คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2518

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 507

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 506 - 507/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 291, 1012, 1033, 1055, 1061, 1600 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 177, 183

โจทก์ฝ่ายหนึ่ง จำเลยที่ 1 กับ ส. อีกฝ่ายหนึ่งเข้าหุ้นกันลงทุนซื้อหุ้นบริษัท น. เพื่อแบ่งกำไรหรือเงินปันผลจากการถือหุ้น การที่จำเลยที่ 1 กับ ส. มีชื่อถือหุ้นนั้น ถือได้ว่าเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจำนวนหุ้นของบริษัท น. จึงเป็นทรัพย์สินของหุ้นส่วนที่จะต้องนำมาแบ่งตามสัญญาเมื่อเลิกกันไม่ใช่จะแบ่งเฉพาะเงินลงทุนค่าหุ้น ตราบใดที่ยังไม่มีการชำระบัญชี หรือตกลงแบ่งกันโดยวิธีอื่นโจทก์ในฐานะหุ้นส่วนย่อมมีสิทธิที่จะได้รับส่วนแบ่งเงินปันผลในปี 2510 และ ปี ต่อๆ ไป จนกว่าจะชำระบัญชีหรือตกลงแบ่งกันเสร็จ

โจทก์ฟ้องเรียกทุนของหุ้นส่วน ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน และขอแบ่งเงินปันผลในปี 2511 ซึ่งศาลล่างก็รับพิจารณาสืบพยานทั้งสองฝ่ายจนสิ้นกระแสความแล้วจึงไม่มีความจำเป็นที่จะรื้อฟื้นให้ชำระบัญชีในเรื่องดังกล่าวอีก ศาลย่อมวินิจฉัยถึงจำนวนทุนและพิพากษาให้แบ่งเงินปันผลในปี 2511 ไปทีเดียวได้และการบังคับให้แบ่งกำไรในปี 2511 ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จัดการและทายาทผู้รับมรดกของ ส. ต้องรับผิดร่วมกัน

จำเลยมิได้ฟ้องแย้งเรียกเงินภาษีที่อ้างว่าเสียเพิ่มเติมคืนจึงไม่เป็นประเด็นในคดี

เมื่อ พ. ผู้เป็นหุ้นส่วนตาย ห้างย่อมเลิกกันโดยศาลไม่ต้องสั่งอีก และกรณีนี้ศาลไม่ควรพิพากษาให้จำเลยแบ่งเงินปันผลและคืนเงินค่าหุ้นให้โจทก์โดยไม่ตั้งผู้ชำระบัญชี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 502

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 502/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 127, 86

เรื่องราวการออกโฉนดที่ดินซึ่งจำเลยอ้างและเจ้าพนักงานที่ดินส่งมาตามคำสั่งศาล แม้เป็นสำเนาแต่เจ้าพนักงานที่ดินได้รับรองว่าถูกต้อง เป็นเอกสารที่รับฟังได้ แม้จำเลยไม่ประสงค์อ้างต่อไปศาลก็รับไว้และถือเป็นพยานของศาลเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 501

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 501/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1299

หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ไม่ใช่หลักฐานกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนจะนำมาตรา 1299,1300 มาใช้เพื่ออ้างว่าได้ซื้อที่ดินโดยสุจริตจึงมีสิทธิดีกว่าผู้แย่งครอบครองที่ดินนั้นจากผู้ขายไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 489

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 489/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 142

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลสั่งแสดงว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครอง ที่พิพาทไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าโจทก์มีเพียงสิทธิครอบครองศาลก็พิพากษาแสดงสิทธิครอบครองได้ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 482

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 482/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 47 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1033, 1034, 1036

การที่ผู้เป็นหุ้นส่วน 5 คนรวมทั้ง อ. ได้ร่วมกันลงชื่อในใบมอบอำนาจให้ พ. ผู้เป็นหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งเป็นโจทก์ฟ้องคดีเกี่ยวกับกิจการของหุ้นส่วนตามสัญญาเข้าหุ้นส่วนซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนมีผลประโยชน์ร่วมกันนั้น ย่อมถือว่า พ. ฟ้องคดีในนามของห้างหุ้นส่วนสามัญเพื่อประโยชน์ของผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคนหาใช่ฟ้องคดีแทนผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งคนใดโดยเฉพาะไม่ฉะนั้น หากจะมีการถอนการมอบอำนาจให้ พ. เป็นโจทก์ฟ้องคดี ก็ชอบที่จะกระทำโดยผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนร่วมกันขอถอนหรือกระทำโดยเสียงข้างมาก ผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งคนใดซึ่งเป็นเสียงข้างน้อยจะขอถอนใบมอบอำนาจให้ฟ้องคดีโดยผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่นซึ่งเป็นเสียงข้างมากมิได้ยินยอมด้วยหาได้ไม่ฉะนั้น การที่ อ. ผู้เป็นหุ้นส่วนแต่เพียงคนเดียวยื่นคำร้องขอถอนการมอบอำนาจโดยผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่นๆ มิได้ยินยอมด้วย จึงหาทำให้การมอบอำนาจให้ พ. ฟ้องคดีตามใบมอบอำนาจ เสียไปไม่และหามีผลทำให้ อ. กลับเข้ามาเป็นโจทก์ด้วยตนเองไม่เมื่อศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีเพราะพ.ขอถอนฟ้องแม้ อ. จะได้ยื่นคำร้องขอถอนการมอบอำนาจไว้ก่อนศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีก็ตามอ. ก็ไม่มีสิทธิขอเป็นโจทก์ดำเนินคดีต่อไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 452

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 452/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1171, 1173, 1195 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 142, 172

ข้อบังคับของบริษัทจำเลยมีว่า 'การประชุมวิสามัญจะเรียกประชุมเมื่อใดก็ได้ในเมื่อคณะกรรมการบริษัทเห็นสมควรหรือผู้ถือหุ้นรวมกันนับจำนวนหุ้นได้ถึงหนึ่งในห้าของหุ้นทั้งหมดทำหนังสือขอให้เรียกประชุมวิสามัญ' ตามข้อบังคับข้อนี้กำหนดให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการที่จะเรียกประชุม มิใช่กรรมการคนใดคนหนึ่งแต่เพียงคนเดียว แม้ว่าผู้ถือหุ้นรวมกันทำหนังสือขอให้เรียกประชุมวิสามัญ ก็จะต้องทำหนังสือถึงคณะกรรมการ แล้วคณะกรรมการเป็นผู้เรียกประชุม

ปรากฏว่า ม. กรรมการเพียงคนเดียวเป็นผู้เรียกประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทจำเลยในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2513 โดยไม่ได้เสนอคำร้องขอของผู้ถือหุ้นต่อคณะกรรมการบริหารของบริษัทจำเลยตามข้อบังคับในวันประชุม ส. ประธานกรรมการบริษัทจำเลยได้สั่งระงับการประชุม ม. ยอมรับคำสั่งแต่โดยดี แต่แล้วกลับละเมิดคำสั่งได้ดำเนินการประชุมต่อไป ที่ประชุมแต่งตั้ง ท. เป็นประธานของที่ประชุมโดยที่ ท. มิได้มีคุณสมบัติตามข้อบังคับที่จะเป็นได้การประชุมดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยข้อบังคับคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นตามมติของที่ประชุมครั้งนั้นจึงเป็นคณะกรรมการที่ไม่ชอบไม่มีอำนาจบริหารและไม่มีอำนาจเรียกประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2513 มติต่างๆ ของที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 11 ตุลาคม 2513จึงไม่มีผล

ที่คำขอท้ายฟ้องข้อ 1 ขอให้ศาลพิพากษาว่า การประชุมใหญ่ของบริษัทจำเลยเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2513 และมติต่างๆ ที่ลงไว้ไม่มีผลใช้บังคับ และคำขอท้ายฟ้องข้อ 2 ขอให้ศาลพิพากษาว่า โดยผลของการประชุมใหญ่ของบริษัทจำเลยเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2513ตกเป็นโมฆะตามกฎหมายและข้อบังคับแล้ว การใดหรือมติใดที่กระทำไปโดยคณะกรรมการของบริษัทจำเลยดังกล่าวในข้อ 1 จึงตกเป็นโมฆะนั้น คำขอท้ายฟ้องข้อ 2 เป็นการเท้าความถึงเท่านั้นหาได้มุ่งหมายจะให้ศาลพิพากษาว่าการประชุมใหญ่ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2513. และมติเป็นโมฆะไม่ ทั้งคำบรรยายฟ้องก็มิได้บรรยายในทำนองนั้น แท้ที่จริงประสงค์จะให้พิพากษาว่า การใดหรือมติใดที่กระทำไปโดยคณะกรรมการของบริษัทจำเลยดังกล่าวในข้อ 1 ของคำขอท้ายฟ้อง คือการประชุมและมติในวันที่ 11 ตุลาคม 2513 ตกเป็นโมฆะที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 1 ก็เป็นการเพียงพอแล้วไม่จำเป็นต้องพิพากษาตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 2 อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 401

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 401/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 420, 1337 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55 พระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ.2482 ม. 30

ที่ดินที่ขุดคูพิพาทเป็นที่ดินที่ถูกเวนคืนมาเป็นของรัฐเพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดิน กรมทางหลวงจำเลยที่ 1 ย่อมมีอำนาจที่จะดำเนินการสร้างทางหลวงบนที่ดินที่ถูกเวนคืนนั้นเพื่อประโยชน์การจราจรสาธารณะทางบกได้ซึ่งรวมถึงการทำรางระบายน้ำ ร่องน้ำ กำแพงกั้นดิน ฯลฯ ตาม พระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ.2482 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2497 มาตรา 3 แม้การขุดคูของจำเลยทั้งสามขวางหน้าที่ดินโจทก์ ทำให้โจทก์ไม่ได้ความสะดวกที่จะใช้ถนน แต่สิทธิในการใช้ถนนกับความไม่สะดวกในการใช้ถนนเป็นคนละอย่างคนละเรื่องกัน หากโจทก์ขัดข้องไม่ได้ความสะดวกเกี่ยวกับการใช้อย่างไร ก็ชอบที่จะปฏิบัติการให้เป็นไปตามมาตรา30 แห่ง พระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ.2482 เมื่อจำเลยไม่เคยหวงห้ามโจทก์มิให้ใช้ถนน และการขุดคูก็ได้ทำไปเพื่อประโยชน์แก่งานทางหลวงเพราะเป็นความจำเป็นเพื่อทดแทนทางน้ำเดิมที่สูญไป การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงไม่เป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์เกี่ยวกับการใช้ถนนหลวงและไม่ต้องด้วย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337 โจทก์จะฟ้องขอให้จำเลยกลบคูคลองที่จำเลยขุดขึ้นไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 476

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 476/2518

พระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ.2509 ม. 4

พระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ.2509 มาตรา 4 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติยาสูบ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2511 มาตรา 3 บัญญัติว่า 'ยาเส้นปรุง' หมายความว่า ใบยาซึ่งมิใช่ยาพันธุ์ยาสูบพื้นเมืองหรือยาอัด ซึ่งได้หั่นเป็นเส้นและปรุงหรือปนด้วยวัตถุอื่นนอกจากน้ำคำว่าวัตถุในพระราชบัญญัติยาสูบไม่ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะว่าหมายความถึงอะไร จึงต้องถือตามความหมายทั่วๆ ไปว่า หมายถึงสิ่งต่างๆ จะเป็นอะไรก็ได้ ยาเส้นพันธุ์พื้นเมืองจึงต้องอยู่ในความหมายของคำว่าเป็นวัตถุอย่างหนึ่งและมิใช่เป็นวัตถุที่เรียกว่าน้ำดังนั้น การนำเอายาเส้นพันธุ์พื้นเมืองมาปนกับยาเส้นพันธุ์เวอร์ยิเนียซึ่งมิใช่ยาสูบพื้นเมืองหรือยาอัดจึงเป็นยาเส้นปรุงตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติยาสูบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 465

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 465/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1349

คลองซึ่งถ้าฝนตกน้อยเรือเดินไม่ได้หลายวันถนนคันคลองมีคลองและคูแยกขนานเป็นตอนๆ ไม่มีสภาพใช้เป็นทางสาธารณะตามมาตรา 1350 ที่ไม่ให้ใช้ทางจำเป็นผ่านที่ดินที่ล้อมอยู่ ศาลพิพากษาให้เปิดทางได้โดยโจทก์ไม่จำต้องขอจ่ายค่าทดแทนก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 463

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 463/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 172

หนังสือลูกหนี้ตอบทนายความของเจ้าหนี้ยอมรับใช้หนี้จำนวนที่แจ้งไป โดยขอปฏิบัติตามที่ลูกหนี้กำหนดขึ้นขอให้เจ้าหนี้ช่วยให้ความสะดวก มิใช่จะใช้หนี้โดยมีเงื่อนไข ดังนี้เป็นการรับสภาพหนี้ซึ่งลูกหนี้ต้องชำระหนี้นั้นตามคำท้า

« »
ติดต่อเราทาง LINE