สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2626/2518

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2626/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1435, 1439 (1), 1445, 1489 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 142, 242, 247

โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดโดยอาศัยเหตุว่าเพราะจำเลยผิดสัญญาหมั้นจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องค่าทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1439(1) ที่ศาลล่างวินิจฉัยว่าโจทก์เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดจากจำเลย จึงเป็นการวินิจฉัยที่ผิดไปจากคำฟ้องของโจทก์กรณีเช่นนี้ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะวินิจฉัยคดีเสียใหม่ให้ถูกต้องตามประเด็นแห่งคดีได้

การหมั้นที่ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1435โดยฝ่ายชายมีอายุไม่ถึง 17 ปีบริบูรณ์นั้น หาตกเป็นโมฆะไม่ ทั้งนี้ โดยอาศัยกฎหมายที่ใกล้เคียงเปรียบเทียบ คือ การสมรสที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งมาตรา 1445(1) ในเรื่องอายุทำนองเดียวกัน มาตรา 1489 ก็มิได้บัญญัติให้เป็นโมฆะแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับบัญญัติว่าให้ผู้มีส่วนได้เสียเท่านั้นมีอำนาจร้องขอต่อศาลได้ และไม่ได้บังคับให้ศาลจำต้องสั่งให้เพิกถอนโดยเด็ดขาดด้วย แต่ให้อำนาจศาลที่จะเพิกถอนเสียก็ได้เท่านั้น คงมีแต่เฉพาะในเรื่องการผิดต่อบทบัญญัติแห่งมาตรา 1445(2)(3)(4)และ (5) เท่านั้นที่ให้ถือว่าเป็นโมฆะ

การหมั้นที่ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1435 เป็นโมฆะหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับอำนาจฟ้องหรือเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่อย่างใด ฉะนั้น การที่ศาลล่างยกประเด็นนข้อนี้ขึ้นวินิจฉํยเสียเองโดยคู่ความมิได้ยกขึ้นต่อสู้จึงไม่ชอบ

จำเลยได้ร่วมประเวณีกับ ร.และเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นร. ย่อมต้องได้รับความเสียหายต่อกายและชื่อเสียง และมีสิทธิเรียกค่าทดแทนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1439(1)

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ในฐานะมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของนางสาวเรณู ลีลาภัทรอายุ 18 ปี ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบิดาผู้ปกครองของจำเลยที่ 2 ได้หมั้นนางสาวเรณู ซึ่งในขณะนั้นมีอายุ 17 ปีให้กับจำเลยที่ 2 ของหมั้นคือแหวนเพชร 1 วง ราคา 10,000 บาท โดยกำหนดจะสมรสกันในเมื่อจำเลยที่ 2 และนางสาวเรณูสำเร็จการศึกษาแล้ว ในวันหมั้นจำเลยที่ 1ขอรับนางสาวเรณูไปอยู่ที่บ้านของจำเลย โดยรับรองว่าจะอุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษาแก่นางสาวเรณูเช่นเดียวกับบุตรจำเลย และจะไม่ให้เกิดความเสียหายใด ๆ แก่นางสาวเรณู ถ้าเกิดความเสียหายแก่นางสาวเรณูไม่ว่าในทางเกียรติยศชื่อเสียงหรือทางใด ๆ ขึ้น จำเลยยินยอมชดใช้ค่าทดแทนเป็นเงิน 100,000 บาท หลังจากนางสาวเรณูไปอยู่ร่วมเรือนกับจำเลย จำเลยที่ 2 ได้ปลุกปล้ำขืนใจล่วงเกินทางประเวณีต่อนางสาวเรณูจนตั้งครรภ์ จำเลยที่ 1 ได้แนะนำให้นางสาวเรณูรักษาด้วยการฉีดยาจนแท้งบุตรแล้วขับไล่ออกจากบ้าน กับห้ามมิให้จำเลยที่ 2สมรส และเรียกแหวนหมั้นคืน จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นของหมั้นชอบที่จะตกเป็นสิทธิของนางสาวเรณู การที่นางสาวเรณูต้องสูญเสียความเป็นสาวให้แก่จำเลยที่ 2 เป็นความเสียหายต่อกายและต่อเกียรติยศชื่อเสียง ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันรับผิดใช้ค่าทดแทนเป็นจำนวน 40,000 บาท กับให้จำเลยคืนแหวนหมั้นหากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน 10,000 บาทแก่นางสาวเรณู ลีลาภัทร

จำเลยทั้งสองให้การร่วมกันว่า จำเลยที่ 1 เป็นบิดาผู้ปกครองของจำเลยที่ 2 ซึ่งมีอายุ 16 ปีจริง จำเลยที่ 1 จัดการหมั้นนางสาวเรณูให้แก่จำเลยที่ 2 ด้วยแหวนราคา 3,400 บาท จำเลยได้รับนางสาวเรณูมาอยู่ด้วยโดยจัดให้นางสาวเรณูนอนห้องเดียวกับบุตรสาว ส่วนจำเลยที่ 2 อยู่อีกห้องหนึ่งต่างหาก จำเลยที่ 2 ไม่เคยปลุกปล้ำขืนใจนางสาวเรณู นางสาวเรณูไม่เคยตั้งครรภ์ จำเลยที่ 1 ไม่เคยแนะนำให้นางสาวเรณูไปฉีดยาทำแท้ง ไม่เคยขับไล่ไม่เคยห้ามจำเลยที่ 2สมรสกับนางสาวเรณูและไม่เคยเรียกแหวนหมั้นคืน นางสาวเรณูไปอยู่กับจำเลยก็มักจะทะเลากับจำเลยที่ 2 อยู่เสมอ และชอบเที่ยวเตร่กลับบ้านค่ำคืน ตักเตือนไม่เชื่อฟัง เมื่อจำเลยที่ 1 กับบุตรภรรยาออกไปจากบ้านกลับมาก็ทราบว่านางสาวเรณูขนของกลับไปอยู่กับมารดาเลี้ยงเสียแล้ว

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่า ขณะที่มีการหมั้น จำเลยที่ 2มีอายุยังไม่ครบ 17 ปี การหมั้นจึงขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1435 สัญญาหมั้นเป็นโมฆะ แม้ไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ศาลหยิบยกขึ้นได้ และเป็นปัญหาเกี่ยวไปถึงเรื่องอำนาจฟ้อง ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาหมั้นได้ ประเด็นเดียวกับแหวนหมั้นจึงไม่ต้องวินิจฉัยถึง ส่วนประเด็นเรื่องละเมิดนั้นเห็นว่า เป็นเรื่องยินยอมด้วยกัน ไม่เชื่อว่าจำเลยที่ 2 จะได้ปลุกปล้ำขืนใจ ร่วมประเวณีนางสาวเรณู ไม่เป็นการละเมิด พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การหมั้นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 เป็นโมฆะไม่ต้องวินิจฉํยถึงเรื่องของหมั้น ปัญหาว่า จำเลยที่ 2 ได้ปลุกปล้ำขืนใจร่วมประเวณีนางสาวเรณูหรือไม่ เชื่อว่า จำเลยที่ 2 ได้ใช้กำลังปลุกปล้ำขืนใจร่วมประเวณีนางสาวเรณูจริง แม้ต่อมาภายหลังจะยินยอม แต่ครั้งแรกก็เป็นการละเมิดจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ในการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 429 ด้วยและกำหนดค่าสินไหมทดแทน 20,000 บาท พิพากษาแก้ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 20,000 บาทนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ประเด็นเรื่องเรียกคืนแหวนหมั้นได้ยุติไปแล้วเพราะโจทก์มิได้ฎีกา คงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยแต่เฉพาะเรื่องค่าสินไหมทดแทนความเสียหายซึ่ง ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์อ้างให้จำเลยรับผิดโดยอาศัยเหตุว่าจำเลยผิดสัญญาหมั้น จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องค่าทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1439(1)การที่ศาลล่างวินิจฉัยว่าโจทก์เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดจากจำเลย จึงเป็นการวินิจฉัยผิดไปจากคำฟ้องของโจทก์ ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะวินิจฉัยคดีเสียใหม่ให้ถูกต้องตามประเด็นแห่งคดีได้ และศาลฎีกาเห็นว่า การหมั้นที่ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1435โดยฝ่ายชายมีอายุไม่ถึง 17 ปีบริบูรณ์ หาตกเป็นโมฆะไม่ ทั้งนี้ โดยอาศัยกฎหมายที่ใกล้เคียงเปรียบเทียบ คือ การสมรสที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 1445(1) ในเรื่องอายุทำนองเดียวกันนี้ มาตรา 1489 ก็มิได้บัญญัติให้เป็นโมฆะ ตรงกันข้าม กลับบัญญัติว่า ให้ผู้มีส่วนได้เสียเท่านั้นมีอำนาจร้องขอต่อศาลได้ และไม่ได้บังคับให้ศาลจำต้องสั่งให้เพิกถอนโดยเด็ดขาดด้วย แต่ให้อำนาจศาลที่จะเพิกถอนเสียก็ได้เท่านั้น คงมีแต่เฉพาะในเรื่องการผิดต่อบทบัญญัติแห่งมาตรา 1445(2),(3), (4) และ (5) เท่านั้น ที่ให้ถือว่าเป็นโมฆะ (มาตรา 1490 และมาตรา 1491) และประเด็นข้อนี้ไม่ได้เกี่ยวกับอำนาจฟ้อง หรือเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่อย่างใด การที่ศาลล่างทั้งสองยกปัญหาข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยเสียเองโดยคู่ความมิได้ยกขึ้นต่อสู้ จึงไม่ชอบศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้มีปัญหาว่า จำเลยทั้งสองผิดสัญญาหมั้นหรือไม่ประเด็นหนึ่ง และเรื่องค่าเสียหายอีกประเด็นหนึ่งในประเด็นแรกศาลฎีกาฟังว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้น ในประเด็นหลังเชื่อว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมประเวณีกับนางสาวเรณูจริงและนางสาวเรณูได้รับความเสียหายต่อกายและชื่อเสียง และมีสิทธิเรียกค่าทดแทนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1439(1)

พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในผลแห่งคดี

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - น.ส.เรณู ลีลาภัทร จำเลย - นายเสริมสุข จุฬาสัย กับพวก

ชื่อองค์คณะ ชลอ จามรมาน ชุ่ม สุนทรธัย อุดม ทันด่วน

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE