
"ฉกของแล้ววิ่ง" หลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่จริง ๆ แล้ว มันคือคดีอาญาที่มีโทษหนักติดคุกได้จริง! ในฐานะ แอดมินและนักเขียนของ Legardy ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่รวมทนายจากทั่วประเทศ ผมเห็นคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้บ่อยมากในกระทู้ของเรา หลายคนมาปรึกษาว่า “แค่ขโมยของไปแป๊บเดียว แต่คืนแล้ว ยังผิดไหม?” หรือ “ไม่ได้ใช้ความรุนแรง แค่หยิบของแล้วหนี ทำไมโดนคดีหนัก?”
นี่คือเหตุผลที่ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมา เพื่ออธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุด ว่าอะไรคือ ‘ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์’ โทษหนักแค่ไหน และอะไรที่ทำให้โทษหนักขึ้นไปอีก!
ตอบให้ชัดเจนตั้งแต่บรรทัดนี้เลย:
✅ วิ่งราวทรัพย์มีโทษหนัก! แม้ไม่ได้ใช้ความรุนแรง ก็ยังติดคุกได้
✅ คืนของให้เหยื่อแล้ว ไม่ได้แปลว่าหลุดพ้นความผิด
✅ ถ้าทำผิดซ้ำ หรือมีเหตุประกอบ โทษจะหนักขึ้นไปอีก!
แล้วถ้าเจอเหตุการณ์จริง ๆ ต้องทำยังไง? คนที่ถูกขโมยของควรแจ้งความไหม? แล้วคนที่ทำผิดพอจะมีทางไหนให้ได้รับโทษเบาลงได้บ้าง? มาอ่านให้จบ แล้วคุณจะเข้าใจทุกมุมของคดีนี้!
1. ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์คืออะไร? แค่หยิบของแล้ววิ่ง = ติดคุกเลยไหม?
1.1 ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์หมายถึงอะไร? กฎหมายกำหนดไว้อย่างไร?
"ขโมยของแล้ววิ่ง" ไม่ใช่แค่เรื่องเล็ก ๆ แต่มันคือคดีอาญาที่เข้าข่าย "ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์" ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ซึ่งกำหนดว่า
มาตรา 336 "ผู้ใดลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
พูดง่าย ๆ คือ: ถ้าคุณขโมยของไปแบบต่อหน้าต่อตาเจ้าของ แล้วรีบหนีไปให้พ้นจากการควบคุมของเขา คุณเข้าข่าย “วิ่งราวทรัพย์” ทันที!
หลายคนอาจเข้าใจผิดคิดว่า "แค่ลักทรัพย์ธรรมดา โทษไม่น่าหนักมาก" แต่จริง ๆ แล้ว โทษของวิ่งราวทรัพย์หนักกว่าการลักทรัพย์ธรรมดา เพราะมันเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเจ้าของ ทำให้เกิดผลกระทบทางจิตใจและความปลอดภัยของผู้เสียหายมากกว่า
1.2 ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ต่างจากลักทรัพย์ยังไง? ทำไมบางคนโดนโทษหนักกว่า?
ลักทรัพย์ กับ วิ่งราวทรัพย์ ดูเผิน ๆ อาจเหมือนกัน แต่จริง ๆ แล้ว มีความต่างกันที่วิธีการก่อเหตุและผลกระทบต่อเหยื่อ
📌 ลักทรัพย์ (มาตรา 334) → คือการแอบเอาทรัพย์สินของผู้อื่นไปโดยที่เขาไม่รู้ตัว เช่น ขโมยของจากบ้าน หรือหยิบมือถือในกระเป๋าคนอื่น
📌 วิ่งราวทรัพย์ (มาตรา 336) → คือการขโมยของแบบเปิดเผยต่อหน้าต่อตาเจ้าของ แล้วรีบหนีไป เช่น ฉกกระเป๋าแล้ววิ่ง หรือกระชากมือถือจากมือเหยื่อแล้วหนีไป
สิ่งที่ทำให้โทษของวิ่งราวทรัพย์หนักขึ้นกว่าลักทรัพย์
- เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเจ้าของ ทำให้เกิดความหวาดกลัวและอาจสร้างอันตรายต่อเหยื่อ
- มีความเร่งรีบ หนีเอาตัวรอด ทำให้มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุสูง เช่น เหยื่อล้มขณะไล่ตาม หรือมีการปะทะเกิดขึ้น
- สร้างความตื่นตระหนกในที่สาธารณะ ส่งผลต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม
1.3 ถ้าหยิบของแล้วเปลี่ยนใจคืน ยังถือเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ไหม?
ตอบแบบชัด ๆ เลย: "ผิด!" ถึงแม้จะคืนของให้เหยื่อภายหลัง แต่การกระทำก็ยังครบองค์ประกอบของความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์
👉 ตัวอย่างสถานการณ์ A
นาย ก. ฉกโทรศัพท์จากมือของ นาง ข. แล้วรีบวิ่งหนีไป แต่รู้สึกผิดเลยเดินกลับมาคืนให้ นาง ข. ในอีก 5 นาทีต่อมา
👉 ตัวอย่างสถานการณ์ B
นาย ค. วิ่งราวกระเป๋าสตางค์จากร้านค้า แต่รู้ว่ากล้องวงจรปิดจับภาพไว้ได้เลยรีบเอามาคืน หวังให้เจ้าของไม่เอาเรื่อง
แม้จะคืนของแล้วก็ตาม แต่ความผิดสำเร็จไปแล้วตั้งแต่ตอนที่ทรัพย์สินถูกฉกฉวยไปจากเจ้าของ ตำรวจยังสามารถแจ้งข้อหาและดำเนินคดีตามกฎหมายได้
1.4 ถ้าแค่ยืมไปแป๊บเดียวแล้วคืน ยังถือเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ไหม?
บางคนอาจคิดว่า "แค่ยืมของไปเล่นแป๊บเดียว เดี๋ยวก็เอามาคืน จะเป็นความผิดได้ยังไง?" แต่ในทางกฎหมาย ไม่มีคำว่า "ขโมยเล่น ๆ" เพราะ ถ้าตั้งใจเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ความผิดก็เกิดขึ้นแล้ว!
กรณีที่ศาลเคยตัดสิน ฎีกาที่ 7471/2543 ระบุไว้ว่า
“การที่จำเลยนำทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยพลการ แม้จะตั้งใจคืนภายหลัง ก็ยังถือเป็นความผิดสำเร็จ”
พูดง่าย ๆ คือ: ต่อให้คืนของให้เจ้าของในอีก 5 นาที หรือ 10 นาที ก็ยังผิด!
📌 สรุปหัวข้อแรก
✅ วิ่งราวทรัพย์ต่างจากลักทรัพย์ เพราะเกิดขึ้นต่อหน้าเจ้าของ และมีการฉกฉวยเอาอย่างรวดเร็ว
✅ ถ้าขโมยไปแล้ว คืนของทีหลัง ก็ยังผิดฐานวิ่งราวทรัพย์อยู่ดี
✅ "ขโมยเล่น ๆ" หรือ "ยืมแป๊บเดียว" ไม่มีอยู่จริงในกฎหมาย ถ้าหยิบของไปแล้วผิดเลย!
2.ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ต้อง "ใช้กำลัง" ไหม? หรือแค่ฉกของแล้วหนีก็ผิด?
หลายคนยังสับสนว่า “วิ่งราวทรัพย์” ต้องใช้กำลังไหม? หรือแค่หยิบของแล้ววิ่งก็พอ? บางคนคิดว่า ถ้าไม่ได้ใช้กำลัง หรือไม่ได้ทำร้ายใคร โทษอาจเบาลง แต่ในความเป็นจริง ไม่ต้องใช้กำลังก็ผิดฐานวิ่งราวทรัพย์เต็ม ๆ
ลองนึกภาพตาม สมมุติคุณเดินอยู่ในตลาดแล้วมีคนวิ่งเข้ามาฉกกระเป๋าสตางค์จากมือคุณ แล้วรีบหนีไป นี่คือความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์เต็ม ๆ แม้เขาจะไม่ได้ทำร้ายคุณเลยก็ตาม เพราะ "การฉกฉวยเอาทรัพย์ของผู้อื่นโดยที่เจ้าของเห็น แต่ไม่สามารถป้องกันได้ทัน" คือจุดสำคัญของคดีนี้
2.1 วิ่งราวทรัพย์คืออาชญากรรมที่เกิดขึ้นในพริบตา – ใช้กำลังหรือไม่ก็ผิด
วิ่งราวทรัพย์มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากอาชญากรรมเกี่ยวกับทรัพย์อื่น ๆ นั่นคือ การกระทำที่ฉับไว จนเหยื่อไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ทัน การกระทำแบบนี้สร้างความตกใจ หวาดกลัว และบางครั้งนำไปสู่การบาดเจ็บ แม้ว่าคนร้ายจะไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้นก็ตาม
ในทางกฎหมาย "การใช้กำลัง" ไม่ใช่เงื่อนไขหลักของความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ แต่อยู่ที่ "ลักษณะการฉกฉวย" ว่าเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเจ้าของหรือไม่
2.2 วิ่งราวทรัพย์ vs. ชิงทรัพย์ – อะไรคือเส้นแบ่งที่ทำให้โทษหนักขึ้น?
มีคนเข้าใจผิดอยู่บ่อย ๆ ว่า วิ่งราวทรัพย์ กับ ชิงทรัพย์ คือเรื่องเดียวกัน แต่ในทางกฎหมาย “ชิงทรัพย์” ร้ายแรงกว่า และมีโทษหนักกว่าหลายเท่า เพราะมีเงื่อนไขสำคัญที่แตกต่างกัน
วิ่งราวทรัพย์ ตามมาตรา 336 คือ การฉกฉวยเอาทรัพย์ไปโดยที่เหยื่อไม่ทันตั้งตัว
ชิงทรัพย์ ตามมาตรา 339 นั้นต้อง มีการใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญเหยื่อก่อน แล้วค่อยเอาทรัพย์ไป
ยกตัวอย่างให้ชัด สมมุติคุณเดินอยู่ริมถนน
- ถ้ามีคนเดินมาแล้วฉกโทรศัพท์จากมือคุณแล้ววิ่งหนีไป นี่คือ "วิ่งราวทรัพย์"
- ถ้ามีคนเดินมาแล้วผลักคุณล้มก่อน จากนั้นหยิบโทรศัพท์ไป นี่คือ "ชิงทรัพย์" ซึ่งโทษหนักขึ้นทันที!
ความแตกต่างของคดีทำให้โทษต่างกันหลายเท่าตัว
- วิ่งราวทรัพย์ โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ชิงทรัพย์ โทษจำคุก 5 - 10 ปี และปรับ 100,000 - 200,000 บาท
- ถ้าชิงทรัพย์โดยใช้อาวุธ โทษหนักขึ้นไปอีก จำคุก 10 - 20 ปี
2.3 วิ่งราวทรัพย์กลางวัน vs. วิ่งราวทรัพย์กลางคืน โทษต่างกันยังไง?
หลายคนอาจไม่รู้ว่า เวลาเกิดเหตุมีผลต่อโทษด้วย!
ตามมาตรา 336 วรรคสอง กำหนดไว้ว่า
"ถ้าการวิ่งราวทรัพย์กระทำในเวลากลางคืน ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท"
แปลว่า ถ้าคุณไปวิ่งราวทรัพย์ตอนกลางคืน โทษจะหนักขึ้น!
เหตุผลก็ง่าย ๆ เพราะกลางคืนเป็นช่วงเวลาที่ การก่ออาชญากรรมมีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่าย เนื่องจากมีคนน้อย และเหยื่อมีโอกาสขอความช่วยเหลือได้น้อยกว่ากลางวัน
2.4 แค่แตะตัวเหยื่อก่อนวิ่ง = ใช้กำลัง? โทษจะหนักขึ้นจริงไหม?
"แค่แตะตัวเหยื่อก่อนฉกของไป จะนับว่าใช้กำลังไหม?"
คำถามนี้เกิดขึ้นบ่อย และศาลฎีกาเคยวินิจฉัยเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนใน ฎีกาที่ 1445/2538 ซึ่งมีคำตัดสินว่า
"หากผู้กระทำผิดมีการใช้กำลังแม้เพียงเล็กน้อย เพื่อให้ได้ทรัพย์ไป ก็จะกลายเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ทันที"
หมายความว่า ถ้ามีการผลัก ดึง หรือแม้แต่กระชากเบา ๆ โทษจะหนักขึ้นเป็น "ชิงทรัพย์" ทันที!
2.5 ถ้าเหยื่อไล่ตามแล้วล้มเอง คนร้ายจะโดนข้อหาหนักขึ้นไหม?
บางครั้งคนร้ายไม่ได้ใช้กำลัง แต่เหยื่อไล่ตามแล้วล้มบาดเจ็บ แบบนี้คนร้ายต้องรับผิดเพิ่มไหม?
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 วรรคสอง บัญญัติว่า
"ถ้าการวิ่งราวทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท"
ดังนั้น หากผู้กระทำความผิดวิ่งราวทรัพย์และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้เหยื่อได้รับบาดเจ็บหรืออันตราย แม้ผู้กระทำจะไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ก็ยังต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย
📌 สรุปหัวข้อนี้
✅ การวิ่งราวทรัพย์ ไม่ต้องใช้กำลังก็ผิด! แค่ฉกของแล้วหนีก็โดนคดีเต็ม ๆ
✅ ถ้าใช้กำลังแม้เพียงเล็กน้อย หรือทำให้เหยื่อบาดเจ็บ โทษจะหนักขึ้นเป็น "ชิงทรัพย์"
✅ หากวิ่งราวทรัพย์ในเวลากลางคืน โทษจะเพิ่มขึ้น เพราะถือว่าเป็นช่วงที่เสี่ยงอาชญากรรมมากกว่า
✅ ถ้าเหยื่อล้มบาดเจ็บระหว่างไล่ตาม คนร้ายต้องรับผิดชอบเพิ่ม แม้จะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม
3.ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์มีโทษอะไรบ้าง? ลดโทษได้ไหม?
เรื่องที่หลายคนยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับ "ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์" คือ คิดว่ามันเป็นเรื่องเล็ก ๆ โทษไม่หนัก หรือบางคนเชื่อว่า "คืนของแล้วก็น่าจะไม่ผิดสิ" แต่ในความเป็นจริง กฎหมายมองว่าความผิดสำเร็จตั้งแต่วินาทีแรกที่ทรัพย์สินถูกฉกฉวยไป และที่สำคัญ "คืนของ" ไม่ได้ช่วยให้พ้นผิด แต่มีผลแค่ในเรื่องของการลดโทษเท่านั้น
3.1 โทษของความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์หนักแค่ไหน? ติดคุกจริงไหม?
โทษของวิ่งราวทรัพย์กำหนดไว้ใน มาตรา 336 ประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งระบุไว้ชัดเจนว่า
"ผู้ใดลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
หากดูเผิน ๆ หลายคนอาจคิดว่า "อ๋อ จำคุกไม่เกิน 5 ปี แสดงว่าไม่หนักมาก?" แต่ต้องเข้าใจก่อนว่า ศาลมีอำนาจพิจารณาโทษได้ตั้งแต่ "เบาที่สุด" ไปจนถึง "หนักที่สุด" ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขหลายอย่าง และในบางกรณี ศาลอาจเพิ่มโทษได้ตามสถานการณ์
หากเป็นการกระทำความผิด ในเวลากลางคืน หรือ มีเหตุพิเศษอื่น ๆ โทษอาจเพิ่มขึ้นตามมาตรา 336 วรรคสอง ซึ่งระบุว่า
"ถ้าการวิ่งราวทรัพย์กระทำในเวลากลางคืน ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท"
ดังนั้น ถ้าคุณก่อเหตุในช่วงกลางคืน คุณอาจติดคุก อย่างต่ำ 1 ปี และอาจโดนโทษสูงสุดถึง 7 ปี
3.2 คืนของให้เหยื่อแล้ว จะพ้นผิดไหม? หรืออย่างน้อยลดโทษได้หรือไม่?
คนที่เคยวิ่งราวทรัพย์แล้วโดนจับได้ ส่วนใหญ่มักมีคำถามว่า "คืนของแล้ว ศาลจะยกฟ้องไหม?" หรือ "คืนของให้เหยื่อ ศาลจะเมตตาลดโทษให้หรือเปล่า?"
ต้องอธิบายให้ชัดเจนว่า คืนของไม่ช่วยให้พ้นผิด เพราะการกระทำผิดสำเร็จไปแล้ว แต่มีผลต่อการลดโทษได้ในบางกรณี
ศาลเคยมีคำพิพากษาไว้ชัดเจน เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1785/2554 ซึ่งระบุว่า
"การลักทรัพย์เป็นความผิดอาญาและเป็นละเมิดทางแพ่ง ผู้กระทำความผิดต้องคืนหรือชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหาย"
ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดคืนทรัพย์สินให้แก่ผู้เสียหายโดยสมัครใจและแสดงความสำนึกผิด ศาลอาจพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษ แต่หากการคืนทรัพย์สินเกิดขึ้นหลังจากถูกจับกุม หรือมีเจตนาเพื่อลดโทษอย่างชัดเจน ศาลอาจไม่พิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษ
ดังนั้น การคืนทรัพย์สินและพฤติการณ์ของผู้กระทำความผิดเป็นปัจจัยที่ศาลจะพิจารณาในการกำหนดโทษ
3.3 ถ้าผู้เสียหายไม่แจ้งความ ตำรวจจะเอาผิดได้หรือเปล่า?
หลายคนเข้าใจผิดว่า "ถ้าเหยื่อไม่แจ้งความ ก็ไม่มีคดีใช่ไหม?" ซึ่งไม่จริงเลย เพราะคดีวิ่งราวทรัพย์ถือเป็น คดีอาญาแผ่นดิน
กฎหมายกำหนดว่า ตำรวจสามารถดำเนินคดีได้เอง แม้ผู้เสียหายไม่แจ้งความก็ตาม
ถ้าตำรวจมีหลักฐานชัดเจน เช่น กล้องวงจรปิด หรือพยานบุคคลเห็นเหตุการณ์ ตำรวจสามารถดำเนินคดีเองได้เลย ไม่ต้องรอให้ผู้เสียหายมาแจ้งความก่อน
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ คดีที่มีภาพจากกล้องวงจรปิดชัดเจน แม้ผู้เสียหายจะไม่อยากเอาเรื่อง แต่ถ้าตำรวจเห็นว่าคดีนี้กระทบต่อสังคม ก็สามารถดำเนินคดีได้โดยตรง
3.4 คนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี วิ่งราวทรัพย์ โทษต่างจากผู้ใหญ่ไหม?
ถ้าผู้ก่อเหตุเป็นเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ศาลจะใช้กฎหมายเด็กและเยาวชนในการพิจารณา ซึ่งแตกต่างจากผู้ใหญ่
ศาลอาจพิจารณาให้มีการใช้ มาตรการฟื้นฟู แทนการจำคุก เช่น
- ให้เข้าค่ายปรับพฤติกรรม
- ให้ทำงานบริการสังคม
- อาจส่งตัวไปอยู่ในสถานพินิจเพื่ออบรมแทนการติดคุก
แต่ถ้าคดีร้ายแรง เช่น ทำผิดซ้ำหลายครั้ง หรือก่อเหตุกลางคืนโดยมีเจตนาร้ายแรง ศาลอาจพิจารณาโทษสูงขึ้น และหากอายุใกล้ 18 ปี อาจถูกลงโทษหนักขึ้นตามดุลยพินิจของศาล
เคยมีกรณีที่เด็กอายุ 17 ปี วิ่งราวทรัพย์แล้วถูกจับ ศาลลดโทษให้ แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว โทษจะหนักกว่านี้แน่นอน
📌 สรุปหัวข้อนี้
โทษของการวิ่งราวทรัพย์ หนักกว่าที่หลายคนคิด ถ้าทำผิดกลางวันโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี แต่ถ้าเป็นเวลากลางคืน โทษเพิ่มเป็น 7 ปี
คืนของให้เหยื่อ ไม่ได้ช่วยให้พ้นผิด แต่อาจเป็นเหตุให้ศาลพิจารณาลดโทษได้
แม้ว่าผู้เสียหายไม่แจ้งความ แต่ถ้ามีหลักฐาน ตำรวจสามารถดำเนินคดีเองได้ เพราะเป็นคดีอาญาแผ่นดิน
เยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี อาจได้รับโทษเบากว่าผู้ใหญ่ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะรอดจากการถูกดำเนินคดี
4. ตัวอย่างคดีดังเกี่ยวกับความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์! แบบไหนถึงได้เป็นข่าวใหญ่?
เรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยทำให้เห็นว่า ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ไม่ใช่แค่คดีเล็ก ๆ แต่บางกรณีกลับเป็นเรื่องใหญ่ที่เป็นข่าวดังทั่วประเทศ เพราะเมื่อมีการก่อเหตุในสถานที่สาธารณะ หรือมีผลกระทบต่อเหยื่ออย่างรุนแรง โทษที่ได้รับอาจหนักขึ้นกว่าปกติ และอาจเปลี่ยนจากแค่ "วิ่งราวทรัพย์" เป็น "ชิงทรัพย์" หรือแม้แต่ "ปล้นทรัพย์" ได้ในบางกรณี
4.1 คดีวิ่งราวทรัพย์ที่กลายเป็นข่าวใหญ่ และทำให้คนร้ายได้รับโทษหนักขึ้น
หนึ่งในคดีที่เคยเป็นข่าวใหญ่เกิดขึ้นที่กรุงเทพฯ คนร้ายขี่รถจักรยานยนต์ไปฉกกระเป๋าของหญิงสาวที่เดินอยู่ริมถนน แต่ขณะที่เหยื่อพยายามจับกระเป๋าไว้ คนร้ายกลับเร่งเครื่องจนเหยื่อล้มศีรษะกระแทกพื้นเสียชีวิต
จากคดีนี้ คนร้ายตั้งใจแค่จะ "วิ่งราวทรัพย์" แต่เมื่อเหยื่อได้รับอันตรายถึงชีวิต ศาลจึงพิจารณาให้โทษหนักขึ้นจากวิ่งราวทรัพย์เป็นชิงทรัพย์โดยทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งตาม มาตรา 339 วรรคสาม มีโทษสูงสุดถึง ประหารชีวิต!
นี่คือตัวอย่างชัดเจนว่า บางครั้งการก่อเหตุที่ดูเหมือนเล็ก ๆ อาจส่งผลกระทบรุนแรงจนเปลี่ยนโทษเป็นขั้นร้ายแรงที่สุดของกฎหมายได้
4.2 ถ้าเหยื่อให้อภัย คนร้ายจะพ้นผิดไหม?
หลายคนสงสัยว่า ถ้าเหยื่อใจดีและให้อภัย คนร้ายจะรอดพ้นจากการถูกดำเนินคดีหรือไม่ คำตอบคือ "ไม่!"
กฎหมายมองว่า ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์เป็นคดีอาญาแผ่นดิน ซึ่งหมายความว่า ถึงแม้เหยื่อจะให้อภัย แต่คดีก็ยังต้องดำเนินต่อไปตามกระบวนการของกฎหมาย
เนื่องจากความผิดประเภทนี้ส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม รัฐจึงมีหน้าที่ดำเนินคดีเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม
อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี ศาลอาจพิจารณาปัจจัยบรรเทาโทษ เช่น การที่ผู้กระทำความผิดแสดงความสำนึกผิดหรือผู้เสียหายได้รับการชดเชยความเสียหาย แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้คดีถูกยกเลิกหรือผู้กระทำความผิดพ้นจากความรับผิดชอบทางกฎหมาย
ดังนั้น แม้ผู้เสียหายจะให้อภัย ผู้กระทำความผิดในคดีวิ่งราวทรัพย์ยังคงต้องเผชิญกับกระบวนการยุติธรรมและรับโทษตามที่กฎหมายกำหนด
4.3 วิ่งราวทรัพย์แล้วเอาของไปคืนเอง จะรอดจากคดีได้ไหม?
บางคนอาจคิดว่า ถ้าไปคืนของเองก่อนที่เหยื่อจะแจ้งความ หรือก่อนที่ตำรวจจะจับได้ แบบนี้จะรอดคดีได้หรือเปล่า?
ในทางปฏิบัติ การคืนของโดยสมัครใจสามารถใช้เป็นเหตุบรรเทาโทษได้ แต่ไม่ได้ทำให้คดีเป็นโมฆะ
ตัวอย่างเช่น คดีที่คนร้ายฉกกระเป๋าสตางค์ของเหยื่อไป แต่เมื่อเห็นว่ามีกล้องวงจรปิดจับภาพได้ชัดเจน จึงรีบไปคืนของให้เหยื่อทันที ศาลอาจพิจารณาว่า "จำเลยมีความสำนึกผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายที่เกิดขึ้น" แต่ยังต้องรับโทษตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม หากคนร้ายคืนของเพราะกลัวว่าจะโดนจับ ไม่ใช่เพราะสำนึกผิดจริง ๆ ศาลอาจไม่พิจารณาลดโทษเลย
📌 สรุปหัวข้อนี้
คดีวิ่งราวทรัพย์หลายกรณีเริ่มต้นจากการขโมยของที่ดูเล็ก ๆ แต่สุดท้ายอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ในชั่วพริบตา หากมีการใช้กำลังหรือทำให้เหยื่อได้รับอันตราย โทษจะหนักขึ้นทันที
แม้เหยื่อจะให้อภัย แต่คดียังต้องดำเนินต่อไป เพราะความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์เป็น "คดีอาญาแผ่นดิน" ซึ่งรัฐมีอำนาจดำเนินคดีเอง
คืนของให้เหยื่ออาจช่วยลดโทษได้ แต่ไม่ได้ช่วยให้พ้นผิด หากเป็นการคืนของเพราะกลัวความผิดมากกว่าสำนึกผิดจริง ศาลอาจไม่ลดโทษให้เลย
5. ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ vs. คดีอื่น ๆ: อย่าเข้าใจผิด! โทษต่างกันเยอะ!
"ฉกของแล้วหนี" แบบนี้เรียกว่าวิ่งราวทรัพย์ใช่ไหม? หรือจริง ๆ แล้วเป็นลักทรัพย์? หรืออาจจะเข้าข่ายชิงทรัพย์? นี่คือคำถามที่หลายคนสงสัย และเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดกันมาก คดีเกี่ยวกับการขโมยของไม่ได้มีแค่ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์เท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายคดีที่มีโทษหนักเบาต่างกันอย่างมาก
สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือ แค่รายละเอียดเล็กน้อยของการก่อเหตุ ก็ทำให้โทษเปลี่ยนไปได้ทันที! อาจเริ่มจาก "แค่" วิ่งราวทรัพย์ แต่ถ้าเหยื่อล้มและบาดเจ็บ มันอาจกลายเป็น "ชิงทรัพย์" และถ้าเป็นการข่มขู่เหยื่อจนต้องยอมให้ทรัพย์ไป โทษอาจกลายเป็น "กรรโชกทรัพย์" ได้เลย
5.1 ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ≠ ลักทรัพย์ (ความเข้าใจผิดที่พลาดกันบ่อย!)
หลายคนเข้าใจผิดว่า วิ่งราวทรัพย์ กับ ลักทรัพย์ เป็นเรื่องเดียวกัน แต่ในทางกฎหมายมันแตกต่างกันมาก
ลักทรัพย์ ตามมาตรา 334 คือ การขโมยของโดยที่เจ้าของไม่รู้ตัว เช่น การแอบหยิบของจากกระเป๋าคนอื่น หรือการขโมยของในบ้านตอนเจ้าของไม่อยู่
วิ่งราวทรัพย์ ตามมาตรา 336 คือ การขโมยของไปต่อหน้าเจ้าของ แล้วรีบหนีไปทันที
สิ่งที่ทำให้ วิ่งราวทรัพย์โทษหนักกว่าลักทรัพย์ คือผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเหยื่อ การที่เหยื่อเห็นเหตุการณ์ต่อหน้าต่อตา อาจทำให้เกิดความตกใจ หวาดกลัว หรือแม้กระทั่งพยายามไล่ตามและได้รับอันตราย
ยกตัวอย่างสถานการณ์ที่ทำให้โทษเปลี่ยนจาก "ลักทรัพย์" เป็น "วิ่งราวทรัพย์"
นาย ก. เดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ เห็นโทรศัพท์ของลูกค้ารายหนึ่งวางไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบขึ้นมาโดยที่เจ้าของไม่รู้ตัว แบบนี้คือ ลักทรัพย์
แต่นาย ข. เดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ ฉกโทรศัพท์จากมือลูกค้ารายหนึ่งแล้ววิ่งหนีไปทันที เจ้าของเห็นเหตุการณ์แต่ป้องกันไม่ทัน แบบนี้คือ วิ่งราวทรัพย์
5.2 ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ≠ ชิงทรัพย์ (ชิงทรัพย์หนักกว่าแค่ไหน?)
หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า "ชิงทรัพย์" แล้วสงสัยว่ามันแตกต่างจาก "วิ่งราวทรัพย์" ยังไง
วิ่งราวทรัพย์ เป็นการฉกของไปต่อหน้าเจ้าของโดยไม่ต้องมีการใช้กำลัง
ชิงทรัพย์ ตามมาตรา 339 คือการใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญให้เหยื่อกลัว ก่อนจะเอาทรัพย์ไป
ลองนึกภาพดูว่าคุณเดินอยู่ในซอยเปลี่ยว ถ้ามีคนเข้ามาฉกกระเป๋าคุณไปทันที นี่คือ วิ่งราวทรัพย์ แต่ถ้าคนร้ายเดินมาประกบ แล้วผลักคุณจนล้มก่อนจะฉกกระเป๋าไป แบบนี้คือ ชิงทรัพย์
โทษของชิงทรัพย์หนักกว่าวิ่งราวทรัพย์มาก เพราะเป็นการใช้กำลังหรือขู่เข็ญเหยื่อก่อนจะแย่งทรัพย์ไป โทษจำคุกขั้นต่ำคือ 5 ปี และสูงสุดถึง 10 ปี
ถ้าการชิงทรัพย์มีการใช้อาวุธ หรือทำให้เหยื่อได้รับบาดเจ็บ โทษอาจหนักขึ้นเป็น จำคุก 10-20 ปี หรืออาจถึงขั้นประหารชีวิต
5.3 วิ่งราวทรัพย์ vs. ปล้นทรัพย์ (อะไรทำให้โทษเพิ่มขึ้นมหาศาล?)
"ปล้นทรัพย์" เป็นคดีที่หนักกว่าชิงทรัพย์อีกระดับ และมีโทษร้ายแรงที่สุดในคดีเกี่ยวกับทรัพย์สิน
วิ่งราวทรัพย์ เป็นการขโมยของแบบฉับไวโดยไม่มีการใช้กำลัง
ปล้นทรัพย์ ตามมาตรา 340 คือการใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญเพื่อให้ได้ทรัพย์ แต่ต้องเกิดจาก การกระทำร่วมกันของคนตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป
ตัวอย่างของปล้นทรัพย์ที่เป็นข่าวใหญ่ เช่น แก๊งโจรปล้นร้านทอง หรือ กลุ่มวัยรุ่นร่วมกันปล้นรถจักรยานยนต์ของเหยื่อ
เพราะเป็นอาชญากรรมที่มีการวางแผนและก่อเหตุเป็นกลุ่ม โทษของปล้นทรัพย์หนักกว่าทุกคดีเกี่ยวกับทรัพย์
โทษจำคุกขั้นต่ำ 10 ปี สูงสุดถึง 20 ปี และถ้าทำให้เหยื่อเสียชีวิต โทษอาจถึง ประหารชีวิต
5.4 ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ vs. กรรโชกทรัพย์ และรีดเอาทรัพย์ ต่างกันยังไง?
นอกจากชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์ ยังมีอีกสองคดีที่มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นวิ่งราวทรัพย์ นั่นคือ "กรรโชกทรัพย์" และ "รีดเอาทรัพย์"
กรรโชกทรัพย์ ตามมาตรา 337 คือการข่มขู่ให้เหยื่อยอมให้ทรัพย์โดยไม่มีการใช้กำลังทันที เช่น การข่มขู่ทางวาจา ขู่ว่าจะเปิดโปงเรื่องเสียหาย หรือขู่ให้เหยื่อโอนเงินให้
รีดเอาทรัพย์ ตามมาตรา 338 คือการใช้กำลังหรือขู่บังคับให้เหยื่อยอมให้ทรัพย์ไป แต่จะรุนแรงกว่ากรรโชกทรัพย์ เช่น จับตัวเหยื่อขังไว้ บังคับให้โอนเงิน หรือทำร้ายเหยื่อจนยอมให้ทรัพย์ไป
ทั้งสองคดีนี้มีโทษหนักกว่าวิ่งราวทรัพย์มาก เพราะมีการข่มขู่หรือใช้กำลังเพื่อให้ได้ทรัพย์
📌 สรุปหัวข้อนี้
"ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์" อาจดูเหมือนเป็นการขโมยของที่ไม่รุนแรง แต่จริง ๆ แล้ว มันอยู่ในจุดที่ใกล้เคียงกับคดีที่มีโทษหนักขึ้นอีกหลายระดับ
ถ้ามีการใช้กำลังแม้เพียงเล็กน้อย โทษอาจเปลี่ยนเป็น ชิงทรัพย์ ซึ่งหนักขึ้นทันที
ถ้ากระทำการเป็นกลุ่มตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป โทษอาจกลายเป็น ปล้นทรัพย์ ซึ่งมีโทษหนักถึงขั้นประหารชีวิต
ถ้าคนร้ายขู่เหยื่อให้ยอมให้ทรัพย์ไปเองโดยไม่ต้องขโมย อาจเป็น กรรโชกทรัพย์ หรือ รีดเอาทรัพย์ ซึ่งมีโทษจำคุกสูงถึง 10 ปี
เพียงแค่รายละเอียดเล็ก ๆ ของเหตุการณ์ ก็ทำให้โทษเปลี่ยนจาก "จำคุกไม่เกิน 5 ปี" เป็น "จำคุกตลอดชีวิต" ได้เลย!
6.ป้องกันตัวเองจากความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ยังไง? ถ้าถูกขโมยของต้องทำยังไง?

ในแต่ละวัน มีคดี วิ่งราวทรัพย์ เกิดขึ้นมากมาย ตั้งแต่การฉกมือถือจากมือคนเดินถนน ไปจนถึงกระชากกระเป๋าสตางค์จากผู้สูงอายุที่เดินทางคนเดียว อาชญากรรมประเภทนี้เกิดขึ้นเร็ว ใช้เวลาไม่กี่วินาที แต่สร้างผลกระทบมหาศาลต่อเหยื่อ บางคนเสียเงิน บางคนเสียทรัพย์สินที่มีค่าทางจิตใจ และที่แย่ที่สุดคือ บางคนเสียชีวิตเพราะพยายามขัดขืนหรือไล่ตามคนร้าย
ดังนั้น สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่เข้าใจว่า "ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์" คืออะไร แต่ต้องรู้วิธี "ป้องกันตัวเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ" และ "ถ้าเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริง เราควรทำอะไร?"
6.1 คนร้ายมักใช้ "จังหวะไหน" ในการลงมือ? (เทคนิคป้องกันตัว!)
คนที่ก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์ ไม่ได้สุ่มเลือกเหยื่อแบบไร้เหตุผล ส่วนใหญ่มักเลือกเหยื่อที่ อยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมมากที่สุด ซึ่งจังหวะที่มักเกิดเหตุมีดังนี้
- ช่วงที่เหยื่อกำลังเผลอ เช่น กำลังคุยโทรศัพท์ เดินพิมพ์ข้อความ หรือถือของหลายอย่างจนไม่มีมือป้องกันตัว
- บริเวณที่มีคนพลุกพล่าน เช่น ตลาดนัด งานเทศกาล หรือคอนเสิร์ต คนร้ายอาศัยความแออัดเพื่อฉกของแล้วหนี
- ซอยเปลี่ยวหรือถนนที่ไม่มีคนเดินผ่าน คนร้ายเลือกลงมือในที่ที่เหยื่อไม่สามารถขอความช่วยเหลือได้ง่าย
- ระหว่างรอรถประจำทางหรือข้ามถนน ขณะที่เหยื่อมัวแต่จดจ่อกับการรอรถหรือข้ามถนน คนร้ายมักเข้ามาฉกของแล้วหนีไป
- หน้าตู้ ATM หรือร้านสะดวกซื้อ เหยื่อมักเผลอขณะกดเงินหรือวางของไว้ชั่วคราวบนโต๊ะ
หากเรารู้ว่าคนร้ายมักใช้จังหวะไหนในการลงมือ เราก็สามารถป้องกันตัวเองได้ เช่น ไม่เดินไปพิมพ์โทรศัพท์ ไม่พกเงินสดเยอะ ๆ และเลือกเดินในที่ที่ปลอดภัย
6.2 ถ้าถูกวิ่งราวทรัพย์ ควรไล่ตามไหม? หรือควรทำยังไงให้ปลอดภัยที่สุด?
หลายคนมีสัญชาตญาณ "ต้องเอาของคืนมาให้ได้!" แต่ต้องถามตัวเองก่อนว่า "ไล่ตามไปแล้ว เราปลอดภัยไหม?"
มีเหยื่อจำนวนมากที่พยายามไล่ตามคนร้ายแล้ว ได้รับบาดเจ็บ หรือบางคนถึงขั้นเสียชีวิต เพราะคนร้ายบางรายอาจพกอาวุธ หรือขับรถจักรยานยนต์หลบหนีด้วยความเร็วสูง
สิ่งที่ควรทำคือ
- พยายามจดจำลักษณะของคนร้ายให้ได้มากที่สุด เสื้อผ้า ทรงผม สีผิว หรือของที่เขาพกติดตัว
- สังเกตยานพาหนะที่ใช้หลบหนี เช่น สีรถ ยี่ห้อ ป้ายทะเบียน หรือเส้นทางที่ใช้
- ตะโกนขอความช่วยเหลือทันที ให้คนรอบข้างรู้ว่ามีเหตุเกิดขึ้น จะช่วยให้คนอื่นช่วยแจ้งตำรวจได้เร็วขึ้น
- โทรแจ้งตำรวจให้เร็วที่สุด ระบุสถานที่เกิดเหตุ ลักษณะคนร้าย และเส้นทางที่หลบหนี
ที่สำคัญที่สุดคือ "อย่าเสี่ยงชีวิตกับทรัพย์สิน!" เพราะชีวิตของเรามีค่ามากกว่าเงินทอง
6.3 แจ้งความฐานวิ่งราวทรัพย์แบบไหนให้ตำรวจจับคนร้ายได้เร็ว?
การแจ้งความที่ดี ต้องให้ข้อมูลครบถ้วนและละเอียดที่สุด เพราะตำรวจจะใช้ข้อมูลนี้เป็นหลักในการตามจับคนร้าย
สิ่งที่ต้องแจ้ง ได้แก่
- วัน เวลา และสถานที่เกิดเหตุ ให้ชัดเจนที่สุด
- ลักษณะของคนร้าย สูง ต่ำ อ้วน ผอม สีเสื้อผ้า หรือสิ่งที่ดูโดดเด่น
- ทรัพย์สินที่ถูกขโมยไป พร้อมมูลค่าคร่าว ๆ
- พยานที่เห็นเหตุการณ์ (ถ้ามี) เพื่อช่วยยืนยันข้อเท็จจริง
- กล้องวงจรปิดในบริเวณที่เกิดเหตุ ถ้ามี ควรแจ้งตำรวจทันทีเพื่อขอดูภาพ
หลังจากแจ้งความ ตำรวจจะออก "ใบแจ้งความ" ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญ หากของที่ถูกขโมยไปเป็นบัตรประชาชน หรือเอกสารสำคัญ ต้องรีบแจ้งธนาคารหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันการนำไปใช้ในทางที่ผิด
6.4 ถ้าจับคนร้ายได้เอง ต่อยไปหนึ่งทีผิดกฎหมายไหม? (ประชาชนมีสิทธิอะไรบ้าง?)
มีหลายคนที่โมโหและอยากลงมือจัดการคนร้ายด้วยตัวเอง แต่ต้องระวัง! เพราะถ้าใช้กำลังเกินกว่าเหตุ เราอาจถูกดำเนินคดีเองได้!
ตามกฎหมาย ประชาชนมีสิทธิ "จับกุมผู้กระทำความผิดซึ่งหน้า" ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 79
"บุคคลใดจะจับผู้ต้องหาในกรณีกระทำความผิดซึ่งหน้าได้ โดยไม่ต้องมีหมายจับ"
หมายความว่า ถ้าเราเห็นเหตุการณ์และสามารถจับกุมคนร้ายได้ เรามีสิทธิทำได้เลย
แต่ข้อสำคัญคือ "ต้องไม่ใช้กำลังเกินกว่าเหตุ" ถ้าเราต่อยคนร้ายจนบาดเจ็บสาหัส หรือใช้ความรุนแรงเกินความจำเป็น เราเองอาจถูกดำเนินคดีฐานทำร้ายร่างกายได้
วิธีที่ถูกต้องในการจับกุมคนร้ายคือ
- จับตัวคนร้ายไว้โดยไม่ทำร้ายเกินจำเป็น
- เรียกตำรวจให้มารับตัวโดยเร็วที่สุด
- หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าหรือทะเลาะกับคนร้าย
หากสงสัยว่าการกระทำของเราจะผิดกฎหมายหรือไม่ ปรึกษาทนายความก่อนเสมอ เพราะการใช้กำลังที่มากเกินไป อาจทำให้เรากลายเป็นจำเลยเสียเอง
📌 สรุปหัวข้อนี้
วิ่งราวทรัพย์เกิดขึ้นบ่อยในสังคม และเหยื่อส่วนใหญ่มักเป็นคนที่ไม่ทันระวังตัว คนร้ายมักเลือกเหยื่อที่กำลังเผลอ หรืออยู่ในจังหวะที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้
หากถูกวิ่งราว ไม่ควรไล่ตามเองเพราะอาจเกิดอันตราย ควรจดจำลักษณะของคนร้าย โทรแจ้งตำรวจ และหากเป็นไปได้ ขอความช่วยเหลือจากผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้น
การแจ้งความต้องให้ข้อมูลครบถ้วน โดยเฉพาะรายละเอียดเกี่ยวกับคนร้ายและทรัพย์สินที่ถูกขโมยไป เพื่อช่วยให้ตำรวจสามารถติดตามตัวคนร้ายได้เร็วที่สุด
หากประชาชนจับตัวคนร้ายได้ สามารถทำได้โดยชอบธรรมตามกฎหมาย แต่ต้องไม่ใช้กำลังเกินกว่าเหตุ เพราะอาจถูกดำเนินคดีฐานทำร้ายร่างกายได้เช่นกัน
7วามผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ โทษหนัก คิดให้ดี!
"ขโมยของแค่แป๊บเดียว คืนของแล้ว ยังผิดอยู่ไหม?" "ฉกของไปแล้วแต่เหยื่อไม่ไล่ตาม แปลว่ารอดไหม?" คำถามพวกนี้อาจฟังดูเป็นเรื่องเล่น ๆ สำหรับบางคน แต่ในมุมของกฎหมาย "ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์" เป็นเรื่องจริงที่มีโทษหนัก ติดคุกได้ และไม่สามารถยกเลิกความผิดได้ง่าย ๆ แม้จะคืนของแล้วก็ตาม
เรื่องนี้สำคัญไม่ใช่แค่สำหรับคนที่อาจคิดทำผิด แต่ยังสำคัญสำหรับทุกคนที่อาจกลายเป็นเหยื่อ เข้าใจให้ชัดว่าความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์คืออะไร โทษแค่ไหน และมีข้อควรระวังอะไรบ้าง
7.1 วิ่งราวทรัพย์ ไม่ใช่เรื่องเล็ก! ผิดกฎหมายเต็ม ๆ ไม่มีข้ออ้าง!
ในสังคมไทยยังมีคนที่คิดว่า "ขโมยของแล้วแค่หนีไป มันไม่ใช่เรื่องใหญ่" หรือ "ยังไงก็คืนของให้ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย" แต่ต้องเข้าใจว่า ตั้งแต่วินาทีแรกที่ทรัพย์สินถูกฉกไปจากเจ้าของ ความผิดสำเร็จแล้ว
ตามมาตรา 336 ประมวลกฎหมายอาญา กำหนดโทษจำคุก ไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
และหากเกิดขึ้นในเวลากลางคืน โทษหนักขึ้นทันทีเป็น จำคุก 1-7 ปี และปรับสูงสุด 140,000 บาท
ไม่ว่าจะคืนของหรือไม่ ไม่ว่าเหยื่อจะให้อภัยหรือไม่ ก็ไม่ได้ช่วยให้พ้นผิด ตำรวจสามารถดำเนินคดีต่อไปได้ตามกฎหมาย
และถ้าเหตุการณ์ทำให้เหยื่อบาดเจ็บ หรือคนร้ายใช้กำลังในการก่อเหตุ โทษจะเพิ่มขึ้นอีก เช่น เปลี่ยนจากวิ่งราวทรัพย์เป็นชิงทรัพย์หรือปล้นทรัพย์ ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 20 ปี หรือแม้แต่โทษประหารชีวิต!
7.2 ถ้าติดคุกเพราะแค่ฉกของไป 5 วิ คุ้มจริงไหม?
ลองคิดให้ดี หากวันหนึ่งมีคนที่รู้จักกันดีเพียงเพราะอยากได้ของชิ้นหนึ่ง ตัดสินใจฉกของจากมือคนอื่นแล้ววิ่งหนีไป คน ๆ นั้นอาจคิดว่า "ไม่เป็นไร แค่ขโมยนิดเดียว เดี๋ยวก็เอาไปคืน"
แต่เมื่อถูกจับ ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
จากคนธรรมดา กลายเป็นคนมีประวัติอาชญากรรม มีคดีติดตัว เสียอนาคต โดนสังคมมองว่าเป็นโจร และที่สำคัญ อาจต้องใช้ชีวิตในเรือนจำหลายปี เพียงเพราะการตัดสินใจผิดพลาดเพียงไม่กี่วินาที!
มันคุ้มไหม? ถ้าทรัพย์สินที่ฉกไปมีราคาไม่ถึง 1,000 บาท แต่ต้องติดคุกเป็นปี ๆ
และที่น่ากลัวกว่านั้นคือ หากเป็นคนที่ทำผิดซ้ำ ศาลอาจตัดสินให้ลงโทษสถานหนักขึ้น หรือแม้แต่ไม่ให้สิทธิ์ลดโทษเลย
7.3 คดีวิ่งราวทรัพย์ไม่ใช่เรื่องไกลตัว และอาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน
คดีวิ่งราวทรัพย์อาจดูเป็นเรื่องของโจรข้างถนนหรือมิจฉาชีพที่ไล่ฉกของจากคนอื่น แต่ในความเป็นจริง คนทั่วไปก็อาจเผลอกระทำผิดโดยไม่รู้ตัวได้!
ลองนึกถึงสถานการณ์ที่มีคนลืมของไว้ แล้วมีคนตัดสินใจ "หยิบไปใช้ก่อน" โดยไม่ได้รับอนุญาต แบบนี้ผิดฐานลักทรัพย์เต็ม ๆ
หรือบางครั้งอาจเป็นสถานการณ์ที่มีอารมณ์ชั่ววูบ โกรธใครสักคนแล้วฉกของเขาไปเพื่อประชด แค่หยิบแล้ววิ่ง ก็ผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ได้ทันที!
คดีพวกนี้เกิดขึ้นบ่อย และหลายคนที่ทำผิดก็ไม่รู้ตัวว่ากำลังทำสิ่งที่มีโทษทางอาญา จนกระทั่งถูกแจ้งความ ถูกจับ และต้องเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย
7.4 สุดท้ายแล้ว… ถ้าไม่อยากเสี่ยงติดคุก ทางที่ดีที่สุดคืออย่าทำผิดตั้งแต่แรก!
การขโมยของไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ล้วนผิดกฎหมายทั้งสิ้น และความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์มีโทษหนักกว่าที่หลายคนคิด
หากไม่อยากมีประวัติอาชญากรรม ไม่อยากเสียอนาคต ไม่อยากให้ครอบครัวต้องมาเดือดร้อนเพราะความผิดพลาดเพียงไม่กี่วินาที "คิดให้ดี ควบคุมตัวเอง และอย่าให้ความอยาก หรืออารมณ์ชั่ววูบมาทำลายชีวิตของคุณ"
และถ้าคุณเป็นเหยื่อ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องป้องกันตัวเองให้ดี ไม่เดินไปพิมพ์โทรศัพท์ ไม่ถือของมีค่าจนเด่นเกินไป และหากถูกวิ่งราว ควรแจ้งตำรวจให้เร็วที่สุด
📌 สรุปสุดท้ายของบทความนี้
- วิ่งราวทรัพย์เป็นคดีอาญาที่มีโทษหนัก ติดคุกจริง ไม่ใช่แค่เรื่องเล่น ๆ
- การคืนของให้เหยื่อไม่ได้ช่วยให้พ้นผิด ความผิดสำเร็จตั้งแต่ฉกของไปแล้ว
- ถ้าทำผิดซ้ำ โทษจะหนักขึ้น และอาจไม่มีโอกาสได้รับการลดโทษเลย
- อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบ หรือความต้องการเพียงไม่กี่วินาที ทำให้คุณต้องสูญเสียอนาคตทั้งชีวิต
สุดท้ายแล้ว ไม่มีอะไรคุ้มกับการเสี่ยงติดคุกเพราะ "ขโมยของ" แม้แต่นิดเดียว ทางที่ดีที่สุด คืออย่าทำผิดตั้งแต่แรก!
บทความนี้มีเป้าหมายเพื่อให้คนเข้าใจข้อกฎหมาย และป้องกันตัวเองจากอาชญากรรม ไม่ใช่เพื่อส่งเสริมการกระทำผิด หากสงสัยเกี่ยวกับคดีหรือสิทธิทางกฎหมาย ควรปรึกษาทนายความเพื่อคำแนะนำที่ถูกต้อง
ปรึกษาทนายตัวจริง
สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว
สมัครเป็นทนายออนไลน์
แพล็ทฟอร์มรวบรวม
งานกฎหมายจากทั่วประเทศ



