คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2518

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 651

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 651/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 292

ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนรถยนต์กับใช้ค่าเสียหาย 3,000 บาทระหว่างอุทธรณ์โจทก์จำเลยร้องขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาตามยอมที่โจทก์จำเลยนำมายื่นต่อศาลชั้นต้นเพื่อส่งไปศาลอุทธรณ์ทำยอมแต่จำเลยไม่ไปศาลและโจทก์ไม่ประสงค์ทำยอมตามที่ขอไว้ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้วจำเลยต้องทำตามคำบังคับ เรื่องสัญญายอมความเป็นเรื่องนอกศาลจำเลยอ้างให้งดบังคับคดีไม่ได้ โจทก์รับต่อศาลว่าได้รับรถคืนแล้ว หนี้ประการนี้จึงระงับไป แต่หนี้ใช้ค่าเสียหายตามคำพิพากษายังต้องบังคับต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 642

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 642/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 165 (1), 172, 188 วรรคท้าย

การรับสภาพหนี้อันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 นั้น ต้องเป็นการรับสภาพหนี้ภายในกำหนดอายุความ

การที่จำเลยเพียงแต่มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่เท่าใด และขอให้โจทก์ช่วยจัดการให้ ป. ชำระหนี้ที่ค้างให้แก่จำเลย แล้วจำเลยจะชำระหนี้ส่วนที่เหลือให้โจทก์ โดยโจทก์ก็มิได้กระทำการอย่างใดอันเป็นการสนองรับข้อเสนอของจำเลยดังกล่าว หาใช่เป็นเรื่องการรับสภาพความรับผิดโดยสัญญา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 188 วรรคท้ายไม่(อ้างฎีกาที่ 756/2510)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 640

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 640/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 321, 656, 1377

กู้เงินแล้วผู้กู้ทำหนังสือสละการครอบครองที่ดินมือเปล่าให้เป็นการชำระหนี้เมื่อถึงกำหนดใช้เงินแล้ว ผู้ให้กู้ตกลงยอมรับ ผู้ให้กู้เข้าครอบครองได้ทันที ถือเป็นการชำระหนี้ คิดราคาท้องตลาดเท่ากับจำนวนหนี้ตามมาตรา 656 หนี้ระงับตามมาตรา 321

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 634

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 634/2518

พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 ม. 3

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ร่วมได้เรียกร้องเอาดอกเบี้ยจากเงินที่โจทก์ร่วมนำมาให้จำเลยยืมไปลงทุนค้าพลอยโดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย อันเป็นความผิดอาญาตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราพ.ศ.2475 และจำเลยได้ออกเช็คให้โจทก์ร่วมเพื่อชำระเงินดอกเบี้ยดังกล่าว โจทก์ร่วมย่อมไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องบังคับให้ใช้เงินจำนวนตามเช็คนั้นซึ่งมีมูลหนี้โดยผิดกฎหมายได้จำเลยจึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 แม้ขณะที่ออกเช็คนั้น จำเลยจะไม่มีเงินอยู่ในบัญชีพอที่จะจ่ายเงินจำนวนตามเช็คนั้น (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1291/2505)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 619

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 619/2518

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 175, 177 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 145 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 15, 46, 227 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 ม. 3

ในคดีก่อน จำเลยเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการฟ้องโจทก์ในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คและเบิกความว่าโจทก์ออกเช็คแลกเงินสดไปจากจำเลย ศาลพิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ออกเช็คดังกล่าวให้จำเลยเป็นประกันการกู้ยืมโจทก์จึงมาฟ้องจำเลยกล่าวหาว่าจำเลยฟ้องเท็จและเบิกความเท็จในคดีก่อน ดังนี้ คำชี้ขาดของศาลในข้อเท็จจริงในคดีก่อนนั้นต้องถือว่ายุติระหว่างโจทก์จำเลยในคดีนั้นส่วนคดีหลังนี้ก็ชอบที่ศาลจะต้องพิจารณาพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนคดีนี้เป็นสำคัญจะถือเอาข้อเท็จจริงซึ่งยุติในคดีก่อนมาผูกมัดให้ศาลวินิจฉัยคดีหลังตามหาได้ไม่ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเพียงพยานหลักฐานส่วนหนึ่งซึ่งศาลอาจใช้ประกอบการพิจารณาคดีหลังเท่านั้นศาลจึงวินิจฉัยคดีหลังนี้โดยไม่ต้องถือตามข้อเท็จจริงในคดีเรื่องก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 620

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 620/2518

พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 ประมวลกฎหมายอาญา ม. 33

จำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อหา ซึ่งบรรยายว่าของกลางคือโต๊ะเครื่องเล่นไฟฟ้าจักรกลสปริง (บิลเลียดไฟฟ้า) อันเป็นอุปกรณ์ใช้ในการเล่นพนันสล๊อทแมชีน จับได้ในขณะเล่นพนันจึงต้องริบของกลางนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 608

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 608/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 224

คู่กรณีทำสัญญาประนีประนอมยอมความเอาหนี้เงินกับดอกเบี้ยที่ค้างชำระเป็นต้นเงินและให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินนั้นอีกดังนี้แม้จำนวนต้นเงินนี้มีดอกเบี้ยเดิมรวมอยู่ด้วย ก็ไม่เป็นการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรค 2

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 604

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 603 - 604/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 142, 148

คดีเดิมโจทก์จำเลยพิพาทกันเกี่ยวกับทรัพย์มรดกซึ่งรวมที่พิพาทคดีนี้ด้วย แต่คดีที่โจทก์ฟ้องใหม่นี้ไม่มีประเด็นวินิจฉัยในเรื่องมรดกซึ่งการวินิจฉัยไม่ต้องอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อนฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ส.ค.1 มีชื่อจำเลยเป็นผู้แจ้งการครอบครองซึ่งมิใช่หนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน และมิใช่เป็นที่ดินที่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว จึงโอนกันไม่ได้ตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 9 ดังนี้โจทก์จะขอให้บังคับจำเลยไปร้องขอแบ่งแยกที่ดินตาม ส.ค.1 ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อำเภอให้โจทก์หาได้ไม่

คดีมีประเด็นพิพาทกันว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย แม้โจทก์จะมิได้มีคำขอโดยตรงมาในฟ้อง แต่พอเห็นได้ว่าโจทก์จำเลยต่างก็ประสงค์จะแสดงว่าที่พิพาทเป็นของตน ฉะนั้นศาลจึงพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ได้หาเกินไปกว่าหรือนอกเหนือจากคำฟ้องของโจทก์ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 597

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 596 - 597/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 9, 1359, 1361, 1368, 1375, 1381, 1748 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 61

เจ้ามรดกมีทายาท 9 คนรวมทั้งโจทก์และ พ. กับ น.จำเลยในคดีนี้ด้วย ทายาทอื่น 3 คน เคยฟ้องโจทก์ขอแบ่งที่พิพาทอันเป็นที่ดินมรดกซึ่งโจทก์มีชื่อใน น.ส.3 แทน ทายาทจำเลยให้การสู้คดีโดยอ้างว่าได้ครอบครองเพื่อตนคดีนั้นศาลพิพากษาถึงที่สุดให้แบ่งที่พิพาทเป็น 9 ส่วน ให้ทายาทที่ฟ้องคนละ 1 ส่วน การที่โจทก์ถูกฟ้องและให้การต่อสู้คดีโดยอ้างว่าได้ครอบครองเพื่อตนนั้นหาใช่เป็นการบอกกล่าวไปยังทายาทอื่นที่ไม่ได้ฟ้องด้วยว่าโจทก์จะไม่เจตนายึดถือที่พิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกไว้แทนต่อไปไม่ตราบใดที่โจทก์ยังมิได้บอกกล่าวไปยังทายาทอื่นว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนต่อไป ก็ต้องถือว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทแทนทายาทอื่นด้วยดังเดิม พ. และ น. จำเลยคดีนี้ยังคงเป็นเจ้าของรวมในที่พิพาทในส่วนที่ยังมิได้โต้แย้งกัน ทั้งการฟ้องคดีขอแบ่งที่พิพาทอันเป็นมรดกนั้น ทายาทอื่นซึ่งมีส่วนอยู่ด้วยไม่จำต้องฟ้องคดีหมดทุกคนก็ย่อมได้สิทธิตามส่วนที่จะรับมรดกตามคำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงส่วนของทายาทนั้นๆ โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทแทนทายาทอื่นจะอ้างเอาการต่อสู้คดีดังกล่าวว่าเป็นการเข้าแย่งการครอบครองเองหาได้ไม่ และไม่อยู่ในบังคับของเวลาสำหรับเรียกร้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง เมื่อคดีก่อนนั้นศาลวินิจฉัยว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทไว้แทนทายาทอื่นซึ่งรวมถึง พ. และ น. จำเลยคดีนี้ด้วย พ. และน. ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่ออำเภอขอให้ใส่ชื่อของตนใน น.ส.3 ตามสิทธิของตนได้เมื่อใส่แล้วก็มีความชอบธรรมที่จะโอนขายส่วนของตนให้ผู้อื่นไปโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์

จำเลยลงลายพิมพ์นิ้วมือตั้ง พ. เป็นทนายความแม้จะมีพยานลงชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือเพียงคนเดียว แต่ พ. ก็ได้ว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาในฐานะทนายของจำเลยมาตั้งแต่ศาลชั้นต้นจนถึงชั้นอุทธรณ์ โดยจำเลยยอมรับเอาผลของการดำเนินกระบวนพิจารณานั้นตลอดมา และโจทก์ก็มิได้คัดค้านประการใดมาแต่ต้นดังนี้ พ. จึงมีอำนาจที่จะฎีกาในฐานะทนายของจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 594

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 594/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 194

เจ้ามรดกไม่ได้กู้เงินโจทก์ สัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นเอกสารปลอมจำเลยซึ่งเป็นทายาททำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โดยเข้าใจว่ามีหนี้อยู่จริง ดังนี้ ไม่ทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องให้ชำระหนี้ได้

« »
ติดต่อเราทาง LINE