
สวัสดีครับ ผมเป็นแอดมินและนักเขียนของ Legardy แพลตฟอร์มที่รวบรวมทนายความจากทั่วประเทศ และหนึ่งในคำถามที่ถูกถามบ่อยมากในกระทู้ของเราก็คือ "โดนเลิกจ้างแบบนี้ผิดกฎหมายไหม?", "นายจ้างบอกให้เซ็นใบลาออก แต่เราไม่อยากออก ทำไงดี?" หรือแม้กระทั่ง "ถูกไล่ออกแบบฟ้าผ่า ค่าชดเชยได้เท่าไหร่?"
เรื่องของ กฎหมายเลิกจ้าง เป็นเรื่องใหญ่สำหรับลูกจ้างทุกคน เพราะไม่มีใครอยากถูกเลิกจ้าง แต่บางครั้งมันก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คำถามคือ ถ้าวันหนึ่งถูกเลิกจ้างขึ้นมา เราจะทำยังไงต่อ?
- นายจ้างมีสิทธิ์เลิกจ้างลูกจ้างได้จริงหรือ?
- ลูกจ้างมีสิทธิ์อะไรบ้างถ้าถูกเลิกจ้าง?
- ค่าชดเชยต้องได้เท่าไหร่?
- กรณีไหนที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย?
- หากถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม เราสามารถเรียกร้องอะไรได้บ้าง?
บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจกฎหมายเลิกจ้างปี 2567 อย่างละเอียด ผมจะอธิบายทุกอย่างให้เห็นภาพชัดที่สุด และจะเลี่ยงภาษากฎหมายที่ซับซ้อน ให้อ่านเข้าใจง่ายที่สุด
ถ้าคุณกำลังเผชิญกับปัญหาเรื่องเลิกจ้าง หรือแค่อยากรู้ว่า "ถ้าโดนไล่ออกต้องทำยังไง?" บทความนี้จะเป็นคำตอบให้คุณ
การเลิกจ้างตามกฎหมายแรงงาน 2567 คืออะไร? นายจ้างเลิกจ้างได้เมื่อไหร่?
การเลิกจ้างเป็นสิ่งที่ลูกจ้างทุกคนกังวล เพราะมันหมายถึงการสูญเสียรายได้ และบางครั้งอาจเกิดขึ้นโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว คำถามสำคัญที่ต้องรู้คือ นายจ้างสามารถเลิกจ้างลูกจ้างได้ตอนไหน และทำอย่างไรถึงจะถูกต้องตามกฎหมาย?
ในมุมของลูกจ้าง หลายคนอาจคิดว่า "นายจ้างอยากไล่ออกตอนไหนก็ไล่ได้" หรือบางคนอาจเข้าใจผิดว่า "ถูกไล่ออกต้องได้เงินชดเชยเสมอ" แต่ในความเป็นจริงแล้ว กฎหมายแรงงานไทยมีการกำหนดเงื่อนไขที่ชัดเจนเกี่ยวกับการเลิกจ้าง ซึ่งหากนายจ้างไม่ปฏิบัติตาม ลูกจ้างสามารถเรียกร้องสิทธิ์ได้
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลิกจ้างอยู่ใน พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งได้ระบุเงื่อนไขที่นายจ้างต้องปฏิบัติเมื่อต้องการเลิกจ้างลูกจ้าง ไม่ใช่แค่คำพูดลอย ๆ ว่า "พรุ่งนี้ไม่ต้องมาทำงาน" แล้วจบไป
นายจ้างมีสิทธิ์เลิกจ้างลูกจ้างได้หรือไม่?
คำตอบคือ มีสิทธิ์ แต่นายจ้างต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขทางกฎหมาย หากเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม หรือเลิกจ้างโดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย แปลว่าการเลิกจ้างนั้นอาจเป็น "การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม" ซึ่งทำให้ลูกจ้างสามารถเรียกร้องสิทธิ์ต่าง ๆ ได้
กฎหมายกำหนดว่า นายจ้างสามารถเลิกจ้างลูกจ้างได้ แต่ต้องมีเหตุผลสมควรและปฏิบัติตามเงื่อนไขทางกฎหมาย เช่น การแจ้งล่วงหน้า และการจ่ายค่าชดเชยถ้าลูกจ้างมีสิทธิ์ได้รับ
มีคำถามหนึ่งที่พบบ่อยมากจากลูกจ้างในกระทู้ของ Legardy คือ "ถ้าบริษัทขาดทุน สามารถเลิกจ้างพนักงานได้เลยไหม?" หรือ "ถ้านายจ้างบอกว่าไม่ต้องการเราแล้ว แปลว่าต้องออกจากงานทันทีหรือเปล่า?"
ในกรณีที่บริษัทขาดทุน หรือมีการปรับโครงสร้างองค์กร นายจ้างสามารถเลิกจ้างลูกจ้างได้ แต่ต้องจ่ายค่าชดเชยและแจ้งล่วงหน้า ไม่ใช่ว่านายจ้างจะตัดสินใจไล่ออกใครก็ได้โดยไม่มีเงื่อนไข
1.การเลิกจ้างตามกฎหมายแรงงาน 2567 กับการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมต่างกันยังไง?
การเลิกจ้างสามารถแบ่งออกได้เป็น สองประเภทหลัก ซึ่งแตกต่างกันทั้งในแง่ของกฎหมายและสิทธิของลูกจ้าง
- การเลิกจ้างที่เป็นธรรม คือ การเลิกจ้างที่เป็นไปตามกฎหมาย นายจ้างมีเหตุผลชัดเจน เช่น บริษัทมีปัญหาทางการเงินจริง ๆ มีการปรับโครงสร้างที่จำเป็น หรือพนักงานมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ซึ่งในกรณีนี้ นายจ้างต้องแจ้งล่วงหน้าตามที่กฎหมายกำหนด และต้องจ่ายค่าชดเชยตามสิทธิของลูกจ้าง
- การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม คือ การเลิกจ้างที่ไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม หรือการที่นายจ้าง จงใจเลิกจ้างลูกจ้างเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าชดเชย เช่น บีบบังคับให้ลูกจ้างเซ็นใบลาออก หรือเลิกจ้างโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้าและไม่จ่ายค่าชดเชย กรณีเหล่านี้ถือว่าเป็น การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และลูกจ้างสามารถเรียกร้องค่าชดเชยเพิ่มเติมได้
ลองนึกถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง มีลูกจ้างสองคนทำงานอยู่ในบริษัทเดียวกัน คนแรกถูกเลิกจ้างเพราะบริษัทกำลังลดขนาดองค์กร นายจ้างแจ้งล่วงหน้าหนึ่งเดือน และจ่ายค่าชดเชยให้ครบตามกฎหมาย กรณีนี้ถือว่าเป็น "การเลิกจ้างที่เป็นธรรม"
แต่ในขณะเดียวกัน ลูกจ้างอีกคนถูกเรียกเข้าไปในห้องประชุม และนายจ้างบอกให้เซ็นใบลาออกทันที โดยบอกว่า "ถ้าไม่เซ็น อาจถูกไล่ออกโดยไม่ได้รับเงินอะไรเลย" แบบนี้ถือว่าเป็น "การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม" เพราะนายจ้างบีบบังคับให้ลูกจ้างลาออกเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าชดเชย
2.การเลิกจ้างตามกฎหมายแรงงาน 2567 แบบไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยมีจริงไหม?
มีจริง แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น
กฎหมายแรงงานไทยระบุว่า นายจ้างสามารถเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยได้ ถ้าลูกจ้างทำผิดวินัยร้ายแรง ซึ่งเงื่อนไขเหล่านี้อยู่ใน มาตรา 119 ของ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
กรณีที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ได้แก่
- ลูกจ้างทำผิดวินัยร้ายแรง เช่น ขโมยของบริษัท ทุจริต หรือทำร้ายร่างกายเพื่อนร่วมงาน
- ลูกจ้างขาดงานติดต่อกันเกิน 3 วันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
- ลูกจ้างละเลยหน้าที่จนก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง
- ลูกจ้างฝ่าฝืนกฎระเบียบของบริษัทซ้ำ ๆ ทั้งที่ได้รับคำเตือนแล้ว
แต่สิ่งที่ลูกจ้างหลายคนไม่รู้คือ นายจ้างต้องมีหลักฐานชัดเจนว่าลูกจ้างทำผิดจริง ไม่ใช่ว่านายจ้างจะกล่าวหาอะไรขึ้นมาเฉย ๆ แล้วไล่ออกโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
ลองนึกถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยในโลกความเป็นจริง พนักงานคนหนึ่งถูกกล่าวหาว่าขโมยของจากบริษัท แต่นายจ้างไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน ไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิด ไม่มีพยานเห็นเหตุการณ์ แต่นายจ้างใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างเพื่อเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย กรณีแบบนี้ลูกจ้างสามารถฟ้องร้องเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ได้ เพราะ นายจ้างต้องพิสูจน์ว่าลูกจ้างทำผิดจริง มิฉะนั้นถือว่าเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
อีกกรณีหนึ่งที่มักเกิดขึ้นบ่อยคือลูกจ้างถูกไล่ออกเพราะขาดงานติดต่อกัน 3 วัน นายจ้างอ้างว่าถือเป็นการละทิ้งหน้าที่ แต่ความจริงคือพนักงานลาป่วยและมีใบรับรองแพทย์ถูกต้อง ในกรณีนี้ นายจ้างไม่มีสิทธิ์เลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย เพราะลูกจ้างไม่ได้ขาดงานโดยไม่มีเหตุผลที่สมควร
สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้คือ ถ้านายจ้างเลิกจ้างโดยไม่แจ้งเหตุผลที่ชัดเจน หรือไม่มีหลักฐานรองรับ ลูกจ้างสามารถเรียกร้องสิทธิ์และต่อสู้ทางกฎหมายได้
กฎหมายแรงงานเกี่ยวกับการเลิกจ้างปี 2567 มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง? ลูกจ้างต้องรู้!
การเลิกจ้างเป็นเรื่องที่ลูกจ้างทุกคนต้องให้ความสำคัญ เพราะเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ผลกระทบอาจรุนแรงทั้งด้านการเงินและสภาพจิตใจ แต่สิ่งที่หลายคนอาจยังไม่รู้คือ กฎหมายแรงงานเกี่ยวกับการเลิกจ้างมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และในปี 2567 นี้ ก็มีประเด็นที่ลูกจ้างต้องจับตามอง
กฎหมายแรงงานปี 2567 มีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างเกี่ยวกับการเลิกจ้าง?
ในช่วงปีที่ผ่านมา มีความพยายามผลักดันให้กฎหมายแรงงานไทยมีความเป็นธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของ การเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม และ ค่าชดเชยกรณีพิเศษ ในบางกรณี กฎหมายใหม่ที่เริ่มมีผลบังคับใช้หรืออยู่ในกระบวนการแก้ไขมี 3 เรื่องหลัก ได้แก่
- การเลิกจ้างต้องมีเหตุผลที่สมควรและเป็นธรรมมากขึ้น
ในอดีต นายจ้างสามารถเลิกจ้างลูกจ้างได้ง่ายเพียงแค่แจ้งล่วงหน้าและจ่ายค่าชดเชย แต่กฎหมายใหม่เริ่มเข้มงวดขึ้น โดยกำหนดว่า หากนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผลที่สมควร ลูกจ้างสามารถเรียกร้องค่าชดเชยพิเศษได้มากขึ้น และนายจ้างต้องพิสูจน์ว่าการเลิกจ้างเป็นไปอย่างถูกต้อง ไม่ใช่แค่การไล่ออกโดยพลการ - เพิ่มค่าชดเชยกรณีถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
กฎหมายใหม่เพิ่ม อัตราค่าชดเชยสำหรับลูกจ้างที่ทำงานมานานกว่า 20 ปีขึ้นไป ซึ่งเดิมอยู่ที่ 400 วันของค่าจ้างสุดท้าย แต่ในปี 2567 มีการเสนอให้เพิ่มเป็น 500 วัน เพื่อให้ลูกจ้างที่อุทิศเวลาทำงานให้บริษัทมายาวนานได้รับค่าชดเชยที่เหมาะสมยิ่งขึ้น - การบีบให้ลูกจ้างลาออกถือเป็นการเลิกจ้าง
ที่ผ่านมา มีนายจ้างจำนวนมากใช้เทคนิคในการ บีบบังคับให้ลูกจ้างลาออกเอง เช่น การลดชั่วโมงงาน การโยกย้ายตำแหน่งงานไปในที่ที่เดินทางลำบาก หรือแม้แต่การสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ไม่เป็นมิตร กฎหมายใหม่เริ่มมีการพิจารณาว่า หากนายจ้างจงใจทำให้ลูกจ้างลาออก ถือเป็นการเลิกจ้างโดยปริยาย และต้องจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย
ถ้าถูกเลิกจ้างในปี 2567 ลูกจ้างต้องทำยังไง?
หากคุณถูกเลิกจ้างในปี 2567 สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือ ตรวจสอบว่าการเลิกจ้างนั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ โดยพิจารณาจากสิ่งต่อไปนี้
- นายจ้างแจ้งล่วงหน้าตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่
- นายจ้างให้ค่าชดเชยครบถ้วนตามสิทธิ์หรือไม่
- เหตุผลในการเลิกจ้างมีความสมควรหรือไม่
ถ้าพบว่า นายจ้างเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน คุณสามารถ ร้องเรียนไปยังกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน หรือยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ที่คุณควรได้รับ
ลองนึกถึงกรณีของลูกจ้าง A ซึ่งทำงานกับบริษัทแห่งหนึ่งมา 15 ปี จู่ ๆ บริษัทแจ้งว่าจะลดจำนวนพนักงานลง และให้ A ออกจากงานโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ทั้งที่ A ไม่เคยมีประวัติการทำงานที่ไม่ดี กรณีนี้ A สามารถฟ้องเรียกค่าชดเชยได้ตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118 ที่กำหนดให้ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผลที่สมควร ต้องได้รับค่าชดเชยตามระยะเวลาการทำงาน
อีกกรณีหนึ่งคือ B ซึ่งถูกนายจ้างบังคับให้ลาออก โดยการกดดันด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การลดค่าจ้าง และโยกย้ายตำแหน่งไปที่ไกลขึ้นจนเดินทางลำบากมาก B ตัดสินใจลาออกเพราะไม่สามารถทนสภาพแวดล้อมได้ กรณีนี้ B สามารถฟ้องร้องได้ เพราะถือว่า การบีบให้ลูกจ้างลาออกโดยเจตนา เป็นการเลิกจ้างโดยปริยาย
มาตราที่เกี่ยวข้องกับการเลิกจ้างในปี 2567
- มาตรา 118 กำหนดให้ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผลที่สมควร มีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชยตามอายุงาน
- มาตรา 119 ระบุกรณีที่นายจ้างสามารถเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย เช่น ลูกจ้างทุจริต หรือฝ่าฝืนระเบียบร้ายแรง
- มาตรา 121 กล่าวถึงการจ่ายเงินค่าชดเชยพิเศษ หากการเลิกจ้างเป็นไปโดยไม่ชอบธรรม
ถ้าถูกเลิกจ้าง ควรปรึกษาใคร?
หากคุณสงสัยว่าการเลิกจ้างของคุณถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ หรือไม่แน่ใจว่าตัวเองควรได้รับค่าชดเชยเท่าไหร่ สามารถปรึกษาทนายแรงงานได้ที่ Legardy แพลตฟอร์มที่รวบรวมทนายจากทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยให้คุณได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมกับกรณีของคุณ
นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างต้องทำอย่างไรให้ถูกกฎหมายแรงงาน 2567?
การเลิกจ้างลูกจ้างไม่ใช่เรื่องที่นายจ้างสามารถทำได้ตามใจชอบ เพราะกฎหมายแรงงานไทยกำหนดเงื่อนไขไว้อย่างชัดเจนว่าการเลิกจ้างต้องเป็นธรรม มีเหตุผลที่สมควร และต้องดำเนินการตามกระบวนการที่ถูกต้อง ถ้านายจ้างละเมิดกฎเหล่านี้ ลูกจ้างสามารถเรียกร้องค่าชดเชย หรือแม้แต่ฟ้องร้องเอาผิดกับนายจ้างได้
สิ่งที่หลายคนยังเข้าใจผิดคือ "นายจ้างมีอำนาจเด็ดขาดในการเลิกจ้าง" ซึ่งจริง ๆ แล้ว ไม่ใช่ เพราะทุกการเลิกจ้างต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย หากนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ลูกจ้างสามารถต่อสู้ได้
นายจ้างต้องแจ้งเลิกจ้างลูกจ้างล่วงหน้ากี่วัน ตามกฎหมายเลิกจ้าง 2567?
หนึ่งในข้อกำหนดสำคัญของกฎหมายแรงงานคือ นายจ้างต้องแจ้งการเลิกจ้างล่วงหน้า ไม่ใช่จู่ ๆ ก็ไล่ออกโดยไม่บอกกล่าว กฎหมายกำหนดว่า
- หากเป็นการเลิกจ้างทั่วไป นายจ้างต้องแจ้งล่วงหน้า ไม่น้อยกว่า 30 วัน
- หากเป็นการเลิกจ้างแบบเร่งด่วน (ให้พ้นสภาพทันที) นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
ตัวอย่างเช่น นายจ้างแจ้งพนักงานในวันที่ 1 ว่าจะเลิกจ้าง แต่ต้องการให้พนักงานออกจากงานในวันรุ่งขึ้น กรณีนี้ ผิดกฎหมาย เพราะไม่ได้แจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน ถ้านายจ้างต้องการให้พนักงานออกทันที นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างแทนการแจ้งล่วงหน้า
แต่มีข้อยกเว้นบางกรณีที่นายจ้างไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า ได้แก่ หากลูกจ้างทำผิดร้ายแรง ตามมาตรา 119 เช่น ขโมยของบริษัท ทำร้ายร่างกายเพื่อนร่วมงาน หรือทุจริต
ถ้าลูกจ้างไม่ได้รับหนังสือแจ้งเลิกจ้าง ถือว่ายังเป็นพนักงานอยู่ไหม?
มีหลายกรณีที่ลูกจ้างไม่ได้รับหนังสือแจ้งเลิกจ้างเป็นลายลักษณ์อักษร แต่นายจ้างบอกให้เลิกงานทันที คำถามคือ กรณีนี้ถือว่าเลิกจ้างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่?
คำตอบคือ หากไม่มีหนังสือแจ้งเลิกจ้างที่เป็นทางการ และไม่มีค่าจ้างแทนการแจ้งล่วงหน้า ถือว่าเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ลูกจ้างสามารถยื่นเรื่องร้องเรียนและเรียกร้องสิทธิ์ได้ เพราะกฎหมายกำหนดว่า การเลิกจ้างต้องมีการแจ้งล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรหรือชดเชยแทนการแจ้ง
ลองนึกถึงกรณีของพนักงาน A ที่ทำงานมานาน 5 ปี จู่ ๆ นายจ้างบอกด้วยวาจาว่า "พรุ่งนี้ไม่ต้องมาทำงานแล้วนะ" โดยไม่มีเอกสารแจ้ง และไม่มีค่าชดเชย กรณีนี้ถือว่า ผิดกฎหมาย เพราะนายจ้างต้องมีหนังสือแจ้งเลิกจ้างหรือชดเชยค่าจ้างล่วงหน้า
สัญญาจ้างงานมีผลต่อกฎหมายเลิกจ้าง 2567 อย่างไร? ลูกจ้างเสียเปรียบหรือได้เปรียบ?
สัญญาจ้างงานเป็นหนึ่งในเอกสารสำคัญที่มีผลอย่างมากต่อการเลิกจ้าง หลายคนเข้าใจผิดคิดว่า "ถ้ามีสัญญาจ้าง นายจ้างเลิกจ้างไม่ได้" หรือ "ถ้าไม่มีสัญญาจ้างเป็นลายลักษณ์อักษร นายจ้างเลิกจ้างได้ตามใจ" ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
ตามกฎหมายแรงงานไทย ถึงแม้จะไม่มีสัญญาจ้างเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ถ้ามีการทำงานจริง ก็ถือว่าเป็นลูกจ้างตามกฎหมาย นายจ้างจึงไม่สามารถเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผลได้
ในบางกรณี สัญญาจ้างอาจกำหนดเงื่อนไขพิเศษเกี่ยวกับการเลิกจ้าง เช่น ระบุว่าต้องแจ้งล่วงหน้า 60 วัน แทนที่จะเป็น 30 วันตามกฎหมาย ซึ่งถ้าลูกจ้างเซ็นสัญญาไว้ ก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขนั้น เว้นแต่ว่าเงื่อนไขนั้นจะขัดต่อกฎหมาย เช่น ระบุว่า "ห้ามเรียกร้องค่าชดเชยเมื่อถูกเลิกจ้าง" ซึ่งถือว่าเป็นข้อตกลงที่ ขัดต่อกฎหมาย และไม่มีผลบังคับใช้
ในกรณีที่นายจ้างต้องการเลิกจ้างลูกจ้างที่อยู่ในสัญญาจ้างที่ยังไม่หมดอายุ นายจ้างต้องมีเหตุผลที่เหมาะสม เช่น ลูกจ้างทำผิดร้ายแรง หรือบริษัทประสบปัญหาทางการเงินร้ายแรง มิฉะนั้น อาจถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างก่อนกำหนดได้
ถ้านายจ้างเลิกจ้างผิดกฎหมาย ลูกจ้างต้องทำยังไง?
หากลูกจ้างพบว่าการเลิกจ้างของตนเอง ไม่เป็นธรรม หรือไม่ได้รับค่าชดเชยตามกฎหมาย สามารถดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้
- พูดคุยกับนายจ้างก่อน บางครั้ง นายจ้างอาจไม่เข้าใจกฎหมายแรงงานอย่างถูกต้อง การเจรจาโดยตรงอาจช่วยให้ได้รับค่าชดเชยโดยไม่ต้องใช้กระบวนการทางกฎหมาย
- ร้องเรียนต่อกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน หากการพูดคุยไม่เป็นผล ลูกจ้างสามารถแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่แรงงานให้ช่วยไกล่เกลี่ย
- ยื่นฟ้องศาลแรงงาน หากการไกล่เกลี่ยไม่เป็นผล ลูกจ้างสามารถฟ้องร้องเรียกค่าชดเชย หรือเรียกร้องให้ศาลแรงงานมีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินชดเชยตามกฎหมาย
ตัวอย่างเช่น B ถูกเลิกจ้างโดยไม่มีค่าชดเชย และไม่ได้รับการแจ้งล่วงหน้า B ตัดสินใจร้องเรียนไปยังกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และสุดท้าย นายจ้างถูกบังคับให้จ่ายค่าชดเชยให้ตามกฎหมาย
มาตราที่เกี่ยวข้องกับการเลิกจ้างอย่างถูกต้อง
- มาตรา 17 กำหนดให้นายจ้างต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดเรื่องค่าจ้างและการเลิกจ้างอย่างเป็นธรรม
- มาตรา 118 กำหนดเรื่องค่าชดเชยสำหรับลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้าง
- มาตรา 121 ระบุเรื่องค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
ต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเลิกจ้าง?
หากคุณสงสัยว่าการเลิกจ้างของคุณถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ หรือไม่แน่ใจว่าตัวเองควรได้รับค่าชดเชยเท่าไหร่ สามารถปรึกษาทนายแรงงานได้ที่ Legardy แพลตฟอร์มที่รวบรวมทนายจากทั่วประเทศ เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมกับกรณีของคุณ
ลูกจ้างถูกเลิกจ้างต้องได้รับอะไรบ้าง? ค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน 2567
การถูกเลิกจ้างอาจเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ลูกจ้างต้องได้รับสิทธิ์ตามที่กฎหมายแรงงานกำหนด ค่าชดเชยและสิทธิประโยชน์ที่ลูกจ้างควรได้รับไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของเงินเท่านั้น แต่ยังรวมถึง ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เงินทดแทนจากประกันสังคม และเงินพิเศษกรณีเลิกจ้างแบบไม่เป็นธรรม
สิ่งที่สำคัญคือ ลูกจ้างจำนวนมากไม่ทราบว่า ตัวเองมีสิทธิ์ได้รับเงินชดเชยอะไรบ้าง และควรได้รับเท่าไหร่ ทำให้นายจ้างบางราย ใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินที่ควรจ่าย บางคนถูกไล่ออกทันทีโดยไม่มีเงินชดเชย บางคนถูกบังคับให้เซ็นใบลาออกเพื่อเลี่ยงค่าชดเชย ซึ่งหากคุณรู้สิทธิ์ของตัวเอง คุณสามารถต่อสู้และเรียกร้องสิ่งที่คุณควรได้รับได้
ค่าชดเชยตามกฎหมายเลิกจ้าง 2567 ได้เท่าไหร่? คำนวณยังไง?
ตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118 ได้กำหนดอัตราค่าชดเชยไว้ตามอายุงานของลูกจ้าง โดยหากลูกจ้างถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิดร้ายแรง จะได้รับค่าชดเชยตามอัตราดังนี้
- ทำงานครบ 120 วัน แต่ไม่ถึง 1 ปี ได้รับค่าชดเชย 30 วัน
- ทำงานครบ 1 ปี แต่ไม่ถึง 3 ปี ได้รับค่าชดเชย 90 วัน
- ทำงานครบ 3 ปี แต่ไม่ถึง 6 ปี ได้รับค่าชดเชย 180 วัน
- ทำงานครบ 6 ปี แต่ไม่ถึง 10 ปี ได้รับค่าชดเชย 240 วัน
- ทำงานครบ 10 ปี แต่ไม่ถึง 20 ปี ได้รับค่าชดเชย 300 วัน
- ทำงานครบ 20 ปีขึ้นไป ได้รับค่าชดเชย 400 วัน (และในปี 2567 มีข้อเสนอให้เพิ่มเป็น 500 วัน)
ค่าชดเชยนี้คำนวณจาก ค่าจ้างสุดท้ายที่ลูกจ้างได้รับ ซึ่งหมายความว่า หากคุณมีเงินเดือน 20,000 บาท และทำงานมา 5 ปี เมื่อถูกเลิกจ้าง คุณจะได้รับค่าชดเชย 180 วัน หรือประมาณ 120,000 บาท
สิ่งสำคัญที่ต้องระวังคือ นายจ้างบางรายอาจพยายามจ่ายค่าชดเชยน้อยกว่าที่ควรได้รับ หรืออ้างว่าไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยโดยอ้างเหตุผลที่ไม่เป็นจริง ลูกจ้างจึงต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าตัวเองได้รับเงินถูกต้อง
เงินค่าบอกกล่าวล่วงหน้าคืออะไร? ได้รับทุกกรณีหรือไม่?
ตามกฎหมายแรงงาน หากนายจ้างต้องการเลิกจ้างลูกจ้าง ต้องแจ้งล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน ถ้านายจ้างต้องการให้ลูกจ้างออกจากงานทันที นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างแทนการแจ้งล่วงหน้า ซึ่งเรียกว่า เงินค่าบอกกล่าวล่วงหน้า
ตัวอย่างเช่น ถ้านายจ้างแจ้งเลิกจ้างในวันที่ 1 และต้องการให้ลูกจ้างออกจากงานทันที นายจ้างต้องจ่ายเงินเดือนล่วงหน้า 1 เดือน แต่ถ้านายจ้างแจ้งล่วงหน้าตามกำหนด ก็ไม่ต้องจ่ายเงินค่าบอกกล่าวล่วงหน้า
อย่างไรก็ตาม มีบางกรณีที่นายจ้าง ไม่ต้องจ่ายเงินค่าบอกกล่าวล่วงหน้า เช่น หากลูกจ้างทำผิดร้ายแรง ตามมาตรา 119 เช่น ขโมยของบริษัท หรือทำผิดจรรยาบรรณร้ายแรง กรณีแบบนี้ นายจ้างสามารถเลิกจ้างได้ทันทีโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยหรือเงินค่าบอกกล่าวล่วงหน้า
เงินชดเชยพิเศษคืออะไร? กรณีไหนลูกจ้างมีสิทธิ์ได้รับ?
นอกจากค่าชดเชยปกติแล้ว ลูกจ้างบางกรณีอาจได้รับ เงินชดเชยพิเศษ ซึ่งเป็นเงินที่เพิ่มขึ้นจากค่าชดเชยปกติ โดยเงินชดเชยพิเศษจะจ่ายในกรณีที่ การเลิกจ้างเป็นไปโดยไม่เป็นธรรม หรือบริษัทมีการปิดกิจการกะทันหัน
ตัวอย่างของกรณีที่ลูกจ้างอาจได้รับเงินชดเชยพิเศษ ได้แก่
- บริษัทปิดกิจการกระทันหัน
หากนายจ้างปิดกิจการแบบไม่แจ้งล่วงหน้า และไม่จ่ายค่าชดเชย ลูกจ้างสามารถเรียกร้องเงินชดเชยพิเศษได้ ตามมาตรา 121 ซึ่งอาจเป็นจำนวนเงินมากกว่าค่าชดเชยปกติ - ลูกจ้างถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
หากศาลแรงงานพิจารณาว่าการเลิกจ้างของนายจ้าง ไม่เป็นธรรม ศาลสามารถมีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินชดเชยเพิ่มเติมให้ลูกจ้างได้ - ลูกจ้างถูกบังคับให้ลาออก
หากนายจ้างใช้วิธีการกดดันลูกจ้าง เช่น ลดเงินเดือน โยกย้ายตำแหน่ง หรือทำให้สภาพแวดล้อมการทำงานแย่ลงเพื่อให้ลูกจ้างลาออก ศาลอาจพิจารณาว่าเป็นการเลิกจ้างโดยปริยาย และนายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษ
ตัวอย่างเช่น ลูกจ้าง A ทำงานกับบริษัทแห่งหนึ่งมา 10 ปี วันหนึ่งบริษัทแจ้งว่าจะเลิกจ้าง แต่ไม่มีการแจ้งล่วงหน้า และไม่จ่ายค่าชดเชย A จึงยื่นฟ้องศาลแรงงาน ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยพิเศษเพิ่มเติม
ถ้าถูกเลิกจ้างแต่ไม่ได้ค่าชดเชยต้องทำยังไง?
หากคุณถูกเลิกจ้างแต่ไม่ได้รับค่าชดเชยตามที่กฎหมายกำหนด คุณสามารถยื่นคำร้องต่อกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ช่วยไกล่เกลี่ยหรือดำเนินคดีให้คุณได้ หากนายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชยตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่ คุณสามารถยื่นฟ้องศาลแรงงานเพื่อเรียกร้องเงินที่คุณควรได้รับ
มาตราที่เกี่ยวข้องกับค่าชดเชย
- มาตรา 118 กำหนดอัตราค่าชดเชยตามระยะเวลาการทำงาน
- มาตรา 121 กล่าวถึงเงินชดเชยพิเศษในกรณีปิดกิจการหรือเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม
- มาตรา 17 กำหนดว่านายจ้างต้องปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับค่าจ้างและค่าชดเชย
ต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับค่าชดเชย?
หากคุณไม่แน่ใจว่าตัวเองมีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชยเท่าไหร่ หรือสงสัยว่าการเลิกจ้างของคุณถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ สามารถปรึกษาทนายแรงงานได้ที่ Legardy แพลตฟอร์มที่รวบรวมทนายจากทั่วประเทศ เพื่อให้คุณได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องและเป็นธรรม
กรณีที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย มีอะไรบ้าง? ลูกจ้างต้องรู้ให้ทัน!
แม้ว่ากฎหมายแรงงานไทยจะคุ้มครองลูกจ้างโดยกำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยเมื่อลูกจ้างถูกเลิกจ้าง แต่ก็มีบางกรณีที่ นายจ้างสามารถเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ซึ่งหากลูกจ้างไม่รู้สิทธิ์ของตัวเอง อาจทำให้เสียเปรียบได้ง่าย
เรื่องนี้มักเกิดขึ้นเมื่อ นายจ้างต้องการลดต้นทุน และใช้ข้ออ้างว่าลูกจ้างทำผิดร้ายแรงเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าชดเชย แต่ในความเป็นจริง กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างได้ตามอำเภอใจ นายจ้างต้องมีหลักฐานชัดเจน และปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมาย
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้คือ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 ซึ่งระบุกรณีที่นายจ้างสามารถเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยไว้ 6 ข้อดังนี้
ลูกจ้างทำผิดวินัยร้ายแรง เลิกจ้างได้ทันทีโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยจริงหรือ?
หากลูกจ้างทำผิดร้ายแรงจนเป็นเหตุให้นายจ้างไม่สามารถให้อยู่ในองค์กรได้อีกต่อไป กฎหมายให้สิทธิ์นายจ้างสามารถเลิกจ้างลูกจ้างได้ทันที โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
ตัวอย่างของการกระทำผิดร้ายแรง ได้แก่
- ขโมยทรัพย์สินของบริษัท
- ทุจริตหรือโกงเงินบริษัท
- ทำร้ายร่างกายเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้า
- กระทำผิดที่ส่งผลเสียร้ายแรงต่อบริษัท
- ละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุผลเป็นเวลานาน
แต่ประเด็นสำคัญคือ นายจ้างต้องมีหลักฐานชัดเจน หากไม่มีหลักฐาน หรือเป็นแค่คำกล่าวอ้างลอย ๆ ลูกจ้างสามารถโต้แย้งได้
ตัวอย่างเช่น พนักงาน A ทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งมานาน 10 ปี วันหนึ่งถูกกล่าวหาว่าขโมยสินค้าในโกดัง แต่ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด ไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิด หรือไม่มีพยานเห็นเหตุการณ์ แต่นายจ้างใช้ข้อกล่าวหานี้เป็นเหตุผลในการเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย กรณีนี้ A สามารถฟ้องร้องเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ได้ เพราะนายจ้าง ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าลูกจ้างทำผิดจริง
ลูกจ้างละทิ้งงานเกิน 3 วันติดต่อกัน นายจ้างเลิกจ้างได้จริงไหม?
ตามกฎหมายแรงงาน หากลูกจ้างขาดงานติดต่อกันเกิน 3 วันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร นายจ้างสามารถเลิกจ้างได้ โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
แต่นี่เป็นหนึ่งในข้ออ้างที่นายจ้างมักใช้ เพื่อเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย แม้ว่าในความเป็นจริง ลูกจ้างอาจมีเหตุผลที่สมควร เช่น ลาป่วย หรือมีปัญหาฉุกเฉินทางครอบครัว
ตัวอย่างของสถานการณ์ที่เป็นปัญหา ลูกจ้าง B ป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลเป็นเวลา 4 วัน แต่ไม่ได้แจ้งนายจ้างล่วงหน้า นายจ้างจึงถือว่า B ละทิ้งงาน และใช้เป็นเหตุผลในการเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ในกรณีนี้ หาก B มีใบรับรองแพทย์มายืนยัน นายจ้างไม่สามารถอ้างว่าเป็นการละทิ้งงานได้
ลูกจ้างฝ่าฝืนกฎระเบียบของบริษัทอย่างร้ายแรง ถือว่าเป็นเหตุให้เลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยหรือไม่?
ในบางองค์กร มีกฎระเบียบที่เคร่งครัด เช่น ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ในที่ทำงาน ห้ามนำข้อมูลของบริษัทไปเปิดเผย ห้ามใช้คอมพิวเตอร์ของบริษัทในทางที่ผิด หากลูกจ้างฝ่าฝืนกฎเหล่านี้ นายจ้างอาจถือว่าเป็น เหตุร้ายแรง และเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
แต่กฎหมายก็ระบุว่า การฝ่าฝืนกฎต้องเป็นการกระทำที่ร้ายแรง และนายจ้างต้องเคยเตือนลูกจ้างมาก่อน หากลูกจ้างไม่ได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้า นายจ้างไม่สามารถใช้เรื่องนี้เป็นเหตุผลในการเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยได้
ตัวอย่างเช่น พนักงาน C ใช้อีเมลบริษัทส่งเอกสารที่เป็นข้อมูลลับออกไปให้บุคคลภายนอก ซึ่งถือเป็นการละเมิดระเบียบของบริษัทอย่างร้ายแรง กรณีนี้ นายจ้างสามารถเลิกจ้าง C ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
กรณีที่บริษัทเลิกกิจการ นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยหรือไม่?
หากบริษัทปิดตัวลง นายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่าย ค่าชดเชยให้ลูกจ้างทุกคน ตามที่กฎหมายกำหนด
อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีที่บริษัทล้มละลายและไม่มีเงินจ่ายค่าชดเชย ลูกจ้างสามารถยื่นเรื่องขอรับเงินทดแทนจากกองทุนประกันสังคมได้
ตัวอย่างเช่น บริษัท D ประสบปัญหาขาดทุนหนักจนต้องปิดกิจการ แต่ไม่ได้จ่ายค่าชดเชยให้พนักงานทุกคน พนักงานสามารถยื่นเรื่องต่อกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานให้ดำเนินคดี และหากนายจ้างไม่มีเงินจ่าย ลูกจ้างสามารถขอรับเงินทดแทนจากกองทุนประกันสังคมได้บางส่วน
ถ้าถูกเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ต้องทำยังไง?
หากคุณถูกเลิกจ้างโดยไม่มีค่าชดเชย ขั้นตอนแรกที่ต้องทำคือ ตรวจสอบว่าการเลิกจ้างของคุณเข้าเงื่อนไขการได้รับค่าชดเชยหรือไม่ หากคุณมีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชยแต่ไม่ได้รับ คุณสามารถทำตามขั้นตอนดังนี้
- แจ้งความต่อกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เจ้าหน้าที่จะช่วยไกล่เกลี่ยและบังคับให้นายจ้างจ่ายเงินตามกฎหมาย
- ถ้าไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จ ให้ยื่นฟ้องศาลแรงงาน เพื่อเรียกร้องสิทธิ์ของคุณ
- หากนายจ้างไม่มีเงินจ่าย ให้ยื่นเรื่องขอรับเงินจากกองทุนประกันสังคม
มาตราที่เกี่ยวข้องกับการเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
- มาตรา 119 กำหนดกรณีที่นายจ้างสามารถเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย เช่น การทำผิดร้ายแรง
- มาตรา 121 กล่าวถึงการเลิกจ้างโดยเหตุสุดวิสัย เช่น บริษัทปิดกิจการ
ต้องการความช่วยเหลือเกี่ยวกับการเลิกจ้าง?
หากคุณถูกเลิกจ้างและต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับสิทธิ์ของคุณ สามารถปรึกษาทนายแรงงานได้ที่ Legardy แพลตฟอร์มที่รวบรวมทนายจากทั่วประเทศ เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องและเป็นธรรม
ถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ทำยังไงดี? ลูกจ้างสามารถเรียกร้องอะไรได้บ้าง?
การเลิกจ้างไม่เป็นธรรมเป็นปัญหาที่ลูกจ้างจำนวนมากเผชิญ โดยเฉพาะในกรณีที่นายจ้างอ้างเหตุผลต่าง ๆ เพื่อบีบให้พนักงานออกโดยไม่จ่ายค่าชดเชย หรือใช้ข้ออ้างทางธุรกิจเพื่อเลิกจ้างโดยที่ลูกจ้างไม่มีโอกาสได้ป้องกันตัวเอง
สิ่งสำคัญคือ ลูกจ้างมีสิทธิ์ในการต่อสู้และเรียกร้องค่าชดเชย หรือแม้กระทั่งให้ศาลสั่งให้กลับเข้าทำงานได้ หากพบว่าการเลิกจ้างนั้นไม่เป็นธรรม
การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม คืออะไร? กฎหมายให้ความคุ้มครองอย่างไร?
การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม คือ การเลิกจ้างที่ไม่มีเหตุผลที่สมควร หรือเป็นการเลิกจ้างที่นายจ้างใช้กลวิธีต่าง ๆ เพื่อเลี่ยงการจ่ายค่าชดเชย ซึ่งอาจรวมถึง
- นายจ้างไล่ออกโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน เช่น นายจ้างบอกให้ลูกจ้างออกโดยไม่แจ้งล่วงหน้า และไม่จ่ายค่าชดเชย
- บีบบังคับให้ลูกจ้างลาออก เช่น ลดตำแหน่ง ลดเงินเดือน หรือโยกย้ายไปในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสมเพื่อให้พนักงานลาออกเอง
- การเลิกจ้างที่มีเจตนาไม่ดี เช่น เลิกจ้างพนักงานเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายโบนัส หรือเพื่อไม่ให้พนักงานได้รับสวัสดิการต่าง ๆ
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ได้กำหนดว่าหากนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ลูกจ้างสามารถเรียกร้องค่าชดเชยพิเศษ หรือเรียกร้องให้กลับเข้าทำงานได้
ตัวอย่างสถานการณ์ A
พนักงานทำงานมา 5 ปี โดยไม่มีพฤติกรรมที่เป็นปัญหา แต่จู่ ๆ นายจ้างแจ้งให้ลาออกโดยไม่มีค่าชดเชย หากลูกจ้างไม่ออก นายจ้างขู่ว่าจะหักเงินเดือน กรณีนี้ถือว่าเป็น การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
ตัวอย่างสถานการณ์ B
พนักงานที่กำลังจะได้รับโบนัสปลายปี ถูกเลิกจ้างก่อนโบนัสจะออกเพียง 2 สัปดาห์ และไม่มีการแจ้งล่วงหน้า กรณีนี้อาจเข้าข่าย การเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม และลูกจ้างสามารถเรียกร้องเงินชดเชยได้
ถ้าถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ลูกจ้างสามารถเรียกร้องอะไรได้บ้าง?
หากคุณถูกเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม กฎหมายให้สิทธิ์ในการเรียกร้อง 2 แนวทางหลัก ได้แก่
- เรียกร้องให้ศาลแรงงานสั่งให้นายจ้างรับกลับเข้าทำงาน
ถ้าศาลพิจารณาว่าการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และเห็นว่านายจ้างยังสามารถรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานได้ ลูกจ้างสามารถขอกลับเข้าทำงานได้ในตำแหน่งเดิม พร้อมค่าจ้างย้อนหลังทั้งหมดตั้งแต่วันที่ถูกเลิกจ้าง - เรียกร้องค่าชดเชยและค่าเสียหายเพิ่มเติม
หากศาลพิจารณาว่าการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม แต่เห็นว่าการกลับเข้าทำงานอาจไม่เหมาะสม (เช่น มีความขัดแย้งระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง) ศาลอาจสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินชดเชย รวมถึงค่าเสียหายเพิ่มเติม แทน
ตัวอย่างกรณีที่ศาลเคยตัดสิน
ลูกจ้างถูกเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผลที่สมควร และนายจ้างไม่มีหลักฐานชัดเจน ศาลแรงงานตัดสินให้ นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย 6 เดือน และค่าเสียหายเพิ่มเติม เนื่องจากลูกจ้างไม่ได้งานใหม่ทันที
จะฟ้องนายจ้างเรื่องเลิกจ้างไม่เป็นธรรมต้องทำยังไง?
หากคุณคิดว่าการเลิกจ้างของคุณ ไม่เป็นธรรม และต้องการเรียกร้องสิทธิ์ของคุณ นี่คือขั้นตอนที่ต้องทำ
- ยื่นเรื่องต่อกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
- ติดต่อสำนักงานแรงงานจังหวัด หรือสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
- เจ้าหน้าที่จะช่วยไกล่เกลี่ยให้ หากไกล่เกลี่ยสำเร็จ นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยที่ถูกต้อง
- หากไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จ ให้ยื่นฟ้องศาลแรงงาน
- หากนายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชย หรือยังยืนยันว่าเลิกจ้างถูกต้อง ลูกจ้างสามารถยื่นฟ้องศาลแรงงานได้
- คดีแรงงานมักใช้เวลาไม่นาน และไม่มีค่าธรรมเนียมการฟ้องร้อง
ตัวอย่างกรณีจริง
พนักงาน C ถูกเลิกจ้างโดยไม่มีค่าชดเชย และไม่แจ้งล่วงหน้า เมื่อยื่นเรื่องต่อกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน นายจ้างยังปฏิเสธการจ่ายค่าชดเชย พนักงานจึงยื่นฟ้องศาลแรงงาน ศาลสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชย รวมถึงค่าเสียหายจากการถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
ต้องใช้หลักฐานอะไรในการฟ้องคดีเลิกจ้างไม่เป็นธรรม?
หากลูกจ้างต้องการฟ้องร้องเรื่องเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ต้องมีหลักฐานสนับสนุน เช่น
- หนังสือแจ้งเลิกจ้าง (หากมี)
- หลักฐานการทำงาน เช่น สลิปเงินเดือนหรือสัญญาจ้าง
- พยานหลักฐานที่แสดงว่าการเลิกจ้างไม่มีเหตุผลสมควร เช่น อีเมลหรือข้อความที่นายจ้างใช้กดดันให้ลาออก
หากไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร ลูกจ้างยังสามารถใช้พยานบุคคลที่รู้เห็นเรื่องราวมาให้การในศาลได้
นายจ้างขู่ว่าถ้าฟ้อง จะไม่ออกเอกสารรับรองการทำงาน แบบนี้ทำได้หรือไม่?
กฎหมายแรงงานไทยกำหนดไว้ว่านายจ้าง ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธการออกหนังสือรับรองการทำงาน แม้ว่าลูกจ้างจะถูกเลิกจ้าง หรือกำลังมีคดีความกันอยู่ นายจ้าง ต้องออกหนังสือรับรองให้ลูกจ้างตามความเป็นจริง
หากนายจ้างปฏิเสธ ลูกจ้างสามารถแจ้งความกับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเพื่อดำเนินคดีนายจ้างได้
มาตราที่เกี่ยวข้องกับการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
- มาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน กำหนดว่าการเลิกจ้างต้องมีเหตุผลสมควร
- มาตรา 118 ระบุเรื่องค่าชดเชยที่นายจ้างต้องจ่าย
- มาตรา 121 ระบุว่าหากการเลิกจ้างเป็นไปโดยไม่เป็นธรรม ลูกจ้างสามารถเรียกร้องค่าชดเชยเพิ่มเติมได้
ต้องการความช่วยเหลือเรื่องการฟ้องคดีเลิกจ้างไม่เป็นธรรม?
หากคุณคิดว่าถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และต้องการคำแนะนำด้านกฎหมายแรงงาน สามารถปรึกษาทนายแรงงานได้ที่ Legardy แพลตฟอร์มที่รวบรวมทนายจากทั่วประเทศ เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง และช่วยคุณต่อสู้เพื่อสิทธิของคุณ
การเลิกจ้างจากเหตุผลทางเศรษฐกิจ หรือการปรับโครงสร้างองค์กร ลูกจ้างต้องทำยังไง?
ในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน หลายบริษัทต้องปรับโครงสร้าง ลดจำนวนพนักงาน หรือแม้แต่ปิดกิจการ ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่นายจ้างใช้ในการเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก แต่คำถามคือ นายจ้างมีสิทธิ์เลิกจ้างลูกจ้างเพราะเหตุผลทางเศรษฐกิจจริงหรือไม่? และถ้าถูกเลิกจ้างแบบนี้ ลูกจ้างต้องทำอย่างไร?
การเลิกจ้างเพราะเหตุผลทางเศรษฐกิจ ถูกกฎหมายหรือไม่?
กฎหมายแรงงานไทย ไม่ได้ห้ามนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างเพราะเหตุผลทางเศรษฐกิจ แต่กำหนดให้นายจ้างต้อง ปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานอย่างเคร่งครัด ซึ่งหมายความว่า
- นายจ้างต้อง แจ้งเลิกจ้างล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน
- นายจ้างต้อง จ่ายค่าชดเชยตามที่กฎหมายกำหนด
- นายจ้างต้องมี เหตุผลทางธุรกิจที่สมควรและพิสูจน์ได้
ตัวอย่างเช่น บริษัท A ขาดทุนสะสมมาหลายปี จนต้องลดขนาดองค์กร หากบริษัทมีหลักฐานทางการเงินที่พิสูจน์ได้ว่าขาดทุนจริง การเลิกจ้างจะถือว่าเป็นไปตามกฎหมาย แต่ถ้าเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อลดต้นทุน ทั้งที่บริษัทมีกำไรสูง ลูกจ้างอาจเรียกร้องค่าชดเชยพิเศษได้
ถูกเลิกจ้างเพราะปรับโครงสร้างองค์กร ลูกจ้างต้องได้เงินอะไรบ้าง?
หากนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างด้วยเหตุผลว่า บริษัทกำลังปรับโครงสร้าง หรือ ลดจำนวนพนักงาน ลูกจ้างต้องได้รับเงินตามกฎหมายแรงงาน ซึ่งประกอบไปด้วย
- ค่าชดเชยตามมาตรา 118
ลูกจ้างต้องได้รับค่าชดเชยตามระยะเวลาการทำงาน เช่น หากทำงานมา 5 ปี ต้องได้รับค่าชดเชยเท่ากับ 180 วันของค่าจ้างสุดท้าย - ค่าจ้างแทนการแจ้งล่วงหน้า (ถ้านายจ้างไม่แจ้งล่วงหน้า 30 วัน)
หากนายจ้างต้องการให้ลูกจ้างออกจากงานทันที ลูกจ้างต้องได้รับเงินค่าจ้างอีก 1 เดือน - เงินทดแทนกรณีว่างงานจากประกันสังคม
หากลูกจ้างถูกเลิกจ้าง สามารถขอรับเงินชดเชยกรณีว่างงานจากประกันสังคมได้สูงสุด 70% ของค่าจ้างเป็นเวลา 6 เดือน
ตัวอย่างสถานการณ์
พนักงาน B ทำงานมา 8 ปี และถูกเลิกจ้างเพราะบริษัทต้องลดต้นทุน นายจ้างแจ้งล่วงหน้า 30 วัน และจ่ายค่าชดเชย 240 วันของค่าจ้าง ซึ่งถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่หากนายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชย ลูกจ้างสามารถร้องเรียนกรมแรงงานได้
บริษัทใช้ข้ออ้างทางเศรษฐกิจเลิกจ้าง แต่จริง ๆ แล้วแค่ต้องการลดต้นทุน แบบนี้ผิดกฎหมายไหม?
ในหลายกรณี นายจ้างอ้างว่า บริษัทมีปัญหาทางเศรษฐกิจเพื่อเลิกจ้างพนักงานโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย แต่ในความเป็นจริง บริษัทอาจไม่ได้ขาดทุนเลย หรือแม้แต่ จ้างพนักงานใหม่มาแทนในตำแหน่งเดียวกัน
หากพบว่ามีการเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผลที่สมควร ลูกจ้างสามารถยื่นฟ้องศาลแรงงานเพื่อเรียกร้องค่าชดเชยพิเศษได้
ตัวอย่างเช่น บริษัท C ประกาศเลิกจ้างพนักงาน 50 คนโดยอ้างว่าบริษัทขาดทุน แต่หลังจากเลิกจ้าง กลับมีการเปิดรับสมัครพนักงานใหม่ในตำแหน่งเดียวกัน กรณีนี้ถือว่า นายจ้างเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผลสมควร และอาจเข้าข่ายเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
ถ้านายจ้างเสนอให้เซ็นใบลาออก แทนการเลิกจ้าง ลูกจ้างควรทำยังไง?
นายจ้างบางรายจะใช้วิธี "ขอให้ลูกจ้างเซ็นใบลาออกเอง" แทนการเลิกจ้าง เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าชดเชย หากคุณถูกขอให้เซ็นใบลาออก ต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพราะหากคุณเซ็นไปแล้ว คุณจะไม่มีสิทธิ์เรียกร้องค่าชดเชยใด ๆ
หากนายจ้างกดดันให้คุณเซ็นใบลาออกโดยบอกว่า "ถ้าไม่เซ็น อาจไม่ได้อะไรเลย" หรือ "เซ็นไปเถอะ จะได้ไม่ต้องมีปัญหา" อย่าเพิ่งเซ็น ให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายก่อน
ถ้าคุณถูกกดดันให้เซ็นใบลาออก คุณสามารถทำสิ่งต่อไปนี้
- ขอให้นายจ้างชี้แจงเหตุผลที่ชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร
- ปรึกษากรมแรงงาน หรือทนายแรงงาน เพื่อดูว่าคุณมีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชยหรือไม่
- ปฏิเสธการเซ็น และแจ้งว่าต้องการให้มีการเลิกจ้างตามกระบวนการกฎหมาย
ถ้านายจ้างเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ลูกจ้างต้องทำยังไง?
หากคุณถูกเลิกจ้างโดยไม่มีค่าชดเชย ทั้งที่นายจ้างอ้างว่าเป็นเรื่องทางเศรษฐกิจ แต่ไม่มีเหตุผลที่สมควร คุณสามารถดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้
- ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
- กรมแรงงานจะตรวจสอบว่าการเลิกจ้างเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่
- หากนายจ้างผิดจริง อาจถูกสั่งให้จ่ายค่าชดเชย หรืออาจถูกลงโทษทางกฎหมาย
- ยื่นฟ้องศาลแรงงานเพื่อเรียกร้องค่าชดเชยและเงินชดเชยพิเศษ
- หากกรมแรงงานช่วยไกล่เกลี่ยแล้วแต่ไม่สำเร็จ ลูกจ้างสามารถยื่นฟ้องศาลแรงงานได้
มาตราที่เกี่ยวข้องกับการเลิกจ้างเพราะเหตุผลทางเศรษฐกิจ
- มาตรา 118 กำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยเมื่อลูกจ้างถูกเลิกจ้าง
- มาตรา 121 กล่าวถึงค่าชดเชยพิเศษในกรณีที่บริษัทปิดกิจการกะทันหัน
- มาตรา 49 ระบุว่าการเลิกจ้างต้องมีเหตุผลสมควร และหากไม่เป็นธรรม ลูกจ้างสามารถเรียกร้องค่าชดเชยเพิ่มเติมได้
ต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับการเลิกจ้างเพราะเหตุผลทางเศรษฐกิจ?
หากคุณถูกเลิกจ้างและไม่แน่ใจว่าตัวเองได้รับสิทธิ์ครบถ้วนหรือไม่ สามารถปรึกษาทนายแรงงานได้ที่ Legardy แพลตฟอร์มที่รวบรวมทนายจากทั่วประเทศ เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง และช่วยให้คุณได้รับสิทธิ์ตามกฎหมาย
ถ้านายจ้างปิดกิจการ ลูกจ้างต้องทำอย่างไร? ได้ค่าชดเชยหรือไม่?
หนึ่งในสถานการณ์ที่ลูกจ้างกลัวมากที่สุดคือ การปิดกิจการของบริษัท เพราะนอกจากจะทำให้ตกงานกะทันหันแล้ว ยังมีความเสี่ยงว่า นายจ้างอาจไม่จ่ายค่าชดเชย หรือเลี่ยงความรับผิดชอบโดยการปิดบริษัทหนี ลูกจ้างหลายคนต้องเผชิญกับคำถามว่า "ถ้าบริษัทปิดตัวลง เราจะได้รับค่าชดเชยไหม?" และ "ถ้านายจ้างไม่มีเงินจ่าย เราต้องทำยังไง?"
ข่าวดีคือ กฎหมายแรงงานคุ้มครองลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างจากการปิดกิจการ และยังมีช่องทางในการเรียกร้องสิทธิ์ แม้ในกรณีที่นายจ้างปิดบริษัทหนี
บริษัทปิดกิจการ นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยหรือไม่?
ตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118 ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า หากนายจ้างปิดกิจการ ต้องจ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้างตามอายุงาน เช่น
- ทำงานครบ 1 ปี ได้ค่าชดเชย 90 วัน
- ทำงานครบ 5 ปี ได้ค่าชดเชย 180 วัน
- ทำงานครบ 20 ปี ได้ค่าชดเชย 400 วัน
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่นายจ้างปิดกิจการโดยไม่แจ้งล่วงหน้า นายจ้างต้อง จ่ายค่าจ้างแทนการแจ้งล่วงหน้าอีก 1 เดือน ตาม มาตรา 121 ของกฎหมายแรงงาน
ตัวอย่างเช่น บริษัท A แจ้งปิดกิจการทันทีโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า พนักงานที่ทำงานมา 10 ปี ต้องได้รับค่าชดเชย 300 วันของค่าจ้างสุดท้าย บวกกับ ค่าจ้างแทนการแจ้งล่วงหน้าอีก 1 เดือน
ถ้านายจ้างปิดบริษัทหนี ลูกจ้างต้องทำยังไง?
ในบางกรณี นายจ้างปิดบริษัทหนี และไม่จ่ายค่าชดเชย ซึ่งทำให้ลูกจ้างไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อไป โชคดีที่ กฎหมายให้สิทธิ์ลูกจ้างในการเรียกร้องเงินชดเชยได้ แม้ว่านายจ้างจะไม่อยู่แล้วก็ตาม
- ยื่นคำร้องต่อกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
หากนายจ้างปิดกิจการแล้วไม่จ่ายค่าชดเชย ลูกจ้างสามารถยื่นเรื่องต่อ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการบังคับให้นายจ้างจ่ายเงิน - ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงาน
หากนายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชย ลูกจ้างสามารถฟ้องต่อ ศาลแรงงาน ซึ่งหากศาลตัดสินให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชย แต่นายจ้างไม่มีเงินหรือหลบหนี ลูกจ้างสามารถยื่นขอให้ศาลบังคับยึดทรัพย์ของนายจ้างได้ - ขอรับเงินช่วยเหลือจากกองทุนประกันสังคม
หากนายจ้างไม่มีเงินจ่าย ลูกจ้างสามารถขอรับ เงินช่วยเหลือจากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างของประกันสังคม ซึ่งจะจ่ายค่าชดเชยบางส่วนให้
ตัวอย่างสถานการณ์ A
บริษัท B ปิดกิจการกะทันหันโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า และไม่มีเงินจ่ายค่าชดเชยให้พนักงาน พนักงานสามารถยื่นเรื่องต่อกรมแรงงาน และในที่สุดนายจ้างถูกบังคับให้ขายทรัพย์สินเพื่อจ่ายค่าชดเชย
ตัวอย่างสถานการณ์ B
บริษัท C ปิดตัวลง และเจ้าของบริษัทหลบหนี ลูกจ้างจึงยื่นขอรับเงินชดเชยจากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างของประกันสังคม ซึ่งช่วยจ่ายค่าชดเชยบางส่วนให้
นายจ้างอ้างว่าบริษัทล้มละลาย แล้วไม่จ่ายค่าชดเชยได้หรือไม่?
ในบางกรณี นายจ้างอ้างว่าบริษัท "ล้มละลาย" เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าชดเชย แต่กฎหมายกำหนดไว้ว่า แม้บริษัทจะล้มละลาย นายจ้างก็ยังต้องรับผิดชอบจ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้างก่อนชำระหนี้อื่น ๆ
หากนายจ้างยื่นขอล้มละลาย ลูกจ้างสามารถยื่นเรื่องต่อกรมบังคับคดีเพื่อขอรับค่าชดเชยจากการขายทรัพย์สินของบริษัทได้
ตัวอย่างเช่น บริษัท D ประกาศล้มละลาย และมีหนี้สินจำนวนมาก พนักงานสามารถเรียกร้องให้กรมบังคับคดี นำทรัพย์สินของบริษัทออกขายเพื่อจ่ายค่าชดเชยให้พนักงานก่อนเจ้าหนี้รายอื่น
ลูกจ้างสามารถขอเงินช่วยเหลือจากประกันสังคมได้ไหม?
หากนายจ้างปิดกิจการและไม่มีเงินจ่ายค่าชดเชย ลูกจ้างสามารถขอรับ เงินทดแทนจากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างของประกันสังคม ได้ โดยเงื่อนไขคือ
- ลูกจ้างต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33
- มีการจ่ายเงินสมทบเข้าประกันสังคมครบ 6 เดือนภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนถูกเลิกจ้าง
เงินที่ได้รับจากประกันสังคม ได้แก่
- เงินชดเชยกรณีว่างงาน ได้รับ 70% ของค่าจ้างสุดท้าย เป็นเวลา ไม่เกิน 6 เดือน
- เงินช่วยเหลือพิเศษจากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ในกรณีที่นายจ้างไม่มีเงินจ่าย
ตัวอย่างเช่น พนักงาน E ถูกเลิกจ้างจากการปิดกิจการ และนายจ้างไม่มีเงินจ่ายค่าชดเชย E สามารถขอรับเงินจากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเพื่อช่วยเหลือในระยะสั้น
ถ้านายจ้างปิดกิจการโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ลูกจ้างสามารถฟ้องร้องอะไรได้บ้าง?
หากนายจ้างปิดกิจการโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ลูกจ้างสามารถยื่นฟ้องเรียกร้องค่าชดเชยและค่าเสียหายเพิ่มเติมได้ เช่น
- ค่าชดเชยตามมาตรา 118
- ค่าจ้างแทนการแจ้งล่วงหน้าตามมาตรา 121
- ค่าจ้างที่ยังค้างจ่าย
ในบางกรณี ศาลแรงงานอาจสั่งให้ นายจ้างจ่ายค่าชดเชยพิเศษเพิ่มเติม หากพิจารณาแล้วว่าการปิดกิจการเป็นไปโดยไม่เป็นธรรม
มาตราที่เกี่ยวข้องกับการปิดกิจการและค่าชดเชย
- มาตรา 118 กำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยเมื่อลูกจ้างถูกเลิกจ้าง
- มาตรา 121 กล่าวถึงค่าจ้างแทนการแจ้งล่วงหน้า
- มาตรา 49 ระบุว่าการเลิกจ้างต้องมีเหตุผลสมควร และหากไม่เป็นธรรม ลูกจ้างสามารถเรียกร้องค่าชดเชยเพิ่มเติมได้
ต้องการความช่วยเหลือเรื่องค่าชดเชยกรณีปิดกิจการ?
หากคุณถูกเลิกจ้างเพราะบริษัทปิดกิจการ และต้องการคำแนะนำ สามารถปรึกษาทนายแรงงานได้ที่ Legardy แพลตฟอร์มที่รวบรวมทนายจากทั่วประเทศ เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง และช่วยให้คุณได้รับสิทธิ์ตามกฎหมาย
นายจ้างบีบให้ลาออก ถือว่าเลิกจ้างหรือไม่? ลูกจ้างสามารถเรียกร้องอะไรได้บ้าง?
ในบางกรณี นายจ้างอาจไม่ได้ออกคำสั่งเลิกจ้างโดยตรง แต่ใช้วิธี "บีบให้ลูกจ้างลาออกเอง" เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าชดเชย นี่เป็นปัญหาที่พบบ่อย และลูกจ้างหลายคนไม่รู้ว่าตัวเองมีสิทธิ์อะไรบ้างเมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้
ลูกจ้างบางคนยอมลาออกเพราะรู้สึกว่าทำงานต่อไปไม่ได้ แต่สุดท้ายกลับต้องเสียสิทธิ์ในการได้รับค่าชดเชย คำถามคือ ถ้าถูกบีบให้ลาออก ถือว่าเป็นการเลิกจ้างหรือไม่? แล้วเราสามารถเรียกร้องอะไรจากนายจ้างได้บ้าง?
การบีบให้ลาออก คืออะไร? มีลักษณะแบบไหนบ้าง?
การบีบให้ลาออก หมายถึง นายจ้างใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อทำให้ลูกจ้างตัดสินใจลาออกเอง โดยที่ไม่ได้ออกคำสั่งเลิกจ้างโดยตรง วิธีที่นายจ้างมักใช้ ได้แก่
- ลดเงินเดือน หรือไม่ขึ้นเงินเดือน ทั้งที่พนักงานทำงานได้ดี
- โยกย้ายตำแหน่ง หรือเปลี่ยนลักษณะงานให้หนักขึ้นจนพนักงานไม่สามารถทำได้
- ตัดสวัสดิการ หรือเปลี่ยนเงื่อนไขการทำงานให้แย่ลง
- ใช้วิธีสร้างแรงกดดัน เช่น ให้หัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานกดดันลูกจ้าง
- ให้ลูกจ้างทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตร
ตัวอย่างเช่น พนักงาน A ทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งมานาน 8 ปี อยู่ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายขาย จู่ ๆ นายจ้างลดตำแหน่งของ A ลงมาเป็นพนักงานระดับเริ่มต้น และลดเงินเดือนลง 40% โดยอ้างว่าเป็นการปรับโครงสร้าง A จึงลาออกเพราะไม่สามารถทำงานต่อไปได้ ในกรณีนี้ ถือว่าเป็นการเลิกจ้างโดยปริยาย และนายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย
อีกตัวอย่างหนึ่ง พนักงาน B เคยได้รับค่าคอมมิชชันจากการขายทุกเดือน แต่บริษัทเปลี่ยนนโยบายกะทันหัน และตัดค่าคอมมิชชันออกทั้งหมด ทำให้รายได้ของ B ลดลงมาก แม้จะไม่ได้ถูกสั่งเลิกจ้างโดยตรง แต่การกระทำของนายจ้างถือว่า เป็นการบีบให้ลาออก และอาจเข้าข่ายการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
ถ้าถูกบีบให้ลาออก ลูกจ้างต้องทำยังไง?
หากคุณกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่นายจ้างกดดันให้ลาออก อย่าเพิ่งลาออกเด็ดขาด เพราะหากคุณเซ็นใบลาออก คุณจะเสียสิทธิ์ในการได้รับค่าชดเชย
สิ่งที่ควรทำคือ
- รวบรวมหลักฐาน หากนายจ้างใช้วิธีบีบให้ลาออก เช่น ลดเงินเดือนโดยไม่มีเหตุผล โยกย้ายตำแหน่ง หรือสร้างแรงกดดัน ให้เก็บหลักฐานไว้ เช่น อีเมล คำสั่งย้ายงาน หรือข้อความแชต
- แจ้งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบว่าเป็นการเลิกจ้างโดยปริยายหรือไม่
- หากถูกกดดันหนัก สามารถร้องเรียนหรือฟ้องศาลแรงงานได้
ถ้าถูกบังคับให้เซ็นใบลาออก ถือว่าเลิกจ้างหรือไม่?
หากลูกจ้างถูกบังคับให้เซ็นใบลาออก ถือว่าเป็นการเลิกจ้างโดยปริยาย และนายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย ตามมาตรา 118 ของกฎหมายแรงงาน
มีหลายกรณีที่นายจ้างใช้วิธี "กดดัน" ให้ลูกจ้างเซ็นใบลาออก เช่น
- บอกให้ลูกจ้างเซ็นใบลาออก โดยอ้างว่า "ถ้าไม่เซ็น อาจถูกไล่ออกและไม่ได้รับเงินอะไรเลย"
- ขอให้เซ็นใบลาออกโดยบอกว่า "เป็นแค่เอกสารทางบริษัท"
- กดดันด้วยคำพูด เช่น "ออกเถอะ จะได้ไม่ต้องมีปัญหา"
ในกรณีแบบนี้ ลูกจ้างสามารถปฏิเสธการเซ็นใบลาออกได้ และหากนายจ้างบังคับให้เซ็น สามารถร้องเรียนต่อกรมแรงงานได้
ตัวอย่างเช่น พนักงาน C ถูกนายจ้างเรียกเข้าไปในห้องประชุมและบอกให้เซ็นใบลาออกทันที หากไม่เซ็น อาจถูกปลดออกจากงานโดยไม่มีเงินชดเชย C ปฏิเสธและร้องเรียนไปที่กรมแรงงาน ซึ่งทำให้บริษัทต้องจ่ายค่าชดเชยให้ C ตามที่กฎหมายกำหนด
ถ้าถูกบีบให้ลาออก ลูกจ้างสามารถเรียกร้องอะไรได้บ้าง?
หากคุณสามารถพิสูจน์ได้ว่า การลาออกของคุณเป็นเพราะแรงกดดันจากนายจ้าง ไม่ใช่ความสมัครใจของคุณเอง คุณสามารถเรียกร้องสิ่งต่อไปนี้ได้
- ค่าชดเชยตามมาตรา 118
- หากทำงานมา 3 ปี ต้องได้รับค่าชดเชย 180 วัน
- หากทำงานมา 10 ปี ต้องได้รับค่าชดเชย 300 วัน
- ค่าจ้างแทนการแจ้งล่วงหน้า (หากนายจ้างกดดันให้ลาออกทันที)
- กฎหมายกำหนดว่านายจ้างต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน
- ค่าชดเชยพิเศษ หากศาลพิจารณาว่าการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
- หากนายจ้างใช้วิธีการกดดันจนทำให้พนักงานต้องลาออก ศาลอาจสั่งให้จ่ายค่าชดเชยเพิ่มเติมได้
ต้องใช้หลักฐานอะไรบ้างในการพิสูจน์ว่าถูกบีบให้ลาออก?
หากต้องการฟ้องร้องว่านายจ้างบีบให้ลาออก ลูกจ้างต้องมีหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าไม่ได้ลาออกโดยสมัครใจ หลักฐานที่สามารถใช้ได้ ได้แก่
- เอกสารที่นายจ้างออกคำสั่งเปลี่ยนแปลงสภาพการทำงาน เช่น คำสั่งลดเงินเดือน
- ข้อความแชต อีเมล หรือหลักฐานการสื่อสารที่นายจ้างกดดันให้ลาออก
- พยานบุคคล เช่น เพื่อนร่วมงานที่รู้เห็นว่าคุณถูกบีบให้ลาออก
มาตราที่เกี่ยวข้องกับการบีบให้ลาออก
- มาตรา 118 กำหนดว่าหากลูกจ้างถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย
- มาตรา 121 ระบุว่าหากนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ต้องจ่ายค่าจ้างแทนการแจ้ง
- มาตรา 49 ระบุว่าหากการเลิกจ้างเป็นไปโดยไม่เป็นธรรม ลูกจ้างสามารถเรียกร้องค่าชดเชยเพิ่มเติมได้
ต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับการบีบให้ลาออก?
หากคุณถูกนายจ้างบีบให้ลาออก และไม่แน่ใจว่าตัวเองควรได้รับค่าชดเชยหรือไม่ สามารถปรึกษาทนายแรงงานได้ที่ Legardy แพลตฟอร์มที่รวบรวมทนายจากทั่วประเทศ เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง และช่วยให้คุณได้รับสิทธิ์ตามกฎหมาย
ถูกบังคับให้เซ็นใบลาออก ถ้าไม่เซ็นมีผลยังไง? เซ็นไปแล้วเรียกร้องสิทธิย้อนหลังได้ไหม?
การถูกบังคับให้เซ็นใบลาออกเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยมากในวงการแรงงาน นายจ้างบางรายใช้วิธีนี้เพื่อเลี่ยงการจ่ายค่าชดเชยและทำให้การเลิกจ้างดูเหมือนเป็นการลาออกโดยสมัครใจ ทั้งที่ในความเป็นจริง ลูกจ้างอาจไม่มีทางเลือกและถูกกดดันให้เซ็น
คำถามสำคัญที่หลายคนสงสัยคือ:
- ถ้าถูกบังคับให้เซ็นใบลาออก แต่ไม่เซ็น จะเกิดอะไรขึ้น?
- ถ้าเซ็นไปแล้ว ยังสามารถเรียกร้องค่าชดเชยย้อนหลังได้ไหม?
- นายจ้างมีสิทธิ์บังคับให้ลูกจ้างเซ็นใบลาออกหรือไม่?
นายจ้างมีสิทธิ์บังคับให้ลูกจ้างเซ็นใบลาออกหรือไม่?
คำตอบคือ ไม่มีสิทธิ์ นายจ้าง ไม่สามารถบังคับให้ลูกจ้างลาออกได้ ไม่ว่าจะเป็นการขู่เข็ญ กดดัน หรือบังคับเซ็นเอกสารโดยที่ลูกจ้างไม่สมัครใจ
กฎหมายแรงงานไทยกำหนดว่า หากลูกจ้างไม่ได้ลาออกโดยความสมัครใจ และเป็นการถูกบังคับให้ลาออก ถือว่าเป็น "การเลิกจ้าง" ซึ่งนายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย
ในหลายกรณี นายจ้างพยายามใช้วิธีการพูดจาหว่านล้อม หรือข่มขู่ลูกจ้างให้เซ็นใบลาออก เช่น
- บอกว่า "ถ้าไม่เซ็น อาจถูกไล่ออกและไม่ได้ค่าชดเชยเลย"
- ขู่ลูกจ้างว่า "ถ้าไม่เซ็น ใบผ่านงาน (หนังสือรับรองการทำงาน) อาจไม่ออกให้"
- ใช้แรงกดดันทางจิตวิทยา เช่น ทำให้บรรยากาศการทำงานแย่ลง
ตัวอย่างเช่น พนักงาน A ถูกนายจ้างเรียกเข้าห้องประชุม และยื่นใบลาออกให้เซ็นทันที นายจ้างขู่ว่า ถ้าไม่เซ็น อาจถูกไล่ออกโดยไม่มีเงินชดเชย กรณีแบบนี้ถือว่า เป็นการบังคับให้ลาออก และลูกจ้างสามารถปฏิเสธได้
ถ้าถูกบังคับให้เซ็นใบลาออก แต่ไม่เซ็น จะเกิดอะไรขึ้น?
หากลูกจ้างถูกบังคับให้เซ็นใบลาออก สิ่งแรกที่ต้องทำคือ อย่าเพิ่งเซ็น เพราะหากคุณไม่เซ็น นายจ้างจะต้องดำเนินการเลิกจ้างตามกฎหมายแรงงาน ซึ่งหมายความว่า
- นายจ้างต้องแจ้งเลิกจ้างเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมระบุเหตุผล
- นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุงาน หากการเลิกจ้างไม่เข้าข่ายผิดวินัยร้ายแรง
- นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างแทนการแจ้งล่วงหน้า หากให้ลูกจ้างออกจากงานทันที
ตัวอย่างสถานการณ์
พนักงาน B ถูกบังคับให้เซ็นใบลาออก B ปฏิเสธการเซ็น และแจ้งว่าขอให้มีการเลิกจ้างตามกระบวนการกฎหมาย ในที่สุด นายจ้างต้องออกหนังสือเลิกจ้าง และจ่ายค่าชดเชยให้ B ตามกฎหมาย
ถ้าเผลอเซ็นใบลาออกไปแล้ว ยังสามารถเรียกร้องสิทธิ์ย้อนหลังได้ไหม?
คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่ในบางกรณี ลูกจ้างสามารถฟ้องร้องเพื่อขอให้ศาลพิจารณาว่าการเซ็นใบลาออกเป็นการบังคับ
หากลูกจ้างสามารถพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้ลาออกโดยสมัครใจ แต่ถูกกดดันให้เซ็น ศาลอาจพิจารณาว่าเป็นการเลิกจ้างโดยปริยาย และมีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยย้อนหลัง
หลักฐานที่สามารถใช้พิสูจน์ได้ ได้แก่
- ข้อความแชตหรืออีเมลที่นายจ้างกดดันให้ลาออก
- พยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์การบังคับเซ็นใบลาออก
- เอกสารหรือสัญญาการทำงานที่ขัดแย้งกับเหตุผลการลาออก
ตัวอย่างเช่น พนักงาน C ถูกเรียกเข้าห้องประชุมและถูกบังคับให้เซ็นใบลาออกโดยไม่มีเวลาตัดสินใจ และไม่มีทางเลือกอื่น ศาลอาจพิจารณาว่าการลาออกไม่ใช่ความสมัครใจ และถือเป็นการเลิกจ้างโดยปริยาย ซึ่งนายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยให้ C
ถ้าถูกบังคับให้เซ็นใบลาออก ลูกจ้างสามารถทำอะไรได้บ้าง?
หากคุณถูกบังคับให้เซ็นใบลาออก อย่าตกใจ และทำตามขั้นตอนเหล่านี้
- ปฏิเสธการเซ็นใบลาออก และแจ้งว่าคุณขอให้มีการเลิกจ้างอย่างเป็นทางการ
- ขอให้มีพยานอยู่ในห้อง หากนายจ้างกดดันให้เซ็น เช่น หัวหน้างาน หรือเพื่อนร่วมงาน
- หากถูกบีบบังคับ ให้บันทึกหลักฐาน เช่น อัดเสียง หรือถ่ายรูปเอกสารที่นายจ้างยื่นให้เซ็น
- หากเผลอเซ็นไปแล้ว ให้รีบปรึกษาทนายหรือกรมแรงงาน เพื่อตรวจสอบว่าสามารถเรียกร้องสิทธิ์ได้หรือไม่
นายจ้างขู่ว่า ถ้าไม่เซ็นใบลาออก อาจไม่ได้หนังสือรับรองการทำงาน แบบนี้ผิดกฎหมายไหม?
กฎหมายแรงงานกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า นายจ้างไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธการออกหนังสือรับรองการทำงาน แม้ว่าลูกจ้างจะถูกเลิกจ้าง หรือมีคดีความกันอยู่ก็ตาม
ตามมาตรา 585 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นายจ้างต้องออกหนังสือรับรองการทำงานให้ลูกจ้าง โดยระบุเฉพาะตำแหน่งและระยะเวลาทำงาน นายจ้างไม่มีสิทธิ์เขียนข้อความที่ทำให้ลูกจ้างเสียหาย หรือปฏิเสธการออกเอกสารนี้
ตัวอย่างเช่น พนักงาน D ถูกเลิกจ้างและขอหนังสือรับรองการทำงาน แต่นายจ้างปฏิเสธโดยอ้างว่า "ยังไม่ได้เคลียร์บัญชี" กรณีนี้ นายจ้างผิดกฎหมาย และลูกจ้างสามารถร้องเรียนต่อกรมแรงงานได้
มาตราที่เกี่ยวข้องกับการบังคับให้เซ็นใบลาออก
- มาตรา 118 กำหนดว่าหากลูกจ้างถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย
- มาตรา 49 ระบุว่าหากการเลิกจ้างเป็นไปโดยไม่เป็นธรรม ลูกจ้างสามารถเรียกร้องค่าชดเชยเพิ่มเติมได้
- มาตรา 585 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดให้นายจ้างต้องออกหนังสือรับรองการทำงาน
ต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับการถูกบังคับให้เซ็นใบลาออก?
หากคุณถูกกดดันให้เซ็นใบลาออก และต้องการตรวจสอบว่าสามารถเรียกร้องสิทธิ์อะไรได้บ้าง สามารถปรึกษาทนายแรงงานได้ที่ Legardy แพลตฟอร์มที่รวบรวมทนายจากทั่วประเทศ เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง และช่วยให้คุณได้รับสิทธิ์ตามกฎหมาย
บทสรุป: ถ้าถูกเลิกจ้าง ต้องทำอะไรก่อนเป็นอันดับแรก? สิทธิ์ที่ลูกจ้างต้องรู้!
การถูกเลิกจ้างเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่มันเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าคุณจะทำงานมานานแค่ไหน หรือมีผลงานดีแค่ไหนก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดเมื่อถูกเลิกจ้างไม่ใช่การเสียใจหรือวิตกกังวล แต่คือการตั้งสติและรู้ว่าคุณต้องทำอะไรต่อไปเพื่อให้ได้รับสิทธิ์ที่คุณควรได้รับตามกฎหมาย
เมื่อถูกเลิกจ้าง ต้องทำอะไรเป็นอันดับแรก?
หากคุณได้รับแจ้งเลิกจ้าง สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือ ตรวจสอบว่าเป็นการเลิกจ้างที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ โดยพิจารณาจาก 3 สิ่งหลัก ดังนี้
- มีการแจ้งล่วงหน้าหรือไม่?
- นายจ้างต้องแจ้งเลิกจ้างล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน เว้นแต่เป็นการเลิกจ้างเพราะทำผิดร้ายแรง
- ถ้านายจ้างไม่แจ้งล่วงหน้า ต้องจ่ายค่าจ้างแทนการแจ้งล่วงหน้า
- ได้รับค่าชดเชยตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่?
- หากคุณถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิดร้ายแรง นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุงานของคุณ
- เหตุผลในการเลิกจ้างเป็นธรรมและสมเหตุสมผลหรือไม่?
- หากถูกเลิกจ้างเพราะเหตุผลที่ไม่ชัดเจน หรือดูเหมือนเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม คุณสามารถยื่นเรื่องร้องเรียนต่อกรมแรงงานได้
ตัวอย่างสถานการณ์ A
พนักงาน A ถูกเลิกจ้างกะทันหัน และนายจ้างอ้างว่าบริษัทขาดทุน แต่ไม่ได้จ่ายค่าชดเชยและไม่ได้แจ้งล่วงหน้า A สามารถยื่นฟ้องศาลแรงงานเพื่อเรียกร้องค่าชดเชยที่ควรได้รับ
ตัวอย่างสถานการณ์ B
พนักงาน B ถูกกดดันให้ลาออก แต่ไม่สมัครใจ กรณีนี้ถือว่าเป็นการเลิกจ้างโดยปริยาย ซึ่งนายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย
ถ้านายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชย ต้องทำอย่างไร?
หากนายจ้างเลิกจ้างคุณแต่ไม่จ่ายค่าชดเชย หรือจ่ายไม่ครบ คุณมีสิทธิ์ร้องเรียนและเรียกร้องสิ่งที่คุณควรได้รับ โดยสามารถดำเนินการตาม 3 ขั้นตอน ดังนี้
- แจ้งเรื่องต่อกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
- กรมแรงงานจะช่วยตรวจสอบว่านายจ้างปฏิบัติตามกฎหมายหรือไม่
- หากนายจ้างผิดจริง เจ้าหน้าที่จะสั่งให้จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย
- หากไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จ ให้ยื่นฟ้องศาลแรงงาน
- คดีแรงงานเป็นคดีที่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม และกระบวนการมักใช้เวลาไม่นาน
- หากนายจ้างไม่มีเงินจ่าย ให้ยื่นเรื่องขอเงินช่วยเหลือจากประกันสังคม
- ในกรณีที่นายจ้างปิดกิจการหรือล้มละลาย ลูกจ้างสามารถขอรับเงินช่วยเหลือจากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างได้
ตัวอย่างสถานการณ์ C
พนักงาน C ถูกเลิกจ้างโดยไม่ได้ค่าชดเชย C ยื่นเรื่องต่อกรมแรงงาน และในที่สุดนายจ้างถูกบังคับให้จ่ายเงินชดเชยตามที่กฎหมายกำหนด
ลูกจ้างควรรู้สิทธิ์อะไรบ้างเมื่อถูกเลิกจ้าง?
เพื่อป้องกันการถูกเอาเปรียบ ลูกจ้างควรรู้สิทธิ์ของตัวเองให้ครบถ้วน สิทธิ์ที่สำคัญเมื่อถูกเลิกจ้าง ได้แก่
- สิทธิ์ในการได้รับค่าชดเชยตามมาตรา 118 หากทำงานมาเกิน 120 วัน
- สิทธิ์ในการได้รับค่าจ้างแทนการแจ้งล่วงหน้า ตามมาตรา 121 หากนายจ้างต้องการให้พ้นสภาพทันที
- สิทธิ์ในการได้รับเงินช่วยเหลือจากประกันสังคม หากถูกเลิกจ้างโดยไม่ใช่ความผิดของตัวเอง
- สิทธิ์ในการฟ้องร้อง หากถูกเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ตามมาตรา 49
หากคุณถูกเลิกจ้าง นี่คือสิ่งที่ต้องทำทันที
- อย่าเซ็นใบลาออกเด็ดขาด หากคุณไม่ได้สมัครใจ
- ถ้าคุณเซ็นใบลาออก คุณอาจเสียสิทธิ์ในการได้รับค่าชดเชย
- ตรวจสอบว่าคุณได้รับเงินครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่
- ถ้าไม่ได้รับ ให้ดำเนินการร้องเรียนกรมแรงงาน
- เก็บหลักฐานทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง
- หนังสือแจ้งเลิกจ้าง
- ข้อความแชต อีเมล หรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
- ขอรับเงินช่วยเหลือจากประกันสังคม
- หากคุณมีคุณสมบัติตามเงื่อนไข คุณสามารถขอรับเงินช่วยเหลือกรณีว่างงานได้
- หากมีข้อสงสัย ให้ปรึกษาทนายแรงงาน
- ทนายสามารถช่วยแนะนำวิธีการเรียกร้องสิทธิ์ได้ถูกต้องและรวดเร็ว
บทสรุป: การรู้กฎหมายช่วยให้คุณไม่เสียเปรียบ
การถูกเลิกจ้างเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ แต่หากคุณรู้กฎหมายและสิทธิ์ของตัวเอง คุณจะสามารถปกป้องตัวเองได้ อย่าปล่อยให้นายจ้างใช้ช่องโหว่ของกฎหมายเพื่อเอาเปรียบคุณ
สิ่งสำคัญที่ต้องจำ
- หากถูกเลิกจ้าง อย่าเพิ่งตกใจ ตั้งสติ และตรวจสอบว่าคุณได้รับสิทธิ์ที่ควรได้รับหรือไม่
- อย่าเซ็นใบลาออก หากคุณไม่ได้ลาออกโดยสมัครใจ
- หากไม่ได้รับค่าชดเชย ให้ร้องเรียนต่อกรมแรงงาน หรือฟ้องศาลแรงงาน
- หากมีข้อสงสัย ให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายแรงงาน
มาตราที่เกี่ยวข้องกับการเลิกจ้างและสิทธิของลูกจ้าง
- มาตรา 118 กำหนดค่าชดเชยที่ลูกจ้างต้องได้รับเมื่อถูกเลิกจ้าง
- มาตรา 121 กำหนดค่าจ้างแทนการแจ้งล่วงหน้า หากนายจ้างเลิกจ้างทันที
- มาตรา 49 ระบุสิทธิ์ในการเรียกร้องค่าชดเชยพิเศษ หากถูกเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม
ต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับการเลิกจ้าง?
หากคุณถูกเลิกจ้าง และไม่แน่ใจว่าตัวเองได้รับสิทธิ์ครบถ้วนหรือไม่ สามารถปรึกษาทนายแรงงานได้ที่ Legardy แพลตฟอร์มที่รวบรวมทนายจากทั่วประเทศ เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง และช่วยให้คุณได้รับสิทธิ์ตามกฎหมาย
ปรึกษาทนายตัวจริง
สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว
สมัครเป็นทนายออนไลน์
แพล็ทฟอร์มรวบรวม
งานกฎหมายจากทั่วประเทศ



