คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2518
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1016/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1382
โจทก์จำเลยแบ่งที่ดินมรดกต่างครอบครองที่ดินที่แบ่งคนละแปลงแต่โฉนดที่โจทก์ได้รับมาในชื่อโจทก์เป็นโฉนดที่ดินแปลงอีกแปลงหนึ่งส่วนโฉนดที่จำเลยได้รับไปในชื่อจำเลยเป็นโฉนดที่ดินที่โจทก์ครอบครองโจทก์ครอบครองมาเกิน 10 ปีโดยเข้าใจผิดว่าครอบครองที่ดินตามโฉนดที่ตนมีชื่อ ดังนี้ แม้โจทก์เพิ่งทราบความผิดพลาดโจทก์ก็ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินที่ครอบครองตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1012/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 882
ตัวแทนรับเงินประกันชีวิตไว้แล้วไม่ส่งแก่บริษัทรับประกันภัยตัวการ อายุความมีกำหนด 10 ปี ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 169 ไม่ใช่ 2 ปีตามมาตรา 882 ซึ่งใช้ระหว่างผู้เอาประกันภัยกับผู้รับประกันภัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1007/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 81, 82, 83, 84, 1618, 1629, 1676, 1699
วัตถุที่ประสงค์ของมูลนิธิและข้อกำหนดว่าด้วยทรัพย์สินของมูลนิธิตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 82(3) และ (4) นั้น ตามมาตรา 84 หาได้ยอมให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดขอร้องให้ศาลกำหนดขึ้นได้ไม่อันแสดงว่าเจตนารมย์ของกฎหมายประสงค์จะให้ผู้ก่อตั้งมูลนิธิแต่ผู้เดียวเป็นผู้กำหนดในตราสารจัดตั้งและจะขาดเสียมิได้ เพราะรายการทั้งสองดังกล่าวเป็นสารสำคัญอันถือได้ว่าเป็นองค์ประกอบของการที่จะเป็นมูลนิธิตามมาตรา 81
ข้อกำหนดในพินัยกรรมเกี่ยวกับการก่อตั้งมูลนิธิมีว่า'โฉนดที่ดินหมายเลขที่ 6483 ตำบลตลิ่งชัน อำเภอตลิ่งชันจังหวัดธนบุรี เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ 35 วา ขอมอบให้เป็นมูลนิธิมงคลรักสำรวจ' เช่นนี้ พินัยกรรมดังกล่าวมิได้ระบุข้อความเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิมงคลรักสำรวจ ไว้ ย่อมทำให้มูลนิธิมงคล รักสำรวจ ไม่สามารถจัดตั้งขึ้นได้ ข้อกำหนดพินัยกรรมดังกล่าวจึงหาใช่เป็นข้อกำหนดพินัยกรรมที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1676 ไม่เพราะมิได้ระบุให้บุคคลใดตกอยู่ในภาระติดพันที่จะก่อตั้งมูลนิธิเพื่อประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งมิได้มีการสั่งให้จัดสรรทรัพย์สินไว้โดยตรงเพื่อประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งตามบทบัญญัติมาตรา 81 ข้อกำหนดพินัยกรรมของนายมงคลที่ว่าขอมอบที่ดินให้เป็นมูลนิธิมงคล รักสำรวจจึงไม่มีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย ที่ดินโฉนดที่ 6483 จึงตกทอดแก่โจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นทายาทลำดับ 3 ของเจ้ามรดกแต่เพียงคนเดียวตามมาตรา 1699เพราะโจทก์ที่1 ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมลำดับสูงกว่าซึ่งเหลืออยู่เพียงผู้เดียวได้สละมรดกแล้ว กรมที่ดินและเจ้าพนักงานที่ดินจำเลยจึงต้องรับจดทะเบียนโอนแก้ทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้เป็นของโจทก์ที่ 2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 999/2518
ประมวลรัษฎากร
โจทก์ซื้อที่ดินพร้อมตึกแถวในปี 2484 ในราคา 12,550 บาท ต่อมาในปี 2505 โจทก์ขายให้แก่ผู้เช่าเพราะเสียอ้อนวอนไม่ได้ในราคา 420,000 บาท เมื่อปรากฏว่าค่าของเงิน 12,550 บาท ในปี 2484 ต่างกับ 420,000 บาท ในปี 2505 ไม่มากนัก ย่อมถือไม่ได้ว่าโจทก์ขายที่ดินโดยมุ่งหากำไรการกรอกรายการขอยกเว้นภาษีจำนวนเงินที่ขายที่ดิน 420,000 บาท ผิดพลาดเป็น 430,000 บาทไม่เป็นเหตุให้โจทก์ไม่ได้รับยกเว้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 996/2518
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2465 ม. 4ทวิ, 20ทวิ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2504 ม. 4, 6 ประมวลกฎหมายอาญา ม. 91 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 192 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยบังอาจกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน โดยมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นเกลือของเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย และได้บังอาจจำหน่ายยาเสพติดให้โทษดังกล่าวแล้วอีกจำนวนหนึ่งให้แก่ผู้มีชื่อด้วย จำเลยให้การรับสารภาพ โจทก์สืบพยานประกอบคำรับสารภาพได้ความว่าจำเลยมีเฮโรอีนไว้เพื่อจำหน่ายจำนวนหนึ่งและจำหน่ายเฮโรอีนอีกจำนวนหนึ่ง ดังนี้การกระทำของจำเลยแยกได้เป็น 2 กระทง แต่ละกระทงเป็นความผิดตามกฎหมายถึงแม้ว่ากฎหมายจะบัญญัติความผิดดังกล่าวไว้ในมาตราเดียวกัน แต่การกระทำความผิดอาจแยกเป็นกระทงๆได้ ซึ่งแล้วแต่ข้อเท็จจริงแห่งคดีและการบรรยายฟ้องของโจทก์ประกอบกัน
จำเลยกระทำความผิดหลังจากที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 มีผลใช้บังคับแล้วตามประกาศดังกล่าวข้อ 2 ได้แก้ไขยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 โดยให้ลงโทษผู้กระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปแม้โจทก์จะมิได้อ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 มาในคำขอท้ายฟ้อง แต่โจทก์ก็ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรม ดังนั้น ศาลมีอำนาจเรียงกระทงลงโทษจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 971/2518
ประมวลรัษฎากร ม. 77 บัญชีอัตราภาษีการค้าท้ายประมวลรัษฎากร ประมวลรัษฎากร ม. 6, 22 พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2513 ม. 3 พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ 21) พ.ศ. 2509 ม. 4
ประมวลรัษฎากร มาตรา 77 บัญญัติความหมายของคำว่า 'ผลิต' ไว้ว่า หมายถึง 'ทำการเกษตรหรือขุดค้นทรัพยากรธรรมชาติ ประกอบแปรรูป แปรสภาพสินค้าหรือทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้มีขึ้นซึ่งสินค้าไม่ว่าด้วยวิธีใดและ 'ผู้ผลิต' หมายถึง 'ผู้ประกอบการค้าที่ทำการผลิต' โจทก์ทำสินค้าโดยซื้อลวดเหล็กมีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดใหญ่ซึ่งเป็นขนาดที่ไม่มีคนเอาไปใช้อย่างอื่นนอกจากแปรรูปให้เป็นขนาดเล็กนำมาผ่านกรรมวิธีต่างๆ 4 ขั้นตอน คือล้างและรีดเป็นเส้นลวดให้มีขนาดเล็กลงแล้วนำไปอบความร้อนให้มีสภาพอ่อนตัวลงและชุบสังกะสีทำเป็นลวดสังกะสีและตะปู หรือเข้าเครื่องฟั่นเครื่องตัดทำเป็นลวดหนามออกจำหน่าย ดังนี้ การทำสินค้าลวดเหล็กของโจทก์ตั้งแต่กรรมวิธีที่ 1 ถึงกรรมวิธีที่ 4 ถือได้ว่าเป็นการแปรสภาพสินค้าจากลวดเหล็กขนาดใหญ่เป็นลวดสังกะสี ลวดหนาม และตะปูจึงเป็นการผลิตตามความหมายของมาตรา 77 และเมื่อโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าสินค้าที่โจทก์ทำการผลิต โจทก์จึงเป็นผู้ผลิตตามมาตรา 77 ด้วย
เมื่อโจทก์นำลวดสังกะสี ลวดหนาม และตะปูที่ตนผลิตดังกล่าวมาขาย โจทก์ต้องเสียภาษีการค้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้าท้ายหมวด 4 แห่งประมวลรัษฎากรประเภท 1 การขายของชนิด1(ก) ในฐานะผู้ผลิตในอัตราร้อยละ 5 สำหรับรายรับก่อนเดือนกรกฎาคม 2513 และร้อยละ 7 สำหรับรายรับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2513 เป็นต้นมา เพราะการค้าของโจทก์มิได้รับการลดอัตราภาษีการค้าตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ 21) พ.ศ.2509 มาตรา 4(1)(3) เพราะโจทก์มิได้ส่งสินค้าที่โจทก์ผลิตออกนอกราชอาณาจักร และสินค้าดังกล่าวก็มีระบุไว้ในบัญชีที่ 1 ท้ายพระราชกฤษฎีกา
โจทก์ซื้อลวดเหล็กที่นำมาผลิตเป็นลวดสังกะสี ลวดหนามและตะปูมาจากบริษัทผู้ผลิตลวดเหล็กในประเทศบ้าง และซื้อมาจากต่างประเทศบ้างแม้บริษัทผู้ผลิตในประเทศจะได้เสียภาษีการค้าไปชั้นหนึ่งแล้วก็ตามหรือโจทก์ได้เสียภาษีการค้าในกรณีนำลวดเหล็กเข้ามาในประเทศไปแล้วก็ตามก็เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายของแต่ละคนและแต่ละกรณีไปเมื่อโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าซึ่งจะต้องเสียภาษีการค้าด้วยแล้ว โจทก์ก็มีหน้าที่ต้องชำระภาษีการค้าตามนั้น จะอ้างว่าขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมายหรือเป็นการเสียภาษีซ้อนหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 967/2518
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 141 (5), 183, 243 (2), 247
แม้ศาลชั้นต้นจะไม่ได้กะประเด็นเรื่องอายุความไว้ตามที่จำเลยให้การต่อสู้คดีแต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ได้วินิจฉัยในประเด็นนี้แล้วว่า คดีไม่ขาดอายุความ จึงไม่มีเหตุสมควรที่ศาลฎีกาจะต้องให้ศาลชั้นต้นกะประเด็นแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 941/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 194, 361
ส. ประกันตัว ก. จำเลยในคดีอาญาไปจากศาล จำเลยได้ทำสัญญาหมาย จ.1 ให้ ส. ไว้ว่า ถ้า ก. หลบหนีจำเลยขอรับผิดชดใช้ค่าปรับตามคำสั่งศาลแทน ส. ตลอดจนค่าติดตามทวงถามด้วยโจทก์ตกลงกับจำเลยแก้ชื่อ ส. ใส่ชื่อโจทก์ในสัญญา จ.1 ดังนั้นเมื่อก. หลบหนีจนศาลสั่งปรับโจทก์ 20,000 บาทและโจทก์ได้ชำระค่าปรับต่อศาลแล้วจำเลยจึงต้องชดใช้เงินจำนวนนี้แก่โจทก์ส่วนค่าติดตามทวงถามตามสัญญาค้ำประกันนั้นหมายถึงค่าติดตามทวงถามเรื่องเงินค่าปรับไม่ใช่ติดตามตัว ก. ดังนั้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยชดใช้ค่าใช้จ่ายในการติดตามและสืบหาตัว ก. สำหรับค่าธรรมเนียมในการที่โจทก์ถูกศาลยึดทรัพย์เพื่อขายทอดตลาดชำระค่าปรับนั้นเมื่อมิได้กำหนดไว้ในสัญญาและเมื่อโจทก์ถูกศาลสั่งปรับ ก็มิได้เรียกร้องให้จำเลยชำระค่าปรับ จำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้ให้โจทก์เช่นเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 935/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 420
โจทก์มอบหมายให้ บ. นำซองประกวดราคาในการก่อสร้างเพิ่มเติมอาคารโรงเรียนไปยื่นต่อคณะกรรมการรับซองประกวดราคาเมื่อ บ. ยื่นซองประกวดราคาแล้ว จำเลยที่ 1 ได้แย่งเอาซองและเอกสารที่ บ. ยื่นไว้ไป การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 934/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1361, 1473, 1477
การให้สินบริคณห์โดยเสน่หาตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางสมาคม ซึ่งสามีทำได้โดยไม่ต้องรับความยินยอมของภรรยาตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473 นั้น ผู้ได้รับการยกให้ต้องมีความสัมพันธ์หรือมีฐานะชอบด้วยกฎหมาย จำเลยผู้รับให้เป็นภริยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ไม่เป็นการให้ที่ยกเว้นตามมาตรานี้ แต่ไม่ใช่เรื่องโมฆะกรรมหรือโมฆียะเป็นแต่เพียงนิติกรรมที่ทำไปโดยไม่ชอบซึ่งภริยาเพิกถอนได้
สามีทำพินัยกรรมฉบับหลังว่ามิให้พินัยกรรมฉบับแรกที่ยกทรัพย์ให้ภริยาทั้งหมดมีผลกระทบถึงทรัพย์ที่ยกให้ภริยาน้อยไปแล้วดังนี้ ภริยาน้อยได้รับที่ดินส่วนของสามีครึ่งหนึ่งตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361,1477
ชายออกเงินซื้อที่ดินยกให้ภริยาน้อย ที่ดินเป็นสินสมรสระหว่างชายกับภริยาหลวง มิใช่เป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างชายกับภริยาน้อย


