คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2567
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1488/2567
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 83, 91, 269 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 192, 215, 225 พระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าขาออก พ.ศ.2503 ม. 20, 29, 57
ผู้ที่ได้รับอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบมาตรฐานสินค้าตามมาตรา 20 แห่ง พ.ร.บ.มาตรฐานสินค้าขาออก พ.ศ. 2503 ต้องมีฐานะเป็นนิติบุคคลและต้องเป็นผู้ได้รับอนุญาตจากสำนักงานมาตรฐานสินค้าเท่านั้น ซึ่งในการประกอบธุรกิจดังกล่าวต้องว่าจ้างผู้ได้รับอนุญาตเป็นผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้าจากสำนักงานมาตรฐานสินค้าตามมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมากระทำการแทน ทั้งผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบมาตรฐานสินค้าและผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้าจึงเป็นผู้ประกอบวิชาชีพอื่นตามมาตรา 269 แห่ง ป.อ. หากผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้าทำคำรับรองเป็นเอกสารอันเป็นเท็จหรือจงใจกระทำการใด ๆ ให้การตรวจสอบมาตรฐานสินค้าผิดไปจากความเป็นจริง ผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบมาตรฐานสินค้าซึ่งเป็นนิติบุคคลต้องรับผิดในการกระทำของผู้ได้รับอนุญาตเป็นผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้าดังกล่าวเสมือนหนึ่งได้กระทำด้วยตนเอง เพราะบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นบัญญัติให้ผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบมาตรฐานสินค้าต้องมีฐานะเป็นนิติบุคคลซึ่งมีเจตนารมณ์มุ่งประสงค์ให้ทำหน้าที่ควบคุมดูแลผู้ได้รับอนุญาตเป็นผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้าซึ่งเป็นพนักงานของตน และต้องรับผิดเมื่อมีการรับรองมาตรฐานสินค้าอันเป็นเท็จหรือผิดไปจากความเป็นจริงโดยเฉพาะ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า บริษัท ด. ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลผู้ได้รับอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบมาตรฐานสินค้า ให้ตรวจสอบข้าวสารที่จะนำเข้าเก็บในคลังสินค้าให้ได้ข้าวสารที่ได้มาตรฐานตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ข้าวหอมมะลิไทยเป็นสินค้ามาตรฐานและมาตรฐานสินค้าข้าวหอมมะลิไทย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 หากข้าวสารที่จำเลยที่ 1 ตรวจสอบแล้วเป็นไปตามมาตรฐานดังกล่าวก็อนุญาตให้นำข้าวสารเข้าเก็บในคลังสินค้าของบริษัท ด. จำเลยที่ 1 ว่าจ้างให้นาย ช. ผู้ได้รับอนุญาตเป็นผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้าตรวจสอบข้าวสารที่โรงสีข้าวนำมาส่งให้ได้ข้าวสารที่ได้มาตรฐานตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ เพื่อนำเข้าเก็บในคลังสินค้า แต่ผลการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างข้าวของสำนักงานคณะกรรมการตรวจข้าว สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ปรากฏว่า ข้าวสารไม่ถูกต้องตามมาตรฐานข้าวหอมมะลิไทยตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ดังนั้น การที่นาย ช. ผู้มีหน้าที่ตรวจสอบมาตรฐานสินค้ากระทำการแทนในนามจำเลยที่ 1 ตรวจสอบมาตรฐานสินค้าข้าวโดยทำคำรับรองอันเป็นเท็จและตรวจสอบข้าวให้ผิดไปจากความเป็นจริง ย่อมถือว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบมาตรฐานสินค้าและเป็นผู้มอบหมายให้นาย ช. ทำการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าข้าวดังกล่าวแทนเป็นผู้ทำคำรับรองการตรวจสอบข้าวเป็นเอกสารอันเป็นเท็จและทำให้ผิดจากความเป็นจริงแล้ว โดยการที่นาย ช. ลงลายมือชื่อในฐานะผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้าในผลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพข้าวเป็นการลงลายมือชื่อในฐานะผู้กระทำการแทนจำเลยที่ 1 จึงย่อมมีผลผูกพันจำเลยที่ 1 ด้วย จำเลยที่ 1 จะอ้างว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนเพิ่งเห็นผลการวิเคราะห์คุณภาพข้าวของนาย ช. หรือจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นผู้มีวิชาชีพในการตรวจสอบมาตรฐานสินค้า หรือจำเลยที่ 1 มอบหมายให้นาย ช. เป็นผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้าโดยจำเลยที่ 1 มิได้เกี่ยวข้องกับการทำคำรับรองเป็นเอกสารดังกล่าวหาได้ไม่ จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 269 วรรคหนึ่ง และเมื่อจำเลยที่ 1 โดยนาย ช. ใช้หรืออ้างคำรับรองไปตามหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เพื่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรับมอบข้าวสารที่นาย ช. ตรวจสอบจึงเป็นการใช้หรืออ้างคำรับรองอันเป็นเท็จโดยทุจริตตาม ป.อ. มาตรา 269 วรรคสอง แต่จำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.มาตรฐานสินค้าขาออก พ.ศ. 2503 มาตรา 57 เพราะการตรวจสอบมาตรฐานของข้าวสารในคดีนี้เป็นการตรวจสอบเพื่อนำข้าวสารเข้าเก็บในคลังสินค้า ไม่ใช่กรณีการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าเพื่อขอออกใบรับรองมาตรฐานสินค้านำไปแสดงต่อเจ้าพนักงานศุลกากรก่อนส่งสินค้าออกนอกประเทศตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าว ตาม พ.ร.บ.มาตรฐานสินค้าขาออก พ.ศ. 2503 มาตรา 17
แม้จำเลยที่ 1 มีความผิดเป็นตัวการตาม ป.อ. มาตรา 269 วรรคหนึ่ง แต่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นผู้สนับสนุนตาม ป.อ. มาตรา 269 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 86 และขอให้ลงโทษตามกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดเพียงกรรมเดียว จึงเป็นกรณีที่โจทก์ไม่ประสงค์ฎีกาให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในฐานะตัวการกระทำความผิดฐานทำคำรับรองเป็นเอกสารอันเป็นเท็จตาม ป.อ. มาตรา 269 วรรคหนึ่ง จึงไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 1 ในฐานตัวการในความผิดฐานดังกล่าวได้ เพราะต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215 และ 225 คงลงโทษในฐานผู้สนับสนุนการกระทำความผิด เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 269 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 269 วรรคสอง จึงต้องลงโทษตามมาตรา 269 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามที่โจทก์ฎีกา
ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น เมื่อโจทก์มิได้นำสืบพยานให้ปรากฏว่าเกี่ยวข้องกับการทำคำรับรองมาตรฐานสินค้าอันเป็นเท็จหรือผิดไปจากความเป็นจริงที่โจทก์นำมาฟ้องอย่างไร และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 มิได้มีหน้าที่ในการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าตามกฎหมายที่ต้องรับผิดในการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าของพนักงานของจำเลยที่ 1 จึงไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานทำคำรับรองเป็นเอกสารอันเป็นเท็จได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3710/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 225 วรรคหนึ่ง, 252 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 15
การวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ต้องวินิจฉัยจากข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบในศาลชั้นต้น เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพและมิได้ยกข้อเท็จจริงตามฎีกาขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้นว่า ผู้เสียหายทะเลาะวิวาทกับจำเลยมาก่อนแล้วผู้เสียหายมารอจำเลยที่บ้านของบิดาจำเลยโดยพร้อมที่จะทะเลาะวิวาทกับจำเลย จำเลยจึงเกิดโทสะเข้าชกต่อยผู้เสียหายแล้วจำเลยพลั้งมือหยิบอาวุธมีดขนาดเล็กเหวี่ยงไปทางผู้เสียหาย จำเลยก็ไม่ได้นำสืบพยานหลักฐานใดให้ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว อีกทั้งทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยถูกผู้เสียหายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมอันจะเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 การที่ผู้พิพากษาซึ่งพิพากษาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวและศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยมาเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8122 - 8123/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 224 วรรคสาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ม. 4, 22, 22 ทวิ
คดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 คู่ความที่อุทธรณ์ต้องได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์จากผู้พิพากษาที่พิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามมาตรา 22 ทวิ โดยยื่นคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์ถึงผู้พิพากษาดังกล่าวพร้อมกับคำฟ้องอุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคสาม ซึ่งนำมาใช้บังคับโดยอนุโลม ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงฯ มาตรา 4 และผู้พิพากษาที่มีอำนาจได้สั่งคำร้องอนุญาตให้คู่ความนั้นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ หรือกรณีที่มิได้ยื่นคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์ต่อผู้พิพากษาดังกล่าวโดยตรง แต่ผู้พิพากษาที่พิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าวได้มีคำสั่งขณะตรวจรับอุทธรณ์ว่า ข้อความที่ตัดสินเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลอุทธรณ์และอนุญาตให้อุทธรณ์ จึงจะเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมาย
คดีนี้ผู้พิพากษาที่พิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีคำสั่งในอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมว่า รับอุทธรณ์ของโจทก์ร่วม สำเนาให้จำเลยทั้งสองแก้ โดยไม่ได้มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมเป็นการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่รับวินิจฉัยและพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมนั้น ชอบแล้ว
อนึ่ง ที่โจทก์ร่วมยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาขออนุญาตฎีกา เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีอาญาทั่วไป การฎีกาจึงอยู่ภายใต้บทบัญญัติว่าด้วยฎีกาตาม ป.วิ.อ. ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงฯ มาตรา 4 มิใช่เป็นคดีที่มีบทบัญญัติให้การฎีกากระทำได้เมื่อได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา จึงให้ยกคำร้องขออนุญาตฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8084/2567
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 193/14 (1), 193/14 (2), 193/15, 193/30, 193/33 (1) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 145 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 ม. 7, 20 วรรคสอง
คำวินิจฉัยของศาลล้มละลายกลางในคดีที่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดบริษัท อ. ลูกหนี้ และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย ว่าหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีขาดอายุความแล้ว ศาลฎีกาพิพากษายืน ย่อมมีผลผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นผู้สืบสิทธิมาจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย และบริษัท อ. ลูกหนี้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 ส่วนจำเลยที่ 2 บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย ยื่นคำร้องขอถอนคำร้อง และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนคำร้องและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความก่อนที่ศาลล้มละลายกลางจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดบริษัท อ. จำเลยที่ 2 จึงมิได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าว โจทก์จะกล่าวอ้างหรือโต้เถียงให้ศาลวินิจฉัยข้อเท็จจริงแตกต่างไปจากเดิมว่าหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชีไม่ขาดอายุความหาได้ไม่ แม้จำเลยทั้งหกไม่ได้เป็นคู่ความในคดีล้มละลายด้วย แต่เมื่อเป็นกรณีคำพิพากษาผูกพันคู่ความแล้ว จึงต้องรับฟังว่าหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีขาดอายุความแล้ว จำเลยทั้งหกจึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าวต่อโจทก์
หนี้ตามสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกตามที่โจทก์ฟ้อง ข้อเท็จจริงที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดี รวมทั้งคำขอตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 20 วรรคสอง เป็นเรื่องทำสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกและออกตั๋วสัญญาใช้เงินมอบให้แก่เจ้าหนี้เพื่อชำระหนี้ แต่เมื่อโจทก์มิได้มีคำขอบังคับตามตั๋วสัญญาใช้เงิน คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทเฉพาะสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออก เมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 การยื่นคำร้องในคดีล้มละลายขอให้พิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดและพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย ได้บรรยายถึงภาระหนี้ที่ค้างชำระว่า ลูกหนี้มีภาระเงินต้นค้างชำระเป็นเงินต้นจำนวนเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งหกเป็นคดีนี้ แม้ตามคำร้องจะไม่ได้บรรยายโดยชัดแจ้งว่าเป็นภาระหนี้จากสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออก แต่ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าบริษัท อ. มีภาระหนี้อยู่ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี สัญญากู้เงิน และสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกเท่านั้น ย่อมถือว่าการบรรยายคำร้องในคดีล้มละลายได้บรรยายถึงภาระหนี้ตามสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกไว้แล้ว การยื่นคำร้องขอในคดีล้มละลายดังกล่าวถือว่าเจ้าหนี้ได้ฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องหรือเพื่อให้ชำระหนี้ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงแล้ว ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ เมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดลงเวลาใด ให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (2) และ 193/15 วรรคสอง เมื่อปรากฏว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2555 ลูกหนี้ยื่นอุทรณ์ต่อศาลฎีกา และศาลฎีกามีคำพิพากษายืน ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพาษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2559 เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดลงจึงพอถือได้ว่าเป็นวันที่อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีล้มละลายดังกล่าว อย่างไรก็ตามแม้นับแต่วันที่มีการยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2553 ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงถึงวันที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้คือวันที่ 29 กรกฎาคม 2559 ก็ยังไม่พ้นระยะเวลา 10 ปี ทั้งเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2554 มีการทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ระหว่างบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย กับจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกัน อันถือเป็นการรับสภาพหนี้ที่จำเลยที่ 2 ได้ทำต่อเจ้าหนี้ จึงทำให้อายุความในส่วนจำเลยที่ 2 สะดุดหยุดลง และต้องเริ่มนับอายุความใหม่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (1) และมาตรา 193/15 แต่ในส่วนดอกเบี้ยค้างชำระไม่ว่าดอกเบี้ยจะค้างชำระอยู่นานเท่าใด เมื่อฝ่ายจำเลยให้การต่อสู้เรื่องอายุความคิดดอกเบี้ยไว้ โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยก่อนฟ้องย้อนหลังไปได้เพียง 5 ปี เท่านั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8003/2567
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1349, 1350
ก่อนออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2570 และเลขที่ 2602 ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวเคยเป็นที่ดินแปลงเดียวกันและเมื่อมีการแบ่งแยกเป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวแล้วเป็นเหตุให้ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2570 ของโจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ แต่เมื่อข้อเท็จจริงที่รับกันฟังได้ว่าเดิมที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งสองแปลงดังกล่าวเป็นของ จ. บิดาโจทก์ทั้งเจ็ดกับ ป. ไม่มีหลักฐานการครอบครองที่ดิน เป็นที่ดินมือเปล่าแต่มีการแบ่งแยกการครอบครองกันมาหลายสิบปีแล้ว ต่อมา จ. และ ป. นำที่ดินที่ตนครอบครองไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โดยทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2570 ให้แก่ จ. เมื่อปี 2522 และออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2602 ให้แก่ ป. เมื่อปี 2523 ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวจึงเป็นที่ดินคนละแปลงกัน และที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2570 ไม่ได้มีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนแล้วเป็นเหตุให้ที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะตามนัยแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1350 แต่ที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ การที่โจทก์ทั้งเจ็ดจะออกสู่ทางสาธารณะได้จำเป็นต้องผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองตามทางพิพาทในแผนที่พิพาท ซึ่งเป็นทางที่มีระยะใกล้ทางสาธารณะที่สุดและเป็นเส้นทางที่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยทั้งสองน้อยที่สุดเนื่องจากเป็นการใช้เส้นทางผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองบริเวณแนวเขตที่ดินที่แบ่งเขตระหว่างที่ดินของจำเลยทั้งสอง ประกอบกับโจทก์ทั้งเจ็ดเคยใช้เส้นทางตามแผนที่พิพาทมาก่อนตั้งแต่ปี 2553 ถึงปี 2560 ในการเข้าออกสู่ทางสาธารณะก่อนที่จำเลยทั้งสองจะปิดกั้น โจทก์ทั้งเจ็ดจึงมีสิทธิขอให้เปิดทางพิพาทตามแผนที่พิพาทเป็นทางจำเป็นได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7207/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 27 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 15, 218, 224
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาจำเลยเฉพาะความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี และสั่งไม่รับฎีกาจำเลยในความผิดฐานอื่น ซึ่งจำเลยอาจฎีกาเป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นนั้นต่อศาลฎีกาได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 224 แต่ศาลชั้นต้นมิได้แจ้งคำสั่งไม่รับฎีกาในข้อดังกล่าวให้จำเลยทราบ จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ แต่เมื่อคดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และให้ลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยเด็กนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ และฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้โดยใช้อวัยวะอื่นซึ่งมิใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้นกระทงละไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จำเลยฎีกาในข้อที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับว่า ขอให้ลงโทษสถานเบาและลดโทษ ซึ่งเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 2 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว เมื่อฎีกาจำเลยต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวมา และศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยแล้ว จึงไม่จำเป็นที่ศาลฎีกาจะสั่งให้ส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้นเพื่อแจ้งคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าวให้จำเลยทราบแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6848/2567
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 91 พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 ม. 71, 132
ปัญหาว่า การกระทำตามฟ้องของจำเลยที่ 1 คดีนี้กับการกระทำของจำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขแดงที่ อ. 1531/2564 และที่ อ. 1533/2564 ของศาลชั้นต้น เป็นการกระทำกรรมเดียวกันหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์ จำเลยทั้งสองร่วมกันติดตั้งแผ่นป้ายเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้งนอกสถานที่ที่จะกระทำได้และไม่เป็นไปตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์กำหนด แม้จำเลยที่ 1 จะกระทำความผิดทั้งสามคดีในวันเดียวกันและมีลักษณะการกระทำความผิดเดียวกัน แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ในแต่ละคดีกระทำความผิดในแต่ละครั้งต่างเวลาและต่างสถานที่กัน ซึ่งอีกสองคดีต่างกระทำในพื้นที่หมู่อื่นตามเขตเลือกตั้งของจำเลยที่ 2 ในคดีนั้น ๆ ซึ่งลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์คู่กับจำเลยที่ 1 การกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ในแต่ละคดี จึงมีเจตนาในการกระทำความผิดแยกออกจากกัน และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ในแต่ละคดีต่างรายกัน กรณีจึงเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระ เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพตามฟ้องแต่ละคดี จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6849/2567
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 91 พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 ม. 71, 132
ปัญหาว่า การกระทำตามฟ้องของจำเลยที่ 1 คดีนี้กับการกระทำของจำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขแดงที่ อ. 1531/2564 และที่ อ. 1532/2564 ของศาลชั้นต้น เป็นการกระทำกรรมเดียวกันหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์ จำเลยทั้งสองร่วมกันติดตั้งแผ่นป้ายเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้งนอกสถานที่ที่จะกระทำได้และไม่เป็นไปตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์กำหนด แม้จำเลยที่ 1 จะกระทำความผิดทั้งสามคดีในวันเดียวกันและมีลักษณะการกระทำความผิดเดียวกัน แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ในแต่ละคดีกระทำความผิดในแต่ละครั้งต่างเวลาและต่างสถานที่กัน ซึ่งอีกสองคดีต่างกระทำในพื้นที่หมู่อื่นตามเขตเลือกตั้งของจำเลยที่ 2 ในคดีนั้น ๆ ซึ่งลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์คู่กับจำเลยที่ 1 การกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ในแต่ละคดี จึงมีเจตนาในการกระทำความผิดแยกออกจากกัน และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ในแต่ละคดีต่างรายกัน กรณีจึงเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระ เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพตามฟ้องแต่ละคดี จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6067/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55 พระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ.2537 ม. 52, 53 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 ม. 8 วรรคหนึ่ง (4), 31, 54 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 225 วรรคสอง
แม้คดีนี้จำเลยจะให้การต่อสู้เรื่องอำนาจฟ้องไว้ในคำให้การเพียงประการเดียวว่า โจทก์ยื่นคำฟ้องเกินระยะเวลาที่ พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 กำหนดไว้ โดยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ด้วยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากโจทก์มิได้เป็นผู้ยื่นคำร้องขอรับเงินทดแทนและมิได้เป็นผู้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 มาตรา 52 จึงไม่มีสิทธินำคดีไปสู่ศาลแรงงานตามมาตรา 53 วรรคหนึ่ง ก็ตาม แต่เมื่อปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องดังกล่าวเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การก็สามารถยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง
พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 บัญญัติเกี่ยวกับการนำคดีมาฟ้องศาลแรงงานไว้เป็นการเฉพาะในกรณีที่นายจ้าง ลูกจ้าง หรือผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 ที่ไม่พอใจคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ ตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 และได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวต่อคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน เมื่อคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนมีคำวินิจฉัยอย่างใดแล้วผู้อุทธรณ์ยังไม่พอใจคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน ตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 มาตรา 52 วรรคหนึ่ง เฉพาะผู้อุทธรณ์เท่านั้นที่มีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลแรงงาน ตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 มาตรา 53 วรรคหนึ่ง โจทก์มิได้เป็นผู้อุทธรณ์คำสั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ต่อคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนตามมาตรา 52 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงไม่อาจฟ้องคดีต่อศาลแรงงานได้โดยอาศัยอำนาจของบทบัญญัติตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537
ไม่ปรากฏว่า พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 กำหนดขั้นตอนและระยะเวลาให้โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยของจำเลยในกรณีดังกล่าวไว้ จึงเป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายกำหนดขั้นตอนหรือวิธีการสำหรับการแก้ไขความเดือดร้อนหรือความเสียหายที่โจทก์ได้รับจากคำวินิจฉัยของจำเลยไว้โดยเฉพาะ แต่อย่างไรก็ดี การที่จำเลยมีคำวินิจฉัยกลับคำวินิจฉัยสำนักงานประกันสังคมจังหวัดสุราษฎร์ธานีว่า ส. ผู้ตาย มีนิติสัมพันธ์เป็นลูกจ้างโจทก์ และประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้าง จึงมีสิทธิได้รับเงินทดแทน ตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 อันเป็นการใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 ที่มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ทำให้สำนักงานประกันสังคมจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีหนังสือที่ สฎ 0030/10574 ลงวันที่ 22 มิถุนายน 2564 เรื่อง แจ้งให้ไปขึ้นทะเบียนกองทุนประกันสังคม และกองทุนเงินทดแทน ซึ่งเป็นผลให้โจทก์มีฐานะเป็นนายจ้างและมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 และ พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 โจทก์จึงเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากคำวินิจฉัยของจำเลยโดยตรง ถือได้ว่าเป็นกรณีที่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 โจทก์จึงเป็นผู้ที่ถูกโต้แย้งสิทธิแล้ว ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31
การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำวินิจฉัยของจำเลยมีลักษณะเป็นคดีอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทนตามมาตรา 8 วรรคหนึ่ง (4) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 และเมื่อไม่ปรากฏว่า พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 กำหนดถึงขั้นตอนการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนในกรณีของโจทก์ดังกล่าวนี้ไว้เป็นการเฉพาะ จึงไม่ใช่กรณีตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า คดีตามวรรคหนึ่ง ในกรณีที่…กฎหมายว่าด้วยเงินทดแทนบัญญัติให้ร้องเรียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการที่กำหนดไว้ จะดำเนินการในศาลแรงงานได้ต่อเมื่อได้ปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการที่กฎหมายดังกล่าวบัญญัติไว้แล้ว ทั้งปรากฏตามหนังสือของสำนักงานประกันสังคมจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ สฎ 0030/10573 ลงวันที่ 22 มิถุนายน 2564 เรื่อง แจ้งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน ที่ระบุไว้ในย่อหน้าสุดท้ายว่า … หากท่านไม่เห็นด้วยมีสิทธินำคดีไปสู่ศาลแรงงานภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือฉบับนี้ ดังนั้น เมื่อโจทก์เป็นผู้ถูกโต้แย้งสิทธิโดยได้รับผลกระทบจากหนังสือของสำนักงานประกันสังคมจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ สฎ 0030/10574 ลงวันที่ 22 มิถุนายน 2564 ซึ่งเป็นผลมาจากคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 40/2564 และโจทก์เห็นว่าคำวินิจฉัยของจำเลยดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลแรงงานภาค 8 เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำวินิจฉัยของจำเลยภายใน 30 วัน นับแต่วันที่โจทก์ได้รับหนังสือของสำนักงานประกันสังคมจังหวัดสุราษฎร์ธานีดังกล่าว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6020 - 6021/2567
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 867 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 47 พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 ม. 34, 39, 40 วรรคสาม (2) (ข)
ไม่ปรากฏว่าคณะอนุญาโตตุลาการได้พิจารณาข้อสัญญานี้ ทั้งไม่ได้แสดงเหตุผลใด ๆ ให้ปรากฏในคำวินิจฉัย การวินิจฉัยชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการจึงน่าจะไม่เป็นไปตามข้อตกลงในสัญญาประกันภัย ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการได้
เรื่องการมอบอำนาจไม่มีการกำหนดไว้โดยชัดแจ้งใน พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 จึงเห็นสมควรนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้โดยอนุโลม เมื่อคณะอนุญาโตตุลาการไม่ได้สงสัยในหนังสือตั้งผู้แทนช่วงเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณา ทั้งผู้คัดค้านก็ไม่ได้คัดค้านหนังสือตั้งผู้แทนช่วงดังกล่าวในชั้นพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ การตั้งผู้แทนช่วงจึงไม่ต้องดำเนินการแก้ไขใด ๆ อีก และถือว่าการดำเนินคดีในชั้นพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการเป็นอันชอบแล้ว
คณะอนุญาโตตุลาการกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า (1) ผู้ร้องในคดีนี้ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ให้แก่ผู้คัดค้านในคดีนี้หรือไม่ (2) ผู้คัดค้านในคดีนี้ได้รับความเสียหายเพียงใด และ (3) ผู้ร้องในคดีนี้จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้คัดค้านในคดีนี้เท่าไร ซึ่งในการพิจารณาประเด็นข้อพิพาท (2) นั้น คณะอนุญาโตตุลาการพิจารณาถึงความเสียหายที่ผู้คัดค้านได้รับ และเมื่อพิจารณาประเด็นข้อพิพาท (3) คณะอนุญาโตตุลาการก็กำหนดให้ผู้ร้องชำระค่าสินไหมทดแทนตามที่ได้ความในประเด็นข้อพิพาท (2) โดยไม่ได้กล่าวถึงข้อสัญญาที่ตกลงกันถึงจำนวนเงินที่ผู้คัดค้านจะต้องรับผิดชอบในเบื้องต้นเลย ดังจะเห็นได้จากการที่คณะอนุญาโตตุลาการกำหนดค่าสินไหมทดแทนเรื่องธุรกิจหยุดชะงักเต็มตามจำนวนที่ทำสัญญาประกันภัยต่อกันไว้ อันไม่เป็นการวินิจฉัยต่อข้อสัญญาที่คู่พิพาทตกลงกันไว้ จึงขัดต่อ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 34 วรรคสี่ โดยชัดแจ้ง ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการได้ และเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้คัดค้านย่อมไม่อาจขอให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกล่าว