965-2.png
เผยแพร่เมื่อ: 2024-03-14

ในยุคดิจิทัลที่การทำธุรกรรมออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน การระวังตัวและรู้จักวิธีตรวจสอบเพื่อป้องกันการถูกหลอกลวงจึงเป็นทักษะสำคัญที่ทุกคนควรมี บทความนี้จะแนะนำวิธีการตรวจสอบและป้องกันการถูกโกงอย่างละเอียด พร้อมทั้งอ้างอิงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจสิทธิและการคุ้มครองตามกฎหมายอย่างครบถ้วน

ความสำคัญของการตรวจสอบมิจฉาชีพ

การตรวจสอบประวัติและความน่าเชื่อถือของบุคคลหรือองค์กรก่อนทำธุรกรรมถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ในประเทศไทย สถิติการหลอกลวงและฉ้อโกงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะการหลอกลวงผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ได้บัญญัติความผิดฐานฉ้อโกงไว้ว่า "ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง"

ทำไมการตรวจสอบข้อมูลถึงสำคัญ?

การตรวจสอบข้อมูลเป็นด่านแรกในการป้องกันตัวเองจากมิจฉาชีพ เนื่องจากปัจจุบันรูปแบบการหลอกลวงมีความซับซ้อนและแนบเนียนมากขึ้น ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 14 ได้กำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการหลอกลวงหรือฉ้อโกงประชาชน โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ การตรวจสอบข้อมูลจึงช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้

ในทางปฏิบัติ การตรวจสอบข้อมูลไม่เพียงช่วยป้องกันการสูญเสียทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 อีกด้วย

ความเสี่ยงที่เกิดจากการไม่ตรวจสอบก่อนทำธุรกรรม

การไม่ตรวจสอบก่อนทำธุรกรรมอาจนำมาซึ่งความเสียหายที่ร้ายแรง ทั้งด้านการเงินและข้อมูลส่วนบุคคล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 342 ยังได้กำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งมีโทษหนักกว่าการฉ้อโกงทั่วไป โดยระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นมีหลายรูปแบบ เช่น  การสูญเสียเงินจากการโอนให้มิจฉาชีพ ซึ่งมักจะติดตามคืนได้ยาก การถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวไปใช้ในทางมิชอบ หรือการถูกแอบอ้างตัวตนไปก่อหนี้หรือกระทำความผิด ซึ่งอาจส่งผลกระทบระยะยาวต่อความน่าเชื่อถือทางการเงินของผู้เสียหาย

ตัวอย่างกรณีผู้เสียหายจากการถูกโกง

ในปี พ.ศ. 2566 มีกรณีศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับการหลอกลวงผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยมีผู้เสียหายถูกหลอกให้ลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชันปลอม มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งคดีนี้อยู่ภายใต้การดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(1)

 

วิธีการตรวจสอบมิจฉาชีพออนไลน์

ในยุคดิจิทัล การตรวจสอบประวัติของบุคคลหรือผู้ประกอบการสามารถทำได้ผ่านหลายช่องทางออนไลน์ โดยแต่ละวิธีมีจุดเด่นและข้อจำกัดแตกต่างกัน การตรวจสอบควรทำหลายช่องทางประกอบกันเพื่อความแม่นยำ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการป้องกันอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 11 ที่ส่งเสริมให้ประชาชนใช้ความระมัดระวังในการทำธุรกรรมออนไลน์

1.การตรวจสอบผ่านเว็บไซต์ Blacklistseller

Blacklistseller เป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมข้อมูลของผู้ขายที่มีประวัติการฉ้อโกงหรือหลอกลวง โดยข้อมูลมาจากการรายงานของผู้เสียหายและการตรวจสอบโดยทีมงาน การใช้งานระบบนี้ได้รับการรับรองตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ในการเก็บรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูล ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลได้จากชื่อ เลขบัญชี หรือเบอร์โทรศัพท์ของผู้ขาย

2.วิธีใช้ เช็กก่อน.com เพื่อความปลอดภัย

เช็กก่อน.com เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยในการตรวจสอบประวัติการโกงออนไลน์ เว็บไซต์นี้ทำงานภายใต้กรอบของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 ที่เกี่ยวกับการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ระบบจะแสดงประวัติการร้องเรียน หลักฐานการโกง และความคิดเห็นจากผู้ที่เคยมีประสบการณ์ตรง

3.การตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ด้วยแอปพลิเคชัน Whoscall

Whoscall เป็นแอปพลิเคชันที่ช่วยระบุและคัดกรองเบอร์โทรศัพท์ต้องสงสัย โดยใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่และการรายงานจากผู้ใช้งานทั่วโลก การใช้งานแอปพลิเคชันนี้สอดคล้องกับมาตรการป้องกันการฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และ 342 ที่มุ่งเน้นการป้องกันก่อนเกิดเหตุ

4.การค้นหาข้อมูลผู้ต้องสงสัยผ่าน Google และโซเชียลมีเดีย

การสืบค้นข้อมูลผ่าน Google และโซเชียลมีเดียเป็นวิธีพื้นฐานแต่มีประสิทธิภาพในการตรวจสอบความน่าเชื่อถือ ควรตรวจสอบ 

ประวัติการโพสต์และกิจกรรมในโซเชียลมีเดีย รีวิวและความคิดเห็นจากผู้ที่เคยมีประสบการณ์ การมีตัวตนจริงของบุคคลหรือธุรกิจนั้น

อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบผ่านช่องทางออนไลน์ควรทำควบคู่กับการตรวจสอบผ่านหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) หรือสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อความแม่นยำและน่าเชื่อถือของข้อมูล

 

การตรวจสอบบัญชีธนาคารและหมายเลขโทรศัพท์

การตรวจสอบบัญชีธนาคารและหมายเลขโทรศัพท์เป็นขั้นตอนสำคัญในการป้องกันการถูกหลอกลวง ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 269 ได้กำหนดความผิดเกี่ยวกับการใช้บัญชีธนาคารในการกระทำความผิด โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

1.วิธีตรวจสอบบัญชีธนาคารที่มีประวัติการโกง

การตรวจสอบบัญชีธนาคารสามารถทำได้ผ่านหลายช่องทาง โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้ร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ในการสร้างระบบฐานข้อมูลบัญชีดำ ตาม พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 มาตรา 154 ที่ให้อำนาจในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อป้องกันการฉ้อโกง วิธีการตรวจสอบทำได้โดย 

  • ตรวจสอบผ่านศูนย์ข้อมูลการหลอกลวงของธนาคาร
  • สอบถามข้อมูลจากสายด่วนธนาคารแห่งประเทศไทย 1213
  • ตรวจสอบผ่านแอปพลิเคชันธนาคารที่มีระบบแจ้งเตือนบัญชีต้องสงสัย

2.การแจ้งเตือนสำหรับเบอร์โทรศัพท์ต้องสงสัย

การตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ต้องสงสัยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงาน กสทช. ตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 มาตรา 31 โดยมีระบบการแจ้งเตือนและป้องกันการหลอกลวงผ่านโทรศัพท์มือถือ ซึ่งประชาชนสามารถ 

  • ตรวจสอบเบอร์ผ่านระบบของ กสทช.
  • แจ้งเบาะแสเบอร์ต้องสงสัยผ่านสายด่วน 1200
  • ลงทะเบียนปฏิเสธการรับสายจากเบอร์ที่มีประวัติการหลอกลวง

3.การรวบรวมหลักฐานและข้อมูลเพิ่มเติม

การรวบรวมหลักฐานเป็นขั้นตอนสำคัญหากต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 และ มาตรา 226/1 ที่เกี่ยวกับการรับฟังพยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ ควรเก็บรวบรวม 

  1. หลักฐานการโอนเงินและธุรกรรมทางการเงิน
  2. บันทึกการสนทนาและข้อความติดต่อทั้งหมด
  3. ภาพถ่ายหน้าจอของการทำธุรกรรมหรือการติดต่อ
  4. ข้อมูลการระบุตัวตนของผู้ต้องสงสัย เช่น ชื่อ-นามสกุล เลขบัตรประชาชน

การเก็บหลักฐานควรทำอย่างเป็นระบบและปลอดภัย เพราะอาจต้องใช้ในกระบวนการทางกฎหมายต่อไป โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 หรือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14

 

เว็บไซต์และเครื่องมือที่ช่วยตรวจสอบมิจฉาชีพ

การใช้เครื่องมือออนไลน์ในการตรวจสอบมิจฉาชีพต้องดำเนินการภายใต้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 ซึ่งกำหนดกรอบการใช้งานและการแชร์ข้อมูลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

1.Blacklistseller.com  การทำงานและประโยชน์

Blacklistseller.com เป็นฐานข้อมูลที่รวบรวมประวัติผู้ขายที่มีพฤติกรรมหลอกลวง โดยระบบการทำงานได้รับการพัฒนาให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(1) เกี่ยวกับการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ระบบจะรวบรวมข้อมูลจาก 

  • การรายงานโดยผู้เสียหายที่มีหลักฐานชัดเจน
  • การตรวจสอบและยืนยันโดยทีมงาน
  • การแชร์ข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

2.เช็กก่อน.com  ความง่ายในการใช้งาน

เช็กก่อน.com พัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงการใช้งานที่ง่ายและสะดวก ตามแนวทางการคุ้มครองผู้บริโภคในพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 4 ที่ให้สิทธิผู้บริโภคในการได้รับข้อมูลที่เป็นความจริง ระบบมีฟีเจอร์สำคัญ 

  • การค้นหาด้วยเลขบัญชี เบอร์โทรศัพท์ หรือชื่อ
  • การแสดงประวัติการร้องเรียนและหลักฐาน
  • ระบบแจ้งเตือนเมื่อมีการรายงานใหม่

3.Whoscall และ Truecaller  การป้องกันเบื้องต้นจากการถูกหลอก

แอปพลิเคชัน Whoscall และ Truecaller เป็นเครื่องมือที่ช่วยระบุและป้องกันสายหลอกลวง โดยการทำงานอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มาตรา 24 เกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ความสามารถหลักประกอบด้วย 

  • การระบุที่มาของสายเรียกเข้า
  • การแจ้งเตือนเบอร์ต้องสงสัย
  • การบล็อกสายที่มีประวัติการหลอกลวง

4.การใช้งานแอปพลิเคชันธนาคารในการตรวจสอบ

ธนาคารพาณิชย์ได้พัฒนาระบบตรวจสอบการโอนเงินที่น่าสงสัยตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องมาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศในการประกอบธุรกิจ ระบบสามารถ 

  • ตรวจจับธุรกรรมที่ผิดปกติ
  • แจ้งเตือนเมื่อพบการโอนเงินไปยังบัญชีที่มีประวัติการหลอกลวง
  • ชะลอการทำธุรกรรมที่น่าสงสัยเพื่อให้ลูกค้าตรวจสอบ

 

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงในประเทศไทย

กฎหมายไทยมีบทบัญญัติหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกง ทั้งในรูปแบบดั้งเดิมและทางออนไลน์ โดยมีการปรับปรุงให้ทันสมัยและครอบคลุมรูปแบบการหลอกลวงที่ซับซ้อนมากขึ้น

บทลงโทษทางกฎหมายสำหรับผู้กระทำความผิดฐานฉ้อโกง

ประมวลกฎหมายอาญาได้กำหนดบทลงโทษสำหรับการฉ้อโกงไว้หลายมาตรา 

มาตรา 341  ความผิดฐานฉ้อโกงทั่วไป มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 342  ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 343  ความผิดฐานฉ้อโกงด้วยการแสดงตนเป็นคนอื่น มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน - 7 ปี หรือปรับตั้งแต่ 10,000 บาท ไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

กฎหมายอาญามาตราที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกง

นอกจากมาตราหลักเกี่ยวกับการฉ้อโกงแล้ว ยังมีมาตราอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง 

มาตรา 269/5  ความผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ มาตรา 334  ความผิดฐานลักทรัพย์โดยใช้เทคโนโลยี มาตรา 335  ความผิดฐานลักทรัพย์โดยแสดงตนเป็นเจ้าพนักงาน

พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์กับการฉ้อโกงออนไลน์

พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มีบทบัญญัติสำคัญ 

มาตรา 14(1)  ห้ามนำเข้าข้อมูลเท็จที่ก่อให้เกิดความเสียหาย มาตรา 14(2)  ห้ามนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคง มาตรา 14(3)  ห้ามนำเข้าข้อมูลอันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร มาตรา 14(4)  ห้ามนำเข้าข้อมูลที่มีลักษณะลามกและประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ มาตรา 14(5)  ห้ามเผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลตาม (1) (2) (3) หรือ (4)

โทษตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์สำหรับการฉ้อโกงออนไลน์มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

การบังคับใช้กฎหมายเหล่านี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานต่างๆ เช่น กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

 

 

วิธีป้องกันตัวเองจากการถูกโกง

การป้องกันตัวเองจากการถูกโกงเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้บริโภคตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 4 ที่ให้สิทธิในการได้รับความปลอดภัยและความเป็นธรรมในการทำธุรกรรม

เทคนิคป้องกันการถูกหลอกในชีวิตประจำวัน

การป้องกันการถูกหลอกในชีวิตประจำวันต้องอาศัยความระมัดระวังและการตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ ตามหลักการในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 368 ว่าด้วยการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิด การป้องกันที่สำคัญประกอบด้วย 

  • ไม่โอนเงินให้บุคคลที่ไม่รู้จักหรือไม่สามารถตรวจสอบตัวตนได้
  • ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารและหลักฐานทางธุรกรรมทุกครั้ง
  • ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวหรือรหัสผ่านให้บุคคลอื่น
  • ระมัดระวังการทำธุรกรรมที่มีข้อเสนอที่ดีเกินจริง

การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ขายที่ไม่น่าไว้ใจ

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 การแสดงข้อความอันเป็นเท็จถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของการฉ้อโกง ดังนั้นควรสังเกตพฤติกรรมต่อไปนี้ 

  1. การเร่งรัดให้ตัดสินใจเร็วเกินไป
  2. ไม่มีที่อยู่หรือช่องทางติดต่อที่ชัดเจน
  3. ราคาสินค้าต่ำกว่าท้องตลาดมากผิดปกติ
  4. ปฏิเสธการพบหน้าหรือการตรวจสอบสินค้า

การตรวจสอบข้อมูลที่ให้ความน่าเชื่อถือ

การตรวจสอบข้อมูลควรทำผ่านแหล่งที่น่าเชื่อถือตามที่ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 กำหนด ได้แก่

  • เว็บไซต์ของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง
  • ฐานข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
  • ระบบตรวจสอบของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
  • ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนของธนาคารแห่งประเทศไทย

นอกจากนี้ ควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลจากหลายแหล่งและพิจารณาความน่าเชื่อถือของแต่ละแหล่งข้อมูลประกอบกัน ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ที่กำหนดให้การประมวลผลข้อมูลต้องมีความถูกต้องและเป็นปัจจุบัน

 

เทคนิคการสังเกตรูปแบบการหลอกลวงใหม่ๆ

การหลอกลวงในปัจจุบันมีความซับซ้อนและพัฒนาอย่างรวดเร็ว ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341/1 ได้เพิ่มเติมความผิดเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีในการหลอกลวง โดยมีโทษหนักขึ้นกว่าการฉ้อโกงทั่วไป

รูปแบบการหลอกลวงผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร

ปัจจุบันมีการหลอกลวงผ่านแอปพลิเคชันธนาคารหลายรูปแบบ ซึ่งอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ระบบการชำระเงิน พ.ศ. 2560 โดยมีวิธีการที่พบบ่อย 

  • การส่ง SMS หลอกให้กรอกข้อมูลในเว็บไซต์ปลอม
  • การหลอกให้ยืนยันตัวตนผ่าน OTP
  • การแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร
  • การส่งลิงก์หลอกให้ติดตั้งแอปพลิเคชันปลอม

การหลอกลวงผ่านการลงทุนและสกุลเงินดิจิทัล

ตาม พ.ร.บ.สินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 และประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ได้กำหนดกรอบการกำกับดูแลการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ยังพบการหลอกลวงในรูปแบบ 

  • การเสนอผลตอบแทนสูงเกินจริง
  • การสร้างแพลตฟอร์มการลงทุนปลอม
  • การหลอกให้ลงทุนในโครงการที่ไม่มีอยู่จริง
  • การสวมรอยเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ

การหลอกลวงผ่านการสวมรอยเป็นหน่วยงานราชการ

การสวมรอยเป็นเจ้าพนักงานถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 145 และ 146 พบรูปแบบการหลอกลวง 

  • การแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือ DSI
  • การหลอกว่ามีคดีความหรือการฟอกเงิน
  • การขู่ว่าจะอายัดบัญชีหรือจับกุม
  • การส่งเอกสารราชการปลอมเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

การป้องกันต้องอาศัยความระมัดระวังและการตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง โดยเฉพาะเมื่อมีการร้องขอข้อมูลส่วนตัวหรือการโอนเงิน

 

การแจ้งเบาะแสและรายงานมิจฉาชีพ

การแจ้งเบาะแสและรายงานมิจฉาชีพเป็นสิทธิตามกฎหมายที่ประชาชนสามารถดำเนินการได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(7) ที่ให้สิทธิผู้เสียหายในการร้องทุกข์เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด

ขั้นตอนการแจ้งความผ่านช่องทางออนไลน์

การแจ้งความออนไลน์สามารถทำได้ตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 โดยมีขั้นตอนดังนี้ 

  1. เข้าสู่ระบบแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
  2. กรอกข้อมูลส่วนตัวและรายละเอียดการถูกหลอกลวง
  3. แนบหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น 
    • หลักฐานการโอนเงิน
    • ภาพหน้าจอการสนทนา
    • เอกสารยืนยันตัวตน
  4. รอรับหมายเลขคดีและการติดต่อกลับจากเจ้าหน้าที่

วิธีการส่งข้อมูลไปยังศูนย์ปราบปรามอาชญากรรม

การส่งข้อมูลไปยังศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เป็นไปตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 18 ที่ให้อำนาจในการสืบสวนสอบสวนคดีเกี่ยวกับการหลอกลวงทางออนไลน์ สามารถดำเนินการได้ผ่าน 

  • สายด่วน 1599
  • เว็บไซต์ทางการของ บก.ปอท.
  • อีเมลแจ้งเบาะแส
  • แอปพลิเคชัน Police i lert u

การป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อแจ้งเบาะแส

การแจ้งเบาะแสต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มาตรา 19 โดยควรระวัง 

  • ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวที่ไม่จำเป็น
  • ใช้ช่องทางการสื่อสารที่ปลอดภัย
  • เก็บบันทึกการแจ้งเบาะแสไว้เป็นหลักฐาน
  • ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของช่องทางการแจ้งเบาะแส

ผู้แจ้งเบาะแสจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย และข้อมูลจะถูกเก็บเป็นความลับโดยหน่วยงานที่รับแจ้ง

 

กรณีตัวอย่างของการถูกโกง

การศึกษากรณีตัวอย่างช่วยให้เข้าใจรูปแบบการหลอกลวงและวิธีการป้องกัน โดยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ถึง 348 ได้ระบุลักษณะการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงไว้หลายรูปแบบ

การหลอกลวงผ่านการซื้อขายออนไลน์

กรณีศึกษาที่พบบ่อยตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 

  1. กรณีร้านค้าปลอมบนโซเชียลมีเดีย 
  • มูลค่าความเสียหาย  500,000 บาท
  • วิธีการหลอกลวง  สร้างร้านค้าออนไลน์ปลอม โพสต์รูปสินค้าราคาถูก
  • การดำเนินคดี  ผู้กระทำผิดถูกจับกุมตามมาตรา 341 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
  1. กรณีหลอกขายสินค้าแบรนด์เนม 
  • มูลค่าความเสียหาย  2,000,000 บาท
  • วิธีการหลอกลวง  อ้างว่านำเข้าสินค้าแบรนด์เนมราคาถูก
  • ผลคดี  ศาลพิพากษาจำคุก 5 ปี ตามมาตรา 343

การหลอกลวงผ่านแอปพลิเคชันโซเชียลมีเดีย

กรณีที่เกิดขึ้นภายใต้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(1) 

  1. การหลอกผ่าน Romance Scam 
  • รูปแบบ  แอบอ้างเป็นชาวต่างชาติ สร้างความสัมพันธ์ก่อนหลอกเงิน
  • วิธีป้องกัน  ไม่โอนเงินให้คนที่รู้จักผ่านโซเชียลมีเดียเท่านั้น
  • กฎหมายที่เกี่ยวข้อง  มาตรา 341, 342 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
  1. การหลอกลงทุนออนไลน์ 
  • รูปแบบ  สร้างแพลตฟอร์มลงทุนปลอม หลอกให้โอนเงินลงทุน
  • การดำเนินคดี  ผู้เสียหายสามารถแจ้งความดำเนินคดีได้ทั้งทางแพ่งและอาญา

กรณีตัวอย่างที่มีผู้เสียหายรายใหญ่

กรณีที่สร้างความเสียหายในวงกว้างตามมาตรา 342 เรื่องการฉ้อโกงประชาชน 

  1. คดีแชร์ลูกโซ่ออนไลน์ 
  • มูลค่าความเสียหาย  500 ล้านบาท
  • จำนวนผู้เสียหาย  มากกว่า 5,000 ราย
  • การดำเนินคดี  ดำเนินคดีทั้งผู้กระทำผิดและผู้สมรู้ร่วมคิด
  1. คดีหลอกลงทุนคริปโทเคอร์เรนซี 
  • ความเสียหาย  2,000 ล้านบาท
  • วิธีการหลอกลวง  อ้างผลตอบแทนสูง สร้างระบบซื้อขายปลอม
  • บทลงโทษ  จำคุก 10 ปี ปรับ 1 ล้านบาท ตาม พ.ร.บ.สินทรัพย์ดิจิทัล

 

อ่านคำปรึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ โดนโกง ได้ที่นี่

 

การป้องกันการโกงในยุคดิจิทัล

การรับมือกับการหลอกลวงในยุคดิจิทัลต้องอาศัยความรู้และเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยต้องดำเนินการภายใต้กรอบของ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 ที่มุ่งเน้นการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์

การใช้งานเทคโนโลยีเพื่อตรวจสอบมิจฉาชีพ

เทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยในการตรวจจับและป้องกันการหลอกลวง ตาม พ.ร.บ.ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ได้กำหนดมาตรฐานความปลอดภัยในการทำธุรกรรมออนไลน์ โดยมีเทคโนโลยีที่ช่วยในการป้องกัน 

  • ระบบยืนยันตัวตนแบบสองชั้น (Two-Factor Authentication)
  • เทคโนโลยีการตรวจจับการทุจริต (Fraud Detection)
  • ระบบการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้งาน (User Behavior Analytics)
  • ระบบตรวจสอบความปลอดภัยของเว็บไซต์

การป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลบนแพลตฟอร์มออนไลน์

การป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มาตรา 37 ที่กำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ควรดำเนินการดังนี้ 

  1. การจัดการรหัสผ่าน 
    • ใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อน
    • เปลี่ยนรหัสผ่านอย่างสม่ำเสมอ
    • ไม่ใช้รหัสผ่านซ้ำระหว่างบัญชี
  2. การรักษาความปลอดภัยของอุปกรณ์ 
    • ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัส
    • อัพเดทระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชันเสมอ
    • เปิดใช้งานไฟร์วอลล์

กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศไทย

พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ได้กำหนดสิทธิของผู้บริโภคและหน้าที่ของผู้ประกอบการ ดังนี้ 

  1. สิทธิที่จะได้รับข่าวสารและคำพรรณนาที่ถูกต้อง
  2. สิทธิที่จะมีอิสระในการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการ
  3. สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าหรือบริการ
  4. สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญา

 

การสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน

การสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินเป็นมาตรการสำคัญในการป้องกันการถูกหลอกลวง โดยต้องดำเนินการภายใต้กรอบของ พ.ร.บ.สถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคทางการเงิน

การวางแผนการเงินเพื่อป้องกันการถูกหลอก

ตามแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทยและสำนักงาน ก.ล.ต. ได้กำหนดหลักการวางแผนการเงินที่ปลอดภัย 

  1. การบริหารเงินฉุกเฉิน
  • จัดสรรเงินสำรองอย่างน้อย 3-6 เดือนของรายจ่าย
  • แยกบัญชีเงินฉุกเฉินออกจากบัญชีใช้จ่ายประจำวัน
  • กำหนดวงเงินการโอนต่อวันที่เหมาะสม
  1. การตรวจสอบธุรกรรมการเงิน
  • ตรวจสอบรายการเคลื่อนไหวในบัญชีอย่างสม่ำเสมอ
  • ตั้งการแจ้งเตือน SMS สำหรับทุกธุรกรรม
  • เก็บหลักฐานการทำธุรกรรมทุกครั้ง

การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของการลงทุน

ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 14 กำหนดให้การระดมทุนต้องได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ควรตรวจสอบ 

  1. ใบอนุญาตและการจดทะเบียนที่ถูกต้อง
  2. ประวัติและความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการ
  3. เงื่อนไขและความเสี่ยงของการลงทุน
  4. ความสมเหตุสมผลของผลตอบแทน

การรู้เท่าทันกลโกงทางการเงิน

การรู้เท่าทันกลโกงทางการเงินต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยแนะนำ 

  1. หลักการพื้นฐานในการป้องกัน 
  • ไม่หลงเชื่อผลตอบแทนที่สูงผิดปกติ
  • ตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลการลงทุน
  • ศึกษาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจลงทุน
  1. การระวังรูปแบบการหลอกลวงใหม่ๆ 
  • แชร์ลูกโซ่ดิจิทัล
  • การลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลปลอม
  • การหลอกลงทุนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์
  • การสวมรอยเป็นที่ปรึกษาการลงทุน

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตรวจสอบมิจฉาชีพ

การทำความเข้าใจกับคำถามที่พบบ่อยจะช่วยให้ประชาชนเข้าใจกระบวนการตรวจสอบและป้องกันการถูกหลอกลวงได้ดียิ่งขึ้น โดยต้องปฏิบัติตามกรอบของ พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

1.การตรวจสอบมิจฉาชีพใช้เวลานานแค่ไหน?

ระยะเวลาในการตรวจสอบขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 131 กำหนดให้พนักงานสอบสวนต้องรวบรวมพยานหลักฐานทุกชนิดอย่างรวดเร็ว โดยทั่วไป 

  1. การตรวจสอบเบื้องต้น 
  • ตรวจสอบผ่านฐานข้อมูลออนไลน์  5-15 นาที
  • ตรวจสอบกับหน่วยงานราชการ  1-3 วันทำการ
  • การตรวจสอบประวัติบัญชีธนาคาร  1-7 วันทำการ
  1. การตรวจสอบเชิงลึก 
  • การสืบสวนโดยเจ้าหน้าที่  15-30 วัน
  • การรวบรวมพยานหลักฐาน  ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของคดี

2.ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าข้อมูลปลอดภัย?

การตรวจสอบความปลอดภัยของข้อมูลต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 โดยมีแนวทางดังนี้ 

  1. การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล 
  • เว็บไซต์มีใบรับรองความปลอดภัย (SSL Certificate)
  • มีนโยบายความเป็นส่วนตัวที่ชัดเจน
  • มีช่องทางติดต่อที่เชื่อถือได้
  1. การป้องกันข้อมูลส่วนบุคคล 
  • ใช้ระบบยืนยันตัวตนสองชั้น
  • เข้าใช้งานผ่านเครือข่ายที่ปลอดภัย
  • หลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลที่ไม่จำเป็น

3.แจ้งเบาะแสมิจฉาชีพแล้วจะมีผลอย่างไร?

การแจ้งเบาะแสมิจฉาชีพจะดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(7) โดยมีผลดังนี้

  1. ผลทางกฎหมาย 
  • เจ้าหน้าที่จะเริ่มการสืบสวนสอบสวน
  • มีการรวบรวมพยานหลักฐาน
  • ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม
  1. การคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส 
  • ข้อมูลผู้แจ้งจะถูกเก็บเป็นความลับ
  • ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย
  • มีสิทธิติดตามความคืบหน้าของคดี

 

สรุปและข้อคิดเกี่ยวกับการตรวจสอบมิจฉาชีพ

การป้องกันการถูกหลอกลวงและการตรวจสอบมิจฉาชีพเป็นสิ่งสำคัญในยุคดิจิทัล ซึ่งตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ได้รับรองสิทธิของผู้บริโภคในการได้รับความคุ้มครองและความเป็นธรรมในการทำธุรกรรม

การป้องกันคือทางเลือกที่ดีที่สุด

การป้องกันตนเองจากมิจฉาชีพเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด ตามหลักการของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 ที่เน้นการป้องกันและระวังภัยทางไซเบอร์ โดยสรุปแนวทางสำคัญ 

  1. การเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจ 
  • ศึกษารูปแบบการหลอกลวงใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ
  • ติดตามข่าวสารและคำเตือนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  • แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้อื่น
  1. การสร้างนิสัยการตรวจสอบ 
  • ตรวจสอบข้อมูลก่อนทำธุรกรรมทุกครั้ง
  • เก็บหลักฐานการทำธุรกรรมอย่างเป็นระบบ
  • ใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีในการป้องกัน

บทบาทของสังคมในการป้องกันการโกง

สังคมมีส่วนสำคัญในการป้องกันการหลอกลวง ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่มุ่งคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน โดย 

  1. การสร้างเครือข่ายเฝ้าระวัง 
  • แจ้งเตือนภัยในชุมชน
  • แบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์
  • สนับสนุนการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  1. การให้ความร่วมมือกับภาครัฐ 
  • รายงานกรณีการหลอกลวงที่พบเห็น
  • ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบสวน
  • มีส่วนร่วมในการรณรงค์ป้องกันการหลอกลวง

การป้องกันและตรวจสอบมิจฉาชีพเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อสร้างสังคมที่ปลอดภัยและเป็นธรรมสำหรับทุกคน โดยต้องอาศัยความร่วมมือและความตระหนักรู้ของทุกฝ่าย ควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดและมีประสิทธิภาพ

 

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
sanook ข่าวสด มติชน spring
cta
ปรึกษาทนาย 24 ชั่วโมง
“ ได้รับคำตอบทันที ! “
ติดต่อเราทาง LINE