คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2531

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5843

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5843/2531

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 90, 92, 80, 288, 371, 376 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 158, 192 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 ม. 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ

จำเลยใช้อาวุธปืนยิง 1 นัด โดยถืออาวุธปืนกระชับแน่นด้วยมือทั้งสองข้าง ไม่ว่าจำเลยจะยิงตอนที่ผู้เสียหายดูโทรทัศน์ห่างประมาณ1 เมตร หรือยิงตอนผู้เสียหายลุกขึ้นวิ่งหนีไปห่างประมาณ 4 เมตรหากจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายแล้ว คงยิงผู้เสียหายได้ไม่ผิดพลาดเพราะอาวุธปืนที่ใช้ยิงเป็นอาวุธปืนลูกซองสั้น การที่กระสุนปืนไปถูกหลังคาบ้านแสดงว่าจำเลยกระทำไปเพื่อขู่ผู้เสียหายมิได้ยิงไปโดยเจตนาฆ่า แม้คำขอท้ายฟ้องจะระบุขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 376 ไว้ด้วย แต่โจทก์มิได้กล่าวบรรยายมาในฟ้องถึงองค์ประกอบความผิดของมาตรา 376 ดังนี้ ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรานี้ไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5841

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5841/2531

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 226, 227

แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยยิงผู้ตาย แต่ขณะเกิดเหตุจำเลยอยู่กับผู้ตาย เมื่อเกิดเหตุแล้วจำเลยได้หลบหนีไปและโจทก์มี ท.ณ.และอ. เป็นพยานเบิกความว่า หลังเกิดเหตุได้ทราบว่าจำเลยเป็นผู้ยิงผู้ตาย แม้จะเป็นเพียงพยานบอกเล่าแต่ก็เป็นเรื่องที่พยานได้ทราบมาโดยกระชั้นชิดหลังจากเกิดเหตุโดยเฉพาะ ท. ได้รับบอกกล่าวจากผู้ตายก่อนตายยืนยันว่าจำเลยยิงผู้ตาย ย่อมรับฟังเป็นพยานประกอบได้ ทั้งตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของ บ. และ ก. ก็ให้การว่าจำเลยใช้ให้ผู้ตายไปช่วยผู้อื่นปลูกบ้าน ผู้ตายไม่ยอมไป จำเลยโกรธจึงยิงผู้ตายพฤติการณ์แห่งคดีและพยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวมีน้ำหนักและเหตุผลรับฟังลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5838

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5838/2531

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 575 ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ม. ,

โจทก์ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง จนถูกจำเลยตั้งกรรมการสอบสวน และจำเลยมีคำสั่งพักงานโจทก์ตามข้อบังคับตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2530 เพื่อรอฟังผลการสอบสวน ต่อมาวันที่20 มกราคม 2531 จำเลยออกคำสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยให้มีผลตั้งแต่วันแรกที่พักงานความเป็นลูกจ้างและนายจ้างระหว่างโจทก์จำเลยจึงสิ้นสุดลงตั้งแต่วันนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาค่าจ้างในช่วงนับแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2530 ถึงวันที่ 20 มกราคม 2531

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5832

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5832/2531

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 273 (2), 275 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 254, 290

กำหนดระยะเวลาต่าง ๆ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 290 ที่ให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษารายอื่นยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งได้ยึดหรืออายัดมานั้นหมายความเฉพาะถึงการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาโดยเจ้าพนักงานบังคับคดีและโดยการร้องขอของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น ดังนั้นเมื่อการเคหะแห่งชาติได้ส่งเงินมาให้ศาลชั้นต้นตามหมายอายัดชั่วคราวก่อนพิพากษา กรณีจึงไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 290 ที่ผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยจะต้องยื่นคำร้องภายในระยะเวลาดังกล่าว บุริมสิทธิในมูลจ้างทำของเป็นการงานทำขึ้นบนอสังหาริมทรัพย์นั้น กฎหมายให้มีอยู่เหนืออสังหาริมทรัพย์ที่ทำการงานขึ้น และอสังหาริมทรัพย์นั้นต้องเป็นของลูกหนี้ คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกค่าจ้างก่อสร้างตามสัญญาจ้างทำของซึ่งโจทก์รับก่อสร้างช่วงงานจากจำเลย โดยจำเลยได้รับจ้างก่อสร้างให้การเคหะแห่งชาติอีกต่อหนึ่ง และอสังหาริมทรัพย์ซึ่งโจทก์ทำการก่อสร้างก็เป็นของการเคหะแห่งชาติ กรณีจึงไม่ใช่เรื่องที่โจทก์มีบุริมสิทธิเหนืออสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 273และ 275 โจทก์จะอ้างบุริมสิทธิรับชำระหนี้จากเงินซึ่งการเคหะแห่งชาติส่งมาให้ศาลชั้นต้นเหนือผู้ร้องหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5757

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5757/2531

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 148

คดีก่อนจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยให้รื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินแปลงพิพาท โจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยยอมรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินแปลงพิพาท ย่อมมีผลเท่ากับโจทก์ยอมรับว่าที่พิพาททั้งแปลงเป็นของจำเลย การที่โจทก์มายื่นฟ้องว่า โจทก์ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองที่ดินแปลงพิพาทบางส่วนมาก่อน จำเลยฟ้องขับไล่โจทก์แล้วหาได้ไม่ เพราะมีประเด็นต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงพิพาทอีก ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5793

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5793/2531

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 137, 138, 865, 892

ผู้เอาประกันชีวิตทราบก่อนทำสัญญาประกันชีวิตกับจำเลยว่าตนเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังจนตับอักเสบแต่มิได้แจ้งให้จำเลยทราบซึ่งหากจำเลยทราบก็อาจเรียกเบี้ยประกันสูงขึ้นหรือไม่รับประกันชีวิตสัญญาประกันชีวิตจึงเป็นโมฆียะ จำเลยมีสิทธิบอกล้างได้โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้เอาประกันชีวิตตายหรือไม่ หรือตายด้วยเหตุใด ดังนั้นเมื่อผู้เอาประกันชีวิตถึงแก่ความตายแล้ว จำเลยจึงชอบที่จะบอกล้างสัญญาประกันชีวิตอันเป็นโมฆียะต่อโจทก์แล้ว ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5790

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5790/2531

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 90, 91 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ม. 17, 26, 69, 76

จำเลยมีเมล็ดพันธุ์ฝิ่น น้ำหนัก 73.4 กิโลกรัม มีฝิ่นดิบ5 ห่อ น้ำหนัก 8.072 กิโลกรัม และมอร์ฟีนน้ำหนัก 0.778 กิโลกรัมซึ่งรวมอยู่ในฝิ่นดิบดังกล่าว เป็นวัตถุเดียวกัน ในคราวเดียวกันเมื่อกฎหมายแยกประเภทยาเสพติดให้โทษฝิ่นดิบกับมอร์ฟีนอยู่ในประเภท 2และบัญญัติไว้เป็นความผิดในมาตราเดียวกัน การมีฝิ่นดิบและมอร์ฟีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจึงเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวกันแต่ต่างกรรมกับการมีเมล็ดพันธุ์ฝิ่นอันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5756

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5756/2531

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 93, 104, 127

หนังสือแสดงการจดทะเบียนรถยนต์บรรทุก เป็นเอกสารราชการที่เจ้าพนักงานกรมการขนส่งทางบกทำขึ้นใช้เป็นต้นฉบับสำหรับผู้ขอจดทะเบียน แม้ผู้ร้องจะมิได้ขอให้ศาลหมายเรียกเอกสารมาจากกรมการขนส่งทางบกหรือมิได้นำเจ้าพนักงานมาสืบรับรอง ก็รับฟังสนับสนุนคำเบิกความของผู้ร้องให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1872

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1872/2531

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 326, 349, 368, 386, 653

การที่คู่สัญญาทำสัญญากู้ยืมเงินขึ้นใหม่แทนหนังสือสัญญากู้ยืมเงินฉบับเก่าแสดงถึงเจตนาของคู่สัญญาว่าได้ตกลงระงับหนี้ตามสัญญาเก่าแล้วให้ใช้สัญญาใหม่แทน สัญญาเก่าเมื่อระงับไปแล้วก็ไม่มีผลบังคับใช้ ทั้งนี้เป็นไปตามข้อตกลงในการทำสัญญาใหม่นั่นเอง โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องตามสัญญาฉบับเก่าอีก กรณีนี้เป็นเรื่องตกลงระงับหนี้ ไม่ใช่การชำระหนี้ จึงไม่จำเป็นต้องมีใบเสร็จหรือเวนคืนเอกสารตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 326.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3695

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3695/2531

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1387, 1401

ที่ดิน ของ โจทก์ และ จำเลย เดิม เป็น ที่ดิน แปลง เดียว กัน อันเป็น ของ บิดา โจทก์ จำเลย โจทก์ รับโอน ที่ดิน จาก บิดา มา ก่อน จำเลย แล้ว โจทก์ เข้า ทำประโยชน์ โดย ใช้ น้ำ จาก คลอง ซอย หรือ คูน้ำ พิพาท ที่อยู่ ใน ที่ดิน มรดก ที่ ยัง มิได้ โอน ให้ จำเลย ซึ่ง เป็น การ ใช้ น้ำ โดย ถือ วิสาสะ ว่า เป็น ที่ดิน มรดก ของ บิดา เมื่อ จำเลย รับ โอน ที่ดิน มรดก ดังกล่าว จาก บิดา หลังจาก โจทก์ รับมรดก ที่ดิน ส่วน ของ โจทก์ นาน ถึง 16 ปี เศษ โจทก์ มิได้ โต้แย้ง คัดค้าน หรือ อ้าง สิทธิ ใด ๆ ว่า โจทก์ มีสิทธิ ใช้ น้ำ จาก ที่ดิน ของ จำเลย โจทก์ คง ใช้ น้ำ เรื่อย มา แสดง ว่า โจทก์ ถือว่า เป็น ที่ดิน ของ น้องชาย โดย มิได้ แสดง ให้ จำเลย ทราบ ว่า จะ ถือเอา คลอง ซอย หรือ คู่ น้ำ พิพาท เป็น ภาระจำยอม แก่ ที่ดิน ของ โจทก์ แม้ โจทก์ จะ ใช้ น้ำ ใน ที่ดิน ของ จำเลย นาน เท่าใด ก็ ไม่ได้ ภาระจำยอม

« »
ติดต่อเราทาง LINE