกโฉนดให้โจทก์นั้นเป็นที่สาธารณของแผ่นดินซึ่งประชาชนใช้ร่วมกันกรมที่ดินจำเลยจึงได้เรียกให้โจทก์ส่งโฉนดที่ดินดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพื่อส่งให้แก่จำเลย และให้โอกาสโจทก์ยื่นคำคัดค้านภายใน 30 วันโจทก์ยื่นคำคัดค้านว่าที่ดินดังกล่าวมารดาโจทก์ครอบครองและยกกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ ไม่ใช่ที่สาธารณประโยชน์ แต่โจทก์ยังไม่ได้ส่งโฉนดให้จำเลยและจำเลยก็ยังมิได้เพิกถอนโฉนดที่ดินของโจทก์ ดังนี้ โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาสั่งให้จำเลยระงับการเพิกถอนโฉนดของโจทก์ไม่ได้เพราะยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์อันเป็นเหตุให้โจทก์ใช้สิทธิทางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2631

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2631/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 683, 694 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 1 (5), 226

ค้ำประกันหนี้ 10,000 บาท และว่าถ้าลูกหนี้ทำความเสียหายเกินกว่านั้นก็รับผิด ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดตามความเสียหาย 205,764 บาท

ศาลพิพากษาคดีอาญาให้ลูกจ้างใช้ทรัพย์ที่ยักยอกไปผู้ค้ำประกันต้องรับผิดในความเสียหายนั้น จะนำสืบว่าลูกจ้างไม่ได้ทำความเสียหายและปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคู่ความในคดีอาญาด้วยไม่ได้ โจทก์ฟ้องผู้ค้ำประกันในคดีแพ่งโดยไม่ฟ้องลูกจ้างด้วยก็ได้

จำเลยที่ 1 ขอให้เรียกจำเลยที่ 2 เป็นจำเลยร่วมศาลไม่อนุญาตไม่ใช่คำสั่งไม่รับคำคู่ความ ถ้าไม่โต้แย้งไว้ อุทธรณ์ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2628

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2628/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 142, 183, 188 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1382, 1600

เมื่อผู้ร้องและผู้คัดค้านซึ่งต่างก็เป็นทายาทของ ร.อ้างว่าครอบครองทรัพย์พิพาทเพื่อเป็นของตนภายหลัง ร.ตายเพียง 4 ปี แม้จะฟังเป็นความจริงข้างฝ่ายใด ก็ยังไม่มีฝ่ายใดได้กรรมสิทธิ์ จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยถึงข้อโต้เถียงในการเข้าครอบครองทรัพย์พิพาทของผู้ร้องและผู้คัดค้านว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายครอบครอง

เมื่อผู้ร้องมิได้ดำเนินคดีโดยตั้งประเด็นว่าทรัพย์พิพาทเป็นมรดกและผู้ร้องเป็นทายาท แต่ตั้งประเด็นผู้ร้องได้ครอบครองทรัพย์พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์โดยอายุความแล้วเมื่อผู้ร้องนำสืบฟังไม่ได้ ก็ชอบที่จะต้องยกฟ้อง และยังไม่สมควรที่จะแบ่งมรดกให้ในคดีนี้

« »
ติดต่อเราทาง LINE