คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2518

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 884

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 884/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 118

คู่ความจะอุทธรณ์ฎีกาว่าศาลไม่ให้ตนถามค้านพยานในข้อใดหากไม่คัดค้านให้ศาลจดข้อคัดค้านไว้ในวันสืบพยานนั้นแต่เพิ่งมายื่นคำร้องคัดค้านเป็นหลักฐานไว้ภายหลังก็ไม่มีคำชี้ขาดของศาลที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 883

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 883/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 437

ผู้ครอบครองดูแลสถานที่เก็บรถยนต์ย่อมรวมถึงสายไฟฟ้าในบริเวณสถานที่นั้น ซึ่งต่อออกมาจากบ้านพักไปยังกริ่งสำหรับบ้านพักด้วยเด็กปีนรั้วเก็บดอกรักถูกสายไฟฟ้าเปลือยตกลงมาทับสายไฟฟ้าตาย ไม่มีร่องรอยที่เด็กในวัยนั้นจะคาดคิดว่าจะมีสายไฟฟ้าเปลือยพาดอยู่ไม่เป็นความผิดของเด็กผู้ครอบครองสายไฟฟ้าต้องรับผิดตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 900

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 900/2518

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 59 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 174

โจทก์นำสืบได้ว่าเจ้าพนักงานจับไม้หวงห้ามประเภท ก.กับประเภทข. ได้จากจำเลย จำเลยพิสูจน์ไม่ได้ว่าได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยมีความผิดตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 84(ฉบับที่ 4) พ.ศ.2503 มาตรา 12 โดยโจทก์ไม่ต้องนำสืบว่าจำเลยรู้อยู่ว่าไม้ของกลางเป็นไม้หวงห้าม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 899

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 896 - 899/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 566

เช่าตึกแถวค่าเช่าเดือนละ 40 บาท ชำระภายในวันที่ 5 ของเดือน เก็บค่าเช่าคราวเดียว 12 เดือน 480 บาท ยังเป็นการเช่ารายเดือน ไม่เปลี่ยนเป็นรายปี การบอกเลิกโดยให้เวลา 1 เดือน ชั่วระยะเวลาชำระค่าเช่า 1 ระยะหลังจากสัญญาครบกำหนดแล้ว ชอบด้วยมาตรา 566

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 876

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 876/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 30, 1572, 1581 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 1 (11), 42, 55

โจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะผู้อนุบาล ส. ปรากฏว่า ส. ตายระหว่างคดีค้างพิจารณาอยู่ในศาลอุทธรณ์ ดังนี้ ความตายของส. อันมีผลให้ความเป็นผู้อนุบาลของ ส. สิ้นสุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1572,1581 ในเวลาภายหลัง ย่อมไม่ทำให้สิทธิหน้าที่ของโจทก์ที่ได้มีอยู่ในขณะฟ้องเปลี่ยนแปลงไป โจทก์ในฐานะผู้อนุบาลของ ส. มาแต่เริ่มใช้สิทธิเรียกร้องคดีนี้ จึงยังมีสิทธิและอำนาจที่จะฎีกาหลังการตายของ ส.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 819

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 819/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 421

น้ำไหลผ่านห้วยในที่ดินของจำเลย จำเลยทำทำนบกักไว้ใช้เป็นเหตุให้น้ำท่วมนาผู้อื่นเสียหาย จำเลยต้องใช้ค่าเสียหายนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 882

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 882/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1453, 1465, 1466, 1472, 1473, 1474, 1476, 1498 พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ.2477

ที่ดินซึ่งภริยาก่อนบรรพ 5 มีอยู่ก่อนสมรสและอาจนำมาใช้ประโยชน์ด้วยกันได้ ไม่ต้องเอามาระคนปนกับสินเดิมของสามีก็ถือเป็นสินเดิมของภริยา

สามีภริยาก่อนบรรพ 5 การขาดจากสมรสต้องบังคับตามบรรพ 5การยินยอมขาดกันเองต้องทำเป็นหนังสือมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อย 2 คน

การที่สามีภริยาไม่ได้หลับนอนร่วมเพศกัน แต่อยู่คนละบ้านในบริเวณเดียวกัน ไม่เป็นการทิ้งร้างกัน

สามีมีภริยาใหม่แต่ไม่จดทะเบียน ทรัพย์ที่ได้มาใหม่จะมีส่วนได้ร่วมกับสามีหรือไม่. ก็ยังเป็นสินสมรสระหว่างสามีกับภริยาเดิม และใส่ชื่อภริยาในโฉนดร่วมด้วยได้ แต่จะระบุส่วนของภริยาว่าหนึ่งในสามโดยยังไม่ถึงเวลาแบ่งทรัพย์สินกันไม่ได้

สามีโอนที่ดินสินสมรสให้โดยเสน่หาแก่ภริยาใหม่ที่ไม่ได้จดทะเบียนโดยภริยามิได้ยินยอมเป็นหนังสือ การเพิกถอนต้องทำทั้งหมดมิใช่เฉพาะส่วนของภริยา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 881

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 881/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1349

ผู้ใช้ทางจำเป็นผ่านที่ดินที่ล้อมอยู่ต้องใช้ค่าทดแทน แต่เมื่อเจ้าของที่ดินที่ทางผ่านยังไม่เรียกร้องผู้ใช้ทางก็ฟ้องให้เปิดทางได้ โดยไม่ต้องเสนอใช้ค่าทดแทนก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 845

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842 - 845/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 525, 1473 (3), 1486

โจทก์เป็นภรรยาของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 เป็นบุตรของจำเลยที่ 1 เกิดกับภริยาคนก่อนซึ่งมิได้จดทะเบียนสมรสและเลิกร้างกันไปแล้วส่วนจำเลยที่ 3 ถึงที่ 7 เป็นบุตรของโจทก์กับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมยกที่ดินให้บุตรเหล่านี้ทุกคนโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์เป็นหนังสือ ที่ดินมีโฉนดอันเป็นสินสมรสที่จำเลยที่ 1 ยกให้จำเลยที่ 2 นั้นมีเนื้อที่เพียง 65 ตารางวาจำเลยที่ 2 เป็นบุตรของจำเลยที่ 1 ผู้ให้เอง และได้สมรสแยกครอบครัวไปอยู่ต่างหากแล้ว และไม่ปรากฏว่าขณะที่ยกให้นั้น จำเลยที่ 1 ไม่มีหลักทรัพย์อันมีค่าอย่างอื่นอีก ถือได้ว่าเป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีฯ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473(3) จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิให้ได้ (อ้างนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 524/2506)

ที่ดินตาม น.ส.3 อีกแปลงหนึ่งเป็นที่ดินที่มารดายกให้จำเลยที่ 1 โดยระบุไว้ว่าให้เป็นสินส่วนตัว แม้จะไม่ได้จดทะเบียนไว้ก็ไม่สำคัญเพราะขณะที่ยกให้นั้นยังไม่มีโฉนดหรือหนังสือสำคัญ (อ้างนัยคำพิพากษาฎีกาที่134/2513) จำเลยที่ 1 มีสิทธิยกให้จำเลยที่ 2 โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์

จำเลยที่ 1 ยกที่ดินมีโฉนดอันเป็นสินสมรสแปลงหนึ่งให้จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรของโจทก์กับจำเลยที่ 1 เองที่ดินแปลงนี้มีเนื้อที่เพียง 2 งานศษและเมื่อให้แล้วโจทก์กับจำเลยที่ 1 ยังมีทรัพย์ร่วมกันอีกมากถือได้ว่าเป็นการให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1473(3) โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอน ส่วนจำเลยที่1 ยังให้ที่ดินสินสมรสแก่จำเลยที่ 3 อีกแปลงหนึ่งแม้จะมีราคาเพียง 70,000 บาท แต่มีเนื้อที่ถึง 7 ไร่เศษและไม่จำเป็นต้องให้อีก เพราะได้ให้ไปแปลงหนึ่งแล้วถือไม่ได้ว่าเป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมดี และอาจทำให้ฐานะของโจทก์ตกต่ำลงได้ จึงสมควรเพิกถอนนิติกรรมการยกให้ที่ดินแปลงนี้

ส่วนที่จำเลยที่ 1 ยกที่ดินสินสมรสแปลงหนึ่งให้จำเลยที่ 7 โดยที่ได้ยกให้ไปสองแปลงแล้ว ถือว่าไม่เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีฯ จึงต้องเพิกถอนเช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 840

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 840/2518

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 60, 90

จำเลยยิง ม. 2 นัด นัดหนึ่งถูก ม. ไม่ตาย อีกนัดหนึ่งพลาดไปถูก พ. ตาย เป็นความผิดตาม มาตรา 288,60 กับ มาตรา 288,80 อีกบทหนึ่ง ลงโทษตาม มาตรา 288,60 ซึ่งเป็นบทหนัก

« »
ติดต่อเราทาง LINE