
ในยุคดิจิทัลที่การทำธุรกรรมออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน การระวังตัวและรู้จักวิธีตรวจสอบเพื่อป้องกันการถูกหลอกลวงจึงเป็นทักษะสำคัญที่ทุกคนควรมี บทความนี้จะแนะนำวิธีการตรวจสอบและป้องกันการถูกโกงอย่างละเอียด พร้อมทั้งอ้างอิงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจสิทธิและการคุ้มครองตามกฎหมายอย่างครบถ้วน
ความสำคัญของการตรวจสอบมิจฉาชีพ
การตรวจสอบประวัติและความน่าเชื่อถือของบุคคลหรือองค์กรก่อนทำธุรกรรมถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ในประเทศไทย สถิติการหลอกลวงและฉ้อโกงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะการหลอกลวงผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ได้บัญญัติความผิดฐานฉ้อโกงไว้ว่า "ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง"
ทำไมการตรวจสอบข้อมูลถึงสำคัญ?
การตรวจสอบข้อมูลเป็นด่านแรกในการป้องกันตัวเองจากมิจฉาชีพ เนื่องจากปัจจุบันรูปแบบการหลอกลวงมีความซับซ้อนและแนบเนียนมากขึ้น ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 14 ได้กำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการหลอกลวงหรือฉ้อโกงประชาชน โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ การตรวจสอบข้อมูลจึงช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้
ในทางปฏิบัติ การตรวจสอบข้อมูลไม่เพียงช่วยป้องกันการสูญเสียทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 อีกด้วย
ความเสี่ยงที่เกิดจากการไม่ตรวจสอบก่อนทำธุรกรรม
การไม่ตรวจสอบก่อนทำธุรกรรมอาจนำมาซึ่งความเสียหายที่ร้ายแรง ทั้งด้านการเงินและข้อมูลส่วนบุคคล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 342 ยังได้กำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งมีโทษหนักกว่าการฉ้อโกงทั่วไป โดยระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นมีหลายรูปแบบ เช่น การสูญเสียเงินจากการโอนให้มิจฉาชีพ ซึ่งมักจะติดตามคืนได้ยาก การถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวไปใช้ในทางมิชอบ หรือการถูกแอบอ้างตัวตนไปก่อหนี้หรือกระทำความผิด ซึ่งอาจส่งผลกระทบระยะยาวต่อความน่าเชื่อถือทางการเงินของผู้เสียหาย
ตัวอย่างกรณีผู้เสียหายจากการถูกโกง
ในปี พ.ศ. 2566 มีกรณีศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับการหลอกลวงผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยมีผู้เสียหายถูกหลอกให้ลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชันปลอม มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งคดีนี้อยู่ภายใต้การดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(1)
วิธีการตรวจสอบมิจฉาชีพออนไลน์
ในยุคดิจิทัล การตรวจสอบประวัติของบุคคลหรือผู้ประกอบการสามารถทำได้ผ่านหลายช่องทางออนไลน์ โดยแต่ละวิธีมีจุดเด่นและข้อจำกัดแตกต่างกัน การตรวจสอบควรทำหลายช่องทางประกอบกันเพื่อความแม่นยำ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการป้องกันอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 11 ที่ส่งเสริมให้ประชาชนใช้ความระมัดระวังในการทำธุรกรรมออนไลน์
1.การตรวจสอบผ่านเว็บไซต์ Blacklistseller
Blacklistseller เป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมข้อมูลของผู้ขายที่มีประวัติการฉ้อโกงหรือหลอกลวง โดยข้อมูลมาจากการรายงานของผู้เสียหายและการตรวจสอบโดยทีมงาน การใช้งานระบบนี้ได้รับการรับรองตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ในการเก็บรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูล ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลได้จากชื่อ เลขบัญชี หรือเบอร์โทรศัพท์ของผู้ขาย
2.วิธีใช้ เช็กก่อน.com เพื่อความปลอดภัย
เช็กก่อน.com เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยในการตรวจสอบประวัติการโกงออนไลน์ เว็บไซต์นี้ทำงานภายใต้กรอบของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 ที่เกี่ยวกับการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ระบบจะแสดงประวัติการร้องเรียน หลักฐานการโกง และความคิดเห็นจากผู้ที่เคยมีประสบการณ์ตรง
3.การตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ด้วยแอปพลิเคชัน Whoscall
Whoscall เป็นแอปพลิเคชันที่ช่วยระบุและคัดกรองเบอร์โทรศัพท์ต้องสงสัย โดยใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่และการรายงานจากผู้ใช้งานทั่วโลก การใช้งานแอปพลิเคชันนี้สอดคล้องกับมาตรการป้องกันการฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และ 342 ที่มุ่งเน้นการป้องกันก่อนเกิดเหตุ
4.การค้นหาข้อมูลผู้ต้องสงสัยผ่าน Google และโซเชียลมีเดีย
การสืบค้นข้อมูลผ่าน Google และโซเชียลมีเดียเป็นวิธีพื้นฐานแต่มีประสิทธิภาพในการตรวจสอบความน่าเชื่อถือ ควรตรวจสอบ
ประวัติการโพสต์และกิจกรรมในโซเชียลมีเดีย รีวิวและความคิดเห็นจากผู้ที่เคยมีประสบการณ์ การมีตัวตนจริงของบุคคลหรือธุรกิจนั้น
อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบผ่านช่องทางออนไลน์ควรทำควบคู่กับการตรวจสอบผ่านหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) หรือสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อความแม่นยำและน่าเชื่อถือของข้อมูล
การตรวจสอบบัญชีธนาคารและหมายเลขโทรศัพท์
การตรวจสอบบัญชีธนาคารและหมายเลขโทรศัพท์เป็นขั้นตอนสำคัญในการป้องกันการถูกหลอกลวง ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 269 ได้กำหนดความผิดเกี่ยวกับการใช้บัญชีธนาคารในการกระทำความผิด โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
1.วิธีตรวจสอบบัญชีธนาคารที่มีประวัติการโกง
การตรวจสอบบัญชีธนาคารสามารถทำได้ผ่านหลายช่องทาง โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้ร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ในการสร้างระบบฐานข้อมูลบัญชีดำ ตาม พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 มาตรา 154 ที่ให้อำนาจในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อป้องกันการฉ้อโกง วิธีการตรวจสอบทำได้โดย
- ตรวจสอบผ่านศูนย์ข้อมูลการหลอกลวงของธนาคาร
- สอบถามข้อมูลจากสายด่วนธนาคารแห่งประเทศไทย 1213
- ตรวจสอบผ่านแอปพลิเคชันธนาคารที่มีระบบแจ้งเตือนบัญชีต้องสงสัย
2.การแจ้งเตือนสำหรับเบอร์โทรศัพท์ต้องสงสัย
การตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ต้องสงสัยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงาน กสทช. ตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 มาตรา 31 โดยมีระบบการแจ้งเตือนและป้องกันการหลอกลวงผ่านโทรศัพท์มือถือ ซึ่งประชาชนสามารถ
- ตรวจสอบเบอร์ผ่านระบบของ กสทช.
- แจ้งเบาะแสเบอร์ต้องสงสัยผ่านสายด่วน 1200
- ลงทะเบียนปฏิเสธการรับสายจากเบอร์ที่มีประวัติการหลอกลวง
3.การรวบรวมหลักฐานและข้อมูลเพิ่มเติม
การรวบรวมหลักฐานเป็นขั้นตอนสำคัญหากต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 และ มาตรา 226/1 ที่เกี่ยวกับการรับฟังพยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ ควรเก็บรวบรวม
- หลักฐานการโอนเงินและธุรกรรมทางการเงิน
- บันทึกการสนทนาและข้อความติดต่อทั้งหมด
- ภาพถ่ายหน้าจอของการทำธุรกรรมหรือการติดต่อ
- ข้อมูลการระบุตัวตนของผู้ต้องสงสัย เช่น ชื่อ-นามสกุล เลขบัตรประชาชน
การเก็บหลักฐานควรทำอย่างเป็นระบบและปลอดภัย เพราะอาจต้องใช้ในกระบวนการทางกฎหมายต่อไป โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 หรือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14
เว็บไซต์และเครื่องมือที่ช่วยตรวจสอบมิจฉาชีพ
การใช้เครื่องมือออนไลน์ในการตรวจสอบมิจฉาชีพต้องดำเนินการภายใต้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 ซึ่งกำหนดกรอบการใช้งานและการแชร์ข้อมูลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
1.Blacklistseller.com การทำงานและประโยชน์
Blacklistseller.com เป็นฐานข้อมูลที่รวบรวมประวัติผู้ขายที่มีพฤติกรรมหลอกลวง โดยระบบการทำงานได้รับการพัฒนาให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(1) เกี่ยวกับการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ระบบจะรวบรวมข้อมูลจาก
- การรายงานโดยผู้เสียหายที่มีหลักฐานชัดเจน
- การตรวจสอบและยืนยันโดยทีมงาน
- การแชร์ข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2.เช็กก่อน.com ความง่ายในการใช้งาน
เช็กก่อน.com พัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงการใช้งานที่ง่ายและสะดวก ตามแนวทางการคุ้มครองผู้บริโภคในพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 4 ที่ให้สิทธิผู้บริโภคในการได้รับข้อมูลที่เป็นความจริง ระบบมีฟีเจอร์สำคัญ
- การค้นหาด้วยเลขบัญชี เบอร์โทรศัพท์ หรือชื่อ
- การแสดงประวัติการร้องเรียนและหลักฐาน
- ระบบแจ้งเตือนเมื่อมีการรายงานใหม่
3.Whoscall และ Truecaller การป้องกันเบื้องต้นจากการถูกหลอก
แอปพลิเคชัน Whoscall และ Truecaller เป็นเครื่องมือที่ช่วยระบุและป้องกันสายหลอกลวง โดยการทำงานอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มาตรา 24 เกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ความสามารถหลักประกอบด้วย
- การระบุที่มาของสายเรียกเข้า
- การแจ้งเตือนเบอร์ต้องสงสัย
- การบล็อกสายที่มีประวัติการหลอกลวง
4.การใช้งานแอปพลิเคชันธนาคารในการตรวจสอบ
ธนาคารพาณิชย์ได้พัฒนาระบบตรวจสอบการโอนเงินที่น่าสงสัยตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องมาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศในการประกอบธุรกิจ ระบบสามารถ
- ตรวจจับธุรกรรมที่ผิดปกติ
- แจ้งเตือนเมื่อพบการโอนเงินไปยังบัญชีที่มีประวัติการหลอกลวง
- ชะลอการทำธุรกรรมที่น่าสงสัยเพื่อให้ลูกค้าตรวจสอบ
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงในประเทศไทย
กฎหมายไทยมีบทบัญญัติหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกง ทั้งในรูปแบบดั้งเดิมและทางออนไลน์ โดยมีการปรับปรุงให้ทันสมัยและครอบคลุมรูปแบบการหลอกลวงที่ซับซ้อนมากขึ้น
บทลงโทษทางกฎหมายสำหรับผู้กระทำความผิดฐานฉ้อโกง
ประมวลกฎหมายอาญาได้กำหนดบทลงโทษสำหรับการฉ้อโกงไว้หลายมาตรา
มาตรา 341 ความผิดฐานฉ้อโกงทั่วไป มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 342 ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 343 ความผิดฐานฉ้อโกงด้วยการแสดงตนเป็นคนอื่น มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน - 7 ปี หรือปรับตั้งแต่ 10,000 บาท ไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
กฎหมายอาญามาตราที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกง
นอกจากมาตราหลักเกี่ยวกับการฉ้อโกงแล้ว ยังมีมาตราอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
มาตรา 269/5 ความผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ มาตรา 334 ความผิดฐานลักทรัพย์โดยใช้เทคโนโลยี มาตรา 335 ความผิดฐานลักทรัพย์โดยแสดงตนเป็นเจ้าพนักงาน
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์กับการฉ้อโกงออนไลน์
พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มีบทบัญญัติสำคัญ
มาตรา 14(1) ห้ามนำเข้าข้อมูลเท็จที่ก่อให้เกิดความเสียหาย มาตรา 14(2) ห้ามนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคง มาตรา 14(3) ห้ามนำเข้าข้อมูลอันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร มาตรา 14(4) ห้ามนำเข้าข้อมูลที่มีลักษณะลามกและประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ มาตรา 14(5) ห้ามเผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลตาม (1) (2) (3) หรือ (4)
โทษตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์สำหรับการฉ้อโกงออนไลน์มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
การบังคับใช้กฎหมายเหล่านี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานต่างๆ เช่น กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
วิธีป้องกันตัวเองจากการถูกโกง
การป้องกันตัวเองจากการถูกโกงเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้บริโภคตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 4 ที่ให้สิทธิในการได้รับความปลอดภัยและความเป็นธรรมในการทำธุรกรรม
เทคนิคป้องกันการถูกหลอกในชีวิตประจำวัน
การป้องกันการถูกหลอกในชีวิตประจำวันต้องอาศัยความระมัดระวังและการตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ ตามหลักการในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 368 ว่าด้วยการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิด การป้องกันที่สำคัญประกอบด้วย
- ไม่โอนเงินให้บุคคลที่ไม่รู้จักหรือไม่สามารถตรวจสอบตัวตนได้
- ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารและหลักฐานทางธุรกรรมทุกครั้ง
- ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวหรือรหัสผ่านให้บุคคลอื่น
- ระมัดระวังการทำธุรกรรมที่มีข้อเสนอที่ดีเกินจริง
การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ขายที่ไม่น่าไว้ใจ
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 การแสดงข้อความอันเป็นเท็จถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของการฉ้อโกง ดังนั้นควรสังเกตพฤติกรรมต่อไปนี้
- การเร่งรัดให้ตัดสินใจเร็วเกินไป
- ไม่มีที่อยู่หรือช่องทางติดต่อที่ชัดเจน
- ราคาสินค้าต่ำกว่าท้องตลาดมากผิดปกติ
- ปฏิเสธการพบหน้าหรือการตรวจสอบสินค้า
การตรวจสอบข้อมูลที่ให้ความน่าเชื่อถือ
การตรวจสอบข้อมูลควรทำผ่านแหล่งที่น่าเชื่อถือตามที่ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 กำหนด ได้แก่
- เว็บไซต์ของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง
- ฐานข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
- ระบบตรวจสอบของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
- ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนของธนาคารแห่งประเทศไทย
นอกจากนี้ ควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลจากหลายแหล่งและพิจารณาความน่าเชื่อถือของแต่ละแหล่งข้อมูลประกอบกัน ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ที่กำหนดให้การประมวลผลข้อมูลต้องมีความถูกต้องและเป็นปัจจุบัน
เทคนิคการสังเกตรูปแบบการหลอกลวงใหม่ๆ
การหลอกลวงในปัจจุบันมีความซับซ้อนและพัฒนาอย่างรวดเร็ว ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341/1 ได้เพิ่มเติมความผิดเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีในการหลอกลวง โดยมีโทษหนักขึ้นกว่าการฉ้อโกงทั่วไป
รูปแบบการหลอกลวงผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร
ปัจจุบันมีการหลอกลวงผ่านแอปพลิเคชันธนาคารหลายรูปแบบ ซึ่งอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ระบบการชำระเงิน พ.ศ. 2560 โดยมีวิธีการที่พบบ่อย
- การส่ง SMS หลอกให้กรอกข้อมูลในเว็บไซต์ปลอม
- การหลอกให้ยืนยันตัวตนผ่าน OTP
- การแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร
- การส่งลิงก์หลอกให้ติดตั้งแอปพลิเคชันปลอม
การหลอกลวงผ่านการลงทุนและสกุลเงินดิจิทัล
ตาม พ.ร.บ.สินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 และประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ได้กำหนดกรอบการกำกับดูแลการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ยังพบการหลอกลวงในรูปแบบ
- การเสนอผลตอบแทนสูงเกินจริง
- การสร้างแพลตฟอร์มการลงทุนปลอม
- การหลอกให้ลงทุนในโครงการที่ไม่มีอยู่จริง
- การสวมรอยเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ
การหลอกลวงผ่านการสวมรอยเป็นหน่วยงานราชการ
การสวมรอยเป็นเจ้าพนักงานถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 145 และ 146 พบรูปแบบการหลอกลวง
- การแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือ DSI
- การหลอกว่ามีคดีความหรือการฟอกเงิน
- การขู่ว่าจะอายัดบัญชีหรือจับกุม
- การส่งเอกสารราชการปลอมเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
การป้องกันต้องอาศัยความระมัดระวังและการตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง โดยเฉพาะเมื่อมีการร้องขอข้อมูลส่วนตัวหรือการโอนเงิน
การแจ้งเบาะแสและรายงานมิจฉาชีพ
การแจ้งเบาะแสและรายงานมิจฉาชีพเป็นสิทธิตามกฎหมายที่ประชาชนสามารถดำเนินการได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(7) ที่ให้สิทธิผู้เสียหายในการร้องทุกข์เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด
ขั้นตอนการแจ้งความผ่านช่องทางออนไลน์
การแจ้งความออนไลน์สามารถทำได้ตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 โดยมีขั้นตอนดังนี้
- เข้าสู่ระบบแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
- กรอกข้อมูลส่วนตัวและรายละเอียดการถูกหลอกลวง
- แนบหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น
- หลักฐานการโอนเงิน
- ภาพหน้าจอการสนทนา
- เอกสารยืนยันตัวตน
- รอรับหมายเลขคดีและการติดต่อกลับจากเจ้าหน้าที่
วิธีการส่งข้อมูลไปยังศูนย์ปราบปรามอาชญากรรม
การส่งข้อมูลไปยังศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เป็นไปตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 18 ที่ให้อำนาจในการสืบสวนสอบสวนคดีเกี่ยวกับการหลอกลวงทางออนไลน์ สามารถดำเนินการได้ผ่าน
- สายด่วน 1599
- เว็บไซต์ทางการของ บก.ปอท.
- อีเมลแจ้งเบาะแส
- แอปพลิเคชัน Police i lert u
การป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อแจ้งเบาะแส
การแจ้งเบาะแสต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มาตรา 19 โดยควรระวัง
- ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวที่ไม่จำเป็น
- ใช้ช่องทางการสื่อสารที่ปลอดภัย
- เก็บบันทึกการแจ้งเบาะแสไว้เป็นหลักฐาน
- ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของช่องทางการแจ้งเบาะแส
ผู้แจ้งเบาะแสจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย และข้อมูลจะถูกเก็บเป็นความลับโดยหน่วยงานที่รับแจ้ง
กรณีตัวอย่างของการถูกโกง
การศึกษากรณีตัวอย่างช่วยให้เข้าใจรูปแบบการหลอกลวงและวิธีการป้องกัน โดยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ถึง 348 ได้ระบุลักษณะการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงไว้หลายรูปแบบ
การหลอกลวงผ่านการซื้อขายออนไลน์
กรณีศึกษาที่พบบ่อยตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14
- กรณีร้านค้าปลอมบนโซเชียลมีเดีย
- มูลค่าความเสียหาย 500,000 บาท
- วิธีการหลอกลวง สร้างร้านค้าออนไลน์ปลอม โพสต์รูปสินค้าราคาถูก
- การดำเนินคดี ผู้กระทำผิดถูกจับกุมตามมาตรา 341 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
- กรณีหลอกขายสินค้าแบรนด์เนม
- มูลค่าความเสียหาย 2,000,000 บาท
- วิธีการหลอกลวง อ้างว่านำเข้าสินค้าแบรนด์เนมราคาถูก
- ผลคดี ศาลพิพากษาจำคุก 5 ปี ตามมาตรา 343
การหลอกลวงผ่านแอปพลิเคชันโซเชียลมีเดีย
กรณีที่เกิดขึ้นภายใต้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(1)
- การหลอกผ่าน Romance Scam
- รูปแบบ แอบอ้างเป็นชาวต่างชาติ สร้างความสัมพันธ์ก่อนหลอกเงิน
- วิธีป้องกัน ไม่โอนเงินให้คนที่รู้จักผ่านโซเชียลมีเดียเท่านั้น
- กฎหมายที่เกี่ยวข้อง มาตรา 341, 342 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
- การหลอกลงทุนออนไลน์
- รูปแบบ สร้างแพลตฟอร์มลงทุนปลอม หลอกให้โอนเงินลงทุน
- การดำเนินคดี ผู้เสียหายสามารถแจ้งความดำเนินคดีได้ทั้งทางแพ่งและอาญา
กรณีตัวอย่างที่มีผู้เสียหายรายใหญ่
กรณีที่สร้างความเสียหายในวงกว้างตามมาตรา 342 เรื่องการฉ้อโกงประชาชน
- มูลค่าความเสียหาย 500 ล้านบาท
- จำนวนผู้เสียหาย มากกว่า 5,000 ราย
- การดำเนินคดี ดำเนินคดีทั้งผู้กระทำผิดและผู้สมรู้ร่วมคิด
- คดีหลอกลงทุนคริปโทเคอร์เรนซี
- ความเสียหาย 2,000 ล้านบาท
- วิธีการหลอกลวง อ้างผลตอบแทนสูง สร้างระบบซื้อขายปลอม
- บทลงโทษ จำคุก 10 ปี ปรับ 1 ล้านบาท ตาม พ.ร.บ.สินทรัพย์ดิจิทัล
อ่านคำปรึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ โดนโกง ได้ที่นี่
การป้องกันการโกงในยุคดิจิทัล
การรับมือกับการหลอกลวงในยุคดิจิทัลต้องอาศัยความรู้และเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยต้องดำเนินการภายใต้กรอบของ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 ที่มุ่งเน้นการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์
การใช้งานเทคโนโลยีเพื่อตรวจสอบมิจฉาชีพ
เทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยในการตรวจจับและป้องกันการหลอกลวง ตาม พ.ร.บ.ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ได้กำหนดมาตรฐานความปลอดภัยในการทำธุรกรรมออนไลน์ โดยมีเทคโนโลยีที่ช่วยในการป้องกัน
- ระบบยืนยันตัวตนแบบสองชั้น (Two-Factor Authentication)
- เทคโนโลยีการตรวจจับการทุจริต (Fraud Detection)
- ระบบการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้งาน (User Behavior Analytics)
- ระบบตรวจสอบความปลอดภัยของเว็บไซต์
การป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลบนแพลตฟอร์มออนไลน์
การป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มาตรา 37 ที่กำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ควรดำเนินการดังนี้
- การจัดการรหัสผ่าน
- ใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อน
- เปลี่ยนรหัสผ่านอย่างสม่ำเสมอ
- ไม่ใช้รหัสผ่านซ้ำระหว่างบัญชี
- การรักษาความปลอดภัยของอุปกรณ์
- ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัส
- อัพเดทระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชันเสมอ
- เปิดใช้งานไฟร์วอลล์
กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศไทย
พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ได้กำหนดสิทธิของผู้บริโภคและหน้าที่ของผู้ประกอบการ ดังนี้
- สิทธิที่จะได้รับข่าวสารและคำพรรณนาที่ถูกต้อง
- สิทธิที่จะมีอิสระในการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการ
- สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าหรือบริการ
- สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญา
การสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน
การสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินเป็นมาตรการสำคัญในการป้องกันการถูกหลอกลวง โดยต้องดำเนินการภายใต้กรอบของ พ.ร.บ.สถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคทางการเงิน
การวางแผนการเงินเพื่อป้องกันการถูกหลอก
ตามแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทยและสำนักงาน ก.ล.ต. ได้กำหนดหลักการวางแผนการเงินที่ปลอดภัย
- การบริหารเงินฉุกเฉิน
- จัดสรรเงินสำรองอย่างน้อย 3-6 เดือนของรายจ่าย
- แยกบัญชีเงินฉุกเฉินออกจากบัญชีใช้จ่ายประจำวัน
- กำหนดวงเงินการโอนต่อวันที่เหมาะสม
- การตรวจสอบธุรกรรมการเงิน
- ตรวจสอบรายการเคลื่อนไหวในบัญชีอย่างสม่ำเสมอ
- ตั้งการแจ้งเตือน SMS สำหรับทุกธุรกรรม
- เก็บหลักฐานการทำธุรกรรมทุกครั้ง
การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของการลงทุน
ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 14 กำหนดให้การระดมทุนต้องได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ควรตรวจสอบ
- ใบอนุญาตและการจดทะเบียนที่ถูกต้อง
- ประวัติและความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการ
- เงื่อนไขและความเสี่ยงของการลงทุน
- ความสมเหตุสมผลของผลตอบแทน
การรู้เท่าทันกลโกงทางการเงิน
การรู้เท่าทันกลโกงทางการเงินต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยแนะนำ
- หลักการพื้นฐานในการป้องกัน
- ไม่หลงเชื่อผลตอบแทนที่สูงผิดปกติ
- ตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลการลงทุน
- ศึกษาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจลงทุน
- การระวังรูปแบบการหลอกลวงใหม่ๆ
- แชร์ลูกโซ่ดิจิทัล
- การลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลปลอม
- การหลอกลงทุนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์
- การสวมรอยเป็นที่ปรึกษาการลงทุน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตรวจสอบมิจฉาชีพ
การทำความเข้าใจกับคำถามที่พบบ่อยจะช่วยให้ประชาชนเข้าใจกระบวนการตรวจสอบและป้องกันการถูกหลอกลวงได้ดียิ่งขึ้น โดยต้องปฏิบัติตามกรอบของ พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1.การตรวจสอบมิจฉาชีพใช้เวลานานแค่ไหน?
ระยะเวลาในการตรวจสอบขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 131 กำหนดให้พนักงานสอบสวนต้องรวบรวมพยานหลักฐานทุกชนิดอย่างรวดเร็ว โดยทั่วไป
- การตรวจสอบเบื้องต้น
- ตรวจสอบผ่านฐานข้อมูลออนไลน์ 5-15 นาที
- ตรวจสอบกับหน่วยงานราชการ 1-3 วันทำการ
- การตรวจสอบประวัติบัญชีธนาคาร 1-7 วันทำการ
- การตรวจสอบเชิงลึก
- การสืบสวนโดยเจ้าหน้าที่ 15-30 วัน
- การรวบรวมพยานหลักฐาน ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของคดี
2.ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าข้อมูลปลอดภัย?
การตรวจสอบความปลอดภัยของข้อมูลต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 โดยมีแนวทางดังนี้
- การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล
- เว็บไซต์มีใบรับรองความปลอดภัย (SSL Certificate)
- มีนโยบายความเป็นส่วนตัวที่ชัดเจน
- มีช่องทางติดต่อที่เชื่อถือได้
- การป้องกันข้อมูลส่วนบุคคล
- ใช้ระบบยืนยันตัวตนสองชั้น
- เข้าใช้งานผ่านเครือข่ายที่ปลอดภัย
- หลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลที่ไม่จำเป็น
3.แจ้งเบาะแสมิจฉาชีพแล้วจะมีผลอย่างไร?
การแจ้งเบาะแสมิจฉาชีพจะดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(7) โดยมีผลดังนี้
- ผลทางกฎหมาย
- เจ้าหน้าที่จะเริ่มการสืบสวนสอบสวน
- มีการรวบรวมพยานหลักฐาน
- ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม
- การคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส
- ข้อมูลผู้แจ้งจะถูกเก็บเป็นความลับ
- ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย
- มีสิทธิติดตามความคืบหน้าของคดี
สรุปและข้อคิดเกี่ยวกับการตรวจสอบมิจฉาชีพ
การป้องกันการถูกหลอกลวงและการตรวจสอบมิจฉาชีพเป็นสิ่งสำคัญในยุคดิจิทัล ซึ่งตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ได้รับรองสิทธิของผู้บริโภคในการได้รับความคุ้มครองและความเป็นธรรมในการทำธุรกรรม
การป้องกันคือทางเลือกที่ดีที่สุด
การป้องกันตนเองจากมิจฉาชีพเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด ตามหลักการของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 ที่เน้นการป้องกันและระวังภัยทางไซเบอร์ โดยสรุปแนวทางสำคัญ
- การเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจ
- ศึกษารูปแบบการหลอกลวงใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ
- ติดตามข่าวสารและคำเตือนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้อื่น
- การสร้างนิสัยการตรวจสอบ
- ตรวจสอบข้อมูลก่อนทำธุรกรรมทุกครั้ง
- เก็บหลักฐานการทำธุรกรรมอย่างเป็นระบบ
- ใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีในการป้องกัน
บทบาทของสังคมในการป้องกันการโกง
สังคมมีส่วนสำคัญในการป้องกันการหลอกลวง ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่มุ่งคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน โดย
- การสร้างเครือข่ายเฝ้าระวัง
- แจ้งเตือนภัยในชุมชน
- แบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์
- สนับสนุนการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- การให้ความร่วมมือกับภาครัฐ
- รายงานกรณีการหลอกลวงที่พบเห็น
- ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบสวน
- มีส่วนร่วมในการรณรงค์ป้องกันการหลอกลวง
การป้องกันและตรวจสอบมิจฉาชีพเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อสร้างสังคมที่ปลอดภัยและเป็นธรรมสำหรับทุกคน โดยต้องอาศัยความร่วมมือและความตระหนักรู้ของทุกฝ่าย ควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดและมีประสิทธิภาพ
ปรึกษาทนายตัวจริง
สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว
สมัครเป็นทนายออนไลน์
แพล็ทฟอร์มรวบรวม
งานกฎหมายจากทั่วประเทศ



