คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2518

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1879

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1879/2518

ประมวลรัษฎากร ม. 12 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 287, 290

บทบัญญัติมาตรา 12 ประมวลรัษฎากร เป็นกฎหมายพิเศษให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานที่จะเรียกเก็บภาษีอากรค้างได้โดยสั่งยึดและสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สินได้เอง โดยไม่จำต้องนำคดีขึ้นฟ้องร้องต่อศาล จึงถือได้ว่าเป็นสิทธิอื่นๆ ซึ่งบุคคลภายนอกอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ตามกฎหมาย ซึ่งบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่กระทบกระทั่งถึง ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 287 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อกฎหมายให้อำนาจไว้ถึงขนาดนี้แล้ว แม้ผู้ร้อง (เจ้าพนักงานซึ่งเป็นเจ้าหนี้ค่าภาษีอากรค้าง) จะมิได้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ก็มีสิทธิที่จะขอเข้าเฉลี่ยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 ได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 14/2518)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1864

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1864/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1356, 1357, 1630, 1634, 1639, 1754 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55, 172

โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของอ.เจ้ามรดกตามบัญชีเครือญาติท้ายฟ้อง โดยเมื่อ อ.วายชนม์ที่พิพาทตกได้แก่ย.บุตรของ อ.ยวายชนม์มรดกส่วนของย.ตกได้แก่ค.ยายของโจทก์ค.วายชนม์ ตกได้แก่ช.และตกได้แก่โจทก์เมื่อช.มารดาโจทก์วายชนม์ โจทก์ครอบครองที่พิพาทตลอดมาเช่นเดียวกันกับจำเลยซึ่งเป็นทายาทของ อ.สาย ล.บุตรของ อ.อีกคนหนึ่ง เพียงสองคนเท่านั้น ไม่มีทายาทอื่นเกี่ยวข้อง จึงฟ้องขอแบ่งที่พิพาทครึ่งหนึ่ง ดังนี้ เห็นได้ว่าโจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกโดยอาศัยสิทธิรับมรดกสืบทอดมาจาก ย.ทวดของโจทก์ซึ่งมีการรับมรดกของอ.เป็นทอดๆ กันมาตามบัญชีเครือญาติท้ายฟ้องอันเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม

แม้ย.จะวายชนม์ก่อนอ.ก็ตามเมื่อย.บุตรอ.เจ้ามรดกมีผู้สืบสันดานคือ ค. ค.จึงเป็นผู้รับมรดกอ.แทนที่ย.บิดา และมีการรับมรดกสืบต่อมาจนถึงโจทก์บุตรของ ช.ซึ่งเป็นบุตรของค. โจทก์จึงเป็นทายาทมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งจากกองมรดกของ อ.เจ้ามรดก และมีอำนาจฟ้อง

โจทก์ครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นมรดกของ อ.ร่วมกับจำเลยซึ่งเป็นทายาทของ อ. เจ้ามรดกตลอดมา แม้จะล่วงพ้นกำหนดอายุความ มาตรา 1754 ก็ดี โจทก์ก็มีสิทธิขอแบ่งที่พิพาทซึ่งเป็นมรดกของ อ.ได้

โจทก์ครอบครองทรัพย์มรดกของ อ. เจ้ามรดกร่วมกับจำเลย โดยทายาทอื่นๆ ของ อ.ที่มีชีวิตอยู่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวและโต้แย้ง ถือได้ว่าโจทก์จำเลยครอบครองที่พิพาทในฐานะเป็นเจ้าของรวมกัน โจทก์จึงมีสิทธิขอแบ่งที่พิพาทครึ่งหนึ่งได้ในฐานะกรรมสิทธิ์รวม

ทายาทอื่นๆ ของ อ.ต่างเป็นพยานเบิกความว่าได้ออกจากที่พิพาทไป 40 ปีแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับที่พิพาท ไม่ขอรับส่วนแบ่งในที่พิพาท ส่วนทายาทอื่น ๆ ที่อยู่ในที่พิพาทก็เป็นบุตรจำเลยอยู่โดยอาศัยสิทธิของจำเลย บ้างอยู่โดยอาศัยสิทธิของ ช.มารดาโจทก์ ไม่ได้มายุ่งเกี่ยวด้วย ดังนี้จึงถือได้ว่าทายาทอื่นๆ ของ อ.ต่างไม่มีสิทธิในที่พิพาทคือโจทก์จำเลยสองคนเท่านั้น โจทก์จึงย่อมมีสิทธิแบ่งครึ่งได้ หาได้เกินสิทธิที่โจทก์ควรจะได้รับไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1859

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1859/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 446

ค่าทนทุกข์ทรมานซึ่งได้ฟ้องคดีแล้วผู้เสียหายจึงตายลงนั้นผู้เข้าเป็นคู่ความแทนว่าคดีต่อไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1698

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1698/2518

พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 ม. 9, 10, 19, 20, 46 พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2485 ม. 3

ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ กับที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องกับโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างนั้น จะต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินทุกชนิด เว้นแต่ทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติไว้ในมาตรา 9 และ 10 ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2475 มาตรา 3 โรงเรือนของจำเลยใช้ทำเป็นหอพักโดยได้รับค่าตอบแทนและบริการอย่างอื่นจากผู้มาพักตามพระราชบัญญัติหอพัก แม้จำเลยจะอยู่อาศัยในหอพักนั้นด้วย โรงเรือนของจำเลยก็ไม่ได้ใช้เป็นที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว การใช้เป็นหอพักได้ผลประโยชน์ตอบแทนเหมือนการใช้ประกอบกิจการอย่างอื่นจึงไม่อยู่ในข่ายที่จะได้รับยกเว้นการเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินตามมาตรา 10 เมื่อจำเลยไม่ไปรับแบบพิมพ์มากรอกรายการยื่นภายในกำหนดตามประกาศ ย่อมเป็นการละเลยต่อหน้าที่ของผู้รับประเมินที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย จึงมีความผิดตามมาตรา 20,46

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1610

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1610/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 747

กู้เงินมอบโฉนดไว้ประกัน ไม่เป็นเหตุอ้างว่าไม่ขาดอายุความและยึดโฉนดไว้เป็นประกันต่อไปไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1855

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1855/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 93

จำเลยมิได้ปฏิเสธความถูกต้องของสำเนาเอกสารสัญญาเช่าซื้อที่โจทก์ฟ้อง โจทก์จึงไม่ต้องนำสืบส่งต้นฉบับเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1845

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1845/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1375 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 23, 148

ศาลยกฟ้องคดีก่อนเพราะโจทก์ไม่ได้รับอนุญาตจากสามีให้ฟ้องคดีขับไล่จากที่ดิน ส.ค.1 แต่ไม่ตัดสิทธิที่จะฟ้องใหม่ภายในอายุความโจทก์ฟ้องใหม่ขอห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่พิพาทเดิม แต่เกิน 1 ปีนับแต่วันจำเลยแย่งครอบครอง ดังนี้โจทก์ฟ้อง 3 วันหลังจากอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่อนุญาตให้โจทก์ฟ้องใหม่ได้ และไม่เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1804

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1804/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 684, 694 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 191, 226

ลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เจ้าหนี้ไม่ขอพิสูจน์หนี้เจ้าหนี้ฟ้องเรียกหนี้จากผู้ค้ำประกันซึ่งรับผิดร่วมกับลูกหนี้ได้

ศาลชั้นต้นสั่งว่า ข้อต่อสู้ว่าโจทก์ไม่ทวงถามก่อนฟ้องไม่เป็นประเด็น ให้งดสืบพยาน จำเลยโต้แย้งคำสั่งให้งดสืบพยานแต่ไม่โต้แย้ง คำสั่งที่ว่าไม่มีประเด็นเรื่องทวงถาม จำเลยอุทธรณ์เรื่องมีประเด็นว่า โจทก์ไม่ทวงถามไม่ได้

ศาลให้ผู้ค้ำประกันเสียค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 ได้ มิใช่กรณีให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมที่ลูกหนี้ต้องเสียไป ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 684

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1765

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1765/2518

พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 ม. 4 (6), 38, 58 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1367, 1368

ห้างหุ้นส่วนจำกัด จ.มี บ. เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ได้ประทานบัตรทำเหมืองแร่ที่บริเวณเขาศูนย์ 3 แปลง ใบอนุญาตให้มีและใช้วัตถุระเบิดออกให้ในนามของ บ.เป็นส่วนตัว แต่ก็ระบุมีไว้ใช้ในการทำเหมืองแร่ที่อยู่ในประทานบัตรของห้างหุ้นส่วนจำกัด จ. เห็นชัดว่าขออนุญาตมีเพื่อใช้ในกิจการของห้างดังกล่าว ดังนั้น การที่จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการแผนกเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด จ. ในการปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้าง ได้นำแก๊ประเบิดตามใบอนุญาตดังกล่าวที่เก็บรักษาไว้ที่เหมืองแร่แปลงที่ 1 เพื่อไปใช้ยังแปลงที่ 3 ของห้างหุ้นส่วนจำกัดนายจ้าง จึงไม่มีความผิดฐานมีแก๊ประเบิดไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 12/2518)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1764

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1764/2518

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 177 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 158

บรรยายฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นพยานโจทก์ในคดีปล้นทรัพย์เบิกความเท็จต่อศาลว่าจำคนร้ายไม่ได้ อันเป็นความเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดี ซึ่งความจริงจำเลยเคยให้การในฐานะพยานในชั้นสอบสวนว่าจำคนร้ายได้ ดังนี้ แม้จะมิได้กล่าวให้ปรากฏชัดว่าความจริงเป็นดังที่จำเลยเบิกความหรือเป็นดังที่จำเลยให้การ ก็ย่อมเข้าใจได้แล้วว่าโจทก์กล่าวอ้างว่าคำเบิกความของจำเลยเป็นความเท็จ ส่วนความจริงเป็นดังที่จำเลยได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวนนั่นเอง และในคดีอาญาเรื่องปล้นทรัพย์ คำเบิกความของพยานในข้อที่ว่าจำคนร้ายได้หรือไม่นั้น ย่อมเป็นข้อสำคัญในคดี คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ที่สมบูรณ์แล้ว

« »
ติดต่อเราทาง LINE