คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2522

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1842

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1842/2522

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1304

ที่ดินซึ่งน้ำทะเลท่วมถึงเป็นที่ชายตลิ่ง เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน โจทก์ไม่อาจได้ สิทธิครอบครอง จำเลยจึงมิได้อาศัยสิทธิครอบครองของโจทก์ทำประโยชน์ในที่พิพาท จำเลยครอบครอง โจทก์ขับไล่ไม่ได้เมื่อโจทก์มิได้เสียหายพิเศษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1841

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1841/2522

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 22 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497

ความผิดฐานออกเช็คไม่มีเงินจ่าย ตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค 2497 มาตรา 3 เกิดเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินซึ่งอยู่ในกรุงเทพมหานคร แม้ออกเช็คที่ปทุมธานี โจทก์ฟ้องต่อศาลจังหวัดปทุมธานี ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22 ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1836

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1836/2522

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 83, 340 วรรคแรก, 340 ตรี, 339

จำเลยเข้าชกต่อยทำร้ายผู้เสียหาย แล้วแย่งเอากระเป๋าถือของผู้เสียหายวิ่งไปขึ้นรถแทกซี่ซึ่งจอดรออยู่ห่างที่เกิดเหตุประมาณ 15 เมตร ในรถมีคนนั่งรออยู่ 2 คน คือคนขับรถและอีกคนหนึ่งซึ่งแต่งกายเป็นสตรี การที่คนแต่งกายเป็นสตรีนั่งรอจำเลยอยู่ในรถแท็กซี่ของกลางพร้อมคนขับใกล้ชิดกับที่เกิดเหตุ เฝ้าดูการกระทำของจำเลยตลอดเวลา และหนีไปพร้อมกับจำเลยหลังเกิดเหตุ ทั้งเมื่อพยานโจทก์ขับรถจักรยานยนต์ติดตามเข้าไปใกล้จำเลยและคนแต่งกายเป็นสตรีหันมามองพยานโจทก์ แสดงถึงความไม่พอใจที่มีคนติดตามมานั้น พฤติการณ์บ่งชัดว่าคนแต่งกายเป็นสตรีคน ขับรถ และจำเลยรู้เห็นคบคิดร่วมกันมาก่อนคนแต่งกายเป็นสตรีจึงเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดด้วย จำเลยต้องมีความผิดฐานปล้นทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1835

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1835/2522

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 90 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 186

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี เป็นเหตุให้รับโทษหนักขึ้นมิใช่เป็นความผิดอีกบทหนึ่งต่างหากศาลลงโทษจำเลยตาม มาตรา 340 ตรีซึ่งเป็นบทหนักเท่านั้นไม่ได้ต้องลงโทษตาม มาตรา 340,340 ตรี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1825

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1825/2522

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 215, 222, 354, 361, 366 วรรคสอง

โจทก์ประกาศประกวดราคาจัดซื้อของ เป็นคำเชิญชวนให้ผู้ที่ประสงค์จะเข้าประกวดราคายื่นซองเสนอหนังสือเสนอราคาที่จำเลยยื่นเป็นคำเสนอ โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยทราบว่าตกลงรับราคาที่จำเลยเสนอและให้ไปทำสัญญาเป็นคำสนอง แต่สัญญาซื้อขายยังไม่เกิดขึ้นเมื่อคำบอกกล่าวสนองไปถึงผู้เสนอ สัญญาจะเกิดขึ้นต่อเมื่อโจทก์และจำเลยได้ทำสัญญากันเป็นหนังสือตามข้อผูกพันที่ระบุไว้ในประกาศประกวดราคา จำเลยไม่ไปทำสัญญากับโจทก์ตามกำหนดเวลา โจทก์ย่อมมีสิทธิริบเงินมัดจำซองประกวดราคาได้ตามข้อตกลงในประกาศประกวดราคา แต่เมื่อยังไม่มีสัญญาซื้อขายต่อกันจำเลยยังไม่มีความผูกพันตามสัญญาซื้อขายที่จะต้องมอบของให้โจทก์ ค่าเสียหายที่โจทก์ต้องซื้อของจากผู้อื่นแพงกว่าราคาที่จำเลยเสนอเป็นค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาซื้อขาย ไม่ใช่ค่าเสียหายอันเกิดจากข้อตกลงในการประกวดราคา โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชดใช้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1818

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1818/2522

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 46

ข้อเท็จจริงในคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ซึ่งศาลจำต้องถือตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญานั้น คือข้อเท็จจริงอันเป็นความผิดของอาญาที่ผู้กระทำความผิดจะต้องรับผิดในทางแพ่งโดยอาศัยมูลคดีอาญาในเรื่องนั้น ๆ โดยตรง

โจทก์ฟ้องคดีแพ่งก่อนคดีอาญา ตั้งประเด็นว่ามีสัญญาต่างตอบแทนในเรื่องการใช้ถนนร่วมกันระหว่างโจทก์จำเลยแต่จำเลยทำผิดสัญญา และกระทำละเมิด จึงขอให้ปฏิบัติตามสัญญาและใช้ค่าเสียหาย ทั้งยื่นคำร้องขอให้กำหนดวิธีการชั่วคราวก่อนคำพิพากษาชั้นไต่สวนคำร้อง เมื่อจำเลยเบิกความว่าไม่มีข้อตกลงในการใช้ถนนร่วมกัน โจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาว่าเบิกความเท็จในเรื่องนี้ แม้ข้อนำสืบในคดีแพ่งและคดีอาญา จะเป็นเรื่องเดียวกันว่ามีข้อตกลงกันอย่างไรจริงหรือไม่ก็ตาม ก็เห็นได้ว่ารูปคดีเช่นนี้หาใช่เป็นเรื่องคดีแพ่งที่ฟ้องโดยอาศัยมูลคดีอาญาโดยตรงไม่ กรณีจึงไม่อยู่ในบังคับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1814

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1814/2522

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 59, 300

จำเลยจับเท้าของผู้เสียหายทั้งสองข้างยกขึ้นจนมือขวาของผู้เสียหายลอยสูงจากพื้นดินประมาณ 1 ศอก แล้วจำเลยผลักตัวผู้เสียหายลงกับพื้นทำให้แขวนขวาของผู้เสียหายหัก ด้วยการเล่นหยอกล้อกัน เป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์ซึ่งจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยประมาท ไม่ใช่กระทำโดยเจตนา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1831

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1831/2522

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 46, 220

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุก ขอให้ขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาทการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกหรือละเมิดทางแพ่ง พิพากษายกฟ้อง ดังนี้ เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาในความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ส่วนคดีทางแพ่งที่ขอให้ขับไล่จำเลยนั้น เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาท จึงไม่มีสิทธิขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1830

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1830/2522

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1500

การที่จำเลย (ภริยา) หลบหนี้สินไปอยู่ที่อื่นโดยโจทก์ (สามี) ยินยอมทั้งจำเลยเป็นฝ่ายเลี้ยงดูบุตรตลอดมา และระหว่างนั้นจำเลยไปหาโจทก์ก็ถูกภริยาใหม่ของโจทก์ไล่กลับนั้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์อันเป็นเหตุฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1500(3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1829

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1829/2522

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1336, 1357, 1360

โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยาไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีบุตรด้วยกัน5 คน ทุกคน อยู่ในห้องเช่าพิพาทโดยน้องชายจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าเดิมแบ่งให้อาศัยทำมาค้าขาย ต่อมาน้องชายจำเลยโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์จำเลย แต่จำเลยยอมให้โจทก์เป็นผู้มีชื่อเป็นผู้เช่าแต่ผู้เดียว ดังนี้ โจทก์จำเลยได้สิทธิการเช่ามาในฐานะเจ้าของร่วมกัน โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าที่พิพาทไม่ได้

« »
ติดต่อเราทาง LINE