
"ผ่อนรถไม่ไหวแล้ว ต้องทำยังไงดี?" คำถามนี้โผล่ขึ้นมาในกระทู้ของเราอยู่บ่อยครั้ง และดูเหมือนเป็นปัญหาที่ทำให้หลายคนเครียดหนัก บางคนคิดว่าแค่ค้างค่างวดไม่กี่เดือน เดี๋ยวค่อยไปจ่ายก็ยังทัน แต่ความจริงแล้ว มันอาจกลายเป็นหนี้เสียที่ตามมาด้วยปัญหาหนักกว่าเดิม
เรื่องนี้แบ่งเป็นสองสถานการณ์ที่มักเกิดขึ้นจริง
A: คุณเริ่มผ่อนรถมาได้ไม่นาน แต่การเงินเริ่มติดขัด
คุณอาจกำลังเผชิญภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ตกงาน หรือมีรายจ่ายที่หนักขึ้นจนไม่สามารถผ่อนรถตามกำหนดได้ นี่เป็นสัญญาณแรกที่ต้องรีบแก้ไขก่อนปัญหาบานปลาย
B: ผ่อนรถมาได้สักพัก แต่เจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด
บางคนเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องใช้เงินด่วน เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าดูแลครอบครัว หรือลงทุนผิดพลาด การจ่ายค่างวดรถเลยกลายเป็นภาระที่หนักหน่วง
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน ทางออกที่ดีที่สุดคือต้อง "จัดการปัญหาทันที" ไม่ใช่ปล่อยให้ไฟแนนซ์มาทวงหนี้ถึงบ้าน เพราะถ้าค้างค่างวดเกิน 3 เดือน ทางไฟแนนซ์มีสิทธิ์ยึดรถและขายทอดตลาดเพื่อชดเชยหนี้ของคุณ
แล้วต้องทำอย่างไร?
สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ติดต่อบริษัทไฟแนนซ์โดยเร็วที่สุด บางคนคิดว่าถ้าไม่จ่ายแล้วหลบ ๆ ซ่อน ๆ เรื่องจะเงียบไปเอง แต่นั่นเป็นความเข้าใจผิด เพราะหนี้เช่าซื้อเป็นหนี้ที่มีกฎหมายควบคุมชัดเจน
ไฟแนนซ์บางเจ้ามี "มาตรการช่วยเหลือ" เช่น
- ขยายระยะเวลาผ่อน ทำให้ค่างวดลดลง
- เปลี่ยนเงื่อนไขการจ่ายเงิน ให้ยืดหยุ่นมากขึ้น
- พักชำระหนี้ชั่วคราวในบางกรณี
แต่ถ้าคุณไม่ติดต่อไฟแนนซ์ แล้วปล่อยให้ค้างนานจะเกิดอะไรขึ้น?
ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 573 กำหนดว่า
"ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระ เจ้าหนี้มีสิทธิ์บอกเลิกสัญญา และเรียกคืนทรัพย์สินได้"
หากคุณไม่จ่ายตามที่กำหนดและไม่มีการเจรจา ทางไฟแนนซ์สามารถยึดรถได้ทันที และถ้าราคาขายทอดตลาดรถต่ำกว่าหนี้ที่เหลืออยู่ คุณยังต้องรับผิดชอบหนี้ที่เหลือด้วย
การเปลี่ยนสัญญาเช่าซื้อรถยนต์คืออะไร? เป็นทางออกที่ดีที่สุดหรือไม่?
การเปลี่ยนสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ หรือที่หลายคนเรียกว่า "โอนสิทธิ์เช่าซื้อ" เป็นวิธีที่หลายคนใช้เพื่อหลุดพ้นจากภาระค่างวดที่จ่ายไม่ไหว หลักการคือให้บุคคลอื่นมารับช่วงสัญญาผ่อนต่อจากคุณ โดยผู้รับช่วงจะต้องได้รับอนุมัติจากไฟแนนซ์ก่อน แต่คำถามคือ มันเป็นทางออกที่ดีที่สุดหรือไม่?
เรื่องนี้ต้องแยกเป็นสองมุมมอง
มุมของคนที่อยากเปลี่ยนสัญญา (เจ้าของเดิม)
ถ้าผ่อนต่อไม่ไหวแล้ว การเปลี่ยนสัญญาก็เป็นวิธีที่ช่วยให้คุณไม่ต้องเสียเครดิตบูโร และไม่ต้องถูกไฟแนนซ์ฟ้องร้องเพื่อเรียกคืนรถ แต่การเปลี่ยนสัญญาไม่ใช่แค่หาคนมาผ่อนต่อแล้วจบ เพราะไฟแนนซ์จะต้องตรวจสอบคุณสมบัติของผู้รับช่วงต่อก่อนว่าจะสามารถผ่อนต่อได้จริงหรือไม่
มุมของไฟแนนซ์ (เจ้าหนี้)
ไฟแนนซ์ไม่ได้อนุมัติการเปลี่ยนสัญญาให้ทุกคนง่าย ๆ เพราะพวกเขาต้องมั่นใจว่าผู้รับช่วงต่อสามารถจ่ายค่างวดได้จนหมดสัญญา คนที่จะรับช่วงสัญญาจะต้องมีเครดิตดี รายได้มั่นคง และไม่ติดประวัติหนี้เสีย
แล้วการเปลี่ยนสัญญาผ่อนรถ เหมาะกับใคร?
การเปลี่ยนสัญญาจะเป็นทางออกที่ดี ถ้าคุณมีคนที่พร้อมรับช่วงต่อ และไฟแนนซ์อนุมัติ แต่ถ้าไม่มีคนพร้อมจะรับภาระต่อ หรือไฟแนนซ์ไม่อนุมัติ ก็ต้องหาทางเลือกอื่น เช่น รีไฟแนนซ์ หรือขายดาวน์
ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 350 ระบุว่า
"หนี้อาจเปลี่ยนลูกหนี้ได้โดยความยินยอมของเจ้าหนี้ โดยมีข้อตกลงระหว่างลูกหนี้เดิมกับลูกหนี้ใหม่ หรือเจ้าหนี้ตกลงโดยตรงกับลูกหนี้ใหม่"
หมายความว่า ถ้าไฟแนนซ์ไม่ยินยอมให้เปลี่ยนสัญญา การโอนสิทธิ์ให้คนอื่นก็ไม่สามารถทำได้ตามกฎหมาย ต่อให้มีคนพร้อมจะรับช่วงต่อก็ตาม
สรุปแล้ว การเปลี่ยนสัญญาผ่อนรถเป็นทางออกที่ดีสำหรับบางคน แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ ถ้าไฟแนนซ์ไม่อนุมัติ ต้องพิจารณาทางเลือกอื่น เช่น รีไฟแนนซ์ หรือขายดาวน์แทน
ใครบ้างที่สามารถเปลี่ยนสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ได้?
เปลี่ยนสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ ไม่ใช่แค่เรื่องของคนที่ผ่อนรถไม่ไหวแล้วหาคนมาผ่อนต่อ แล้วทุกอย่างจบง่าย ๆ เรื่องนี้ต้องผ่านกระบวนการของไฟแนนซ์ที่มีข้อกำหนดเข้มงวดมากกว่าที่หลายคนคิด คนที่สามารถเปลี่ยนสัญญาเช่าซื้อได้ต้องเข้าเงื่อนไขที่ชัดเจน ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะมารับช่วงต่อและคิดว่าแค่จ่ายเงินให้กันก็พอ
ไฟแนนซ์มีสิทธิ์เต็มที่ที่จะ "ไม่อนุมัติ" การเปลี่ยนสัญญา ถ้าผู้ขอรับช่วงต่อไม่มีคุณสมบัติที่เพียงพอ หรือมีปัจจัยอื่นที่ทำให้ไฟแนนซ์มองว่าการเปลี่ยนสัญญาจะกลายเป็นความเสี่ยงในการชำระหนี้ สิ่งที่ไฟแนนซ์ต้องการคือ “คนที่ผ่อนต่อแล้วไม่สร้างหนี้เสีย” ดังนั้นเงื่อนไขที่แท้จริงของการเปลี่ยนสัญญามีดังนี้
เจ้าของเดิม (คนที่ต้องการเปลี่ยนสัญญา) ต้องเป็นบุคคลที่มีสถานะเป็นผู้เช่าซื้อในสัญญากับไฟแนนซ์เท่านั้น ไม่สามารถนำรถไปทำสัญญาเปลี่ยนมือกับบุคคลที่สามโดยตรงได้ หากไฟแนนซ์ไม่ได้อนุมัติให้เปลี่ยนสัญญา ต่อให้มีคนพร้อมจะจ่ายแทนก็ไม่สามารถทำได้
ผู้ขอรับช่วงต่อ (คนที่อยากรับสัญญาไปผ่อนต่อ) ต้องมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ของไฟแนนซ์ ซึ่งหมายถึงการมีเครดิตทางการเงินที่ดี ไม่มีหนี้เสีย รายได้มั่นคง และต้องยื่นเอกสารแสดงฐานะทางการเงินให้ไฟแนนซ์ตรวจสอบ โดยทั่วไปไฟแนนซ์จะใช้หลักเกณฑ์พิจารณาเดียวกับการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ใหม่ ซึ่งหมายความว่าถ้าคุณไม่มีรายได้เพียงพอ ไม่มีสลิปเงินเดือน หรือมีประวัติหนี้เสีย โอกาสที่จะผ่านการอนุมัติแทบไม่มีเลย
ไฟแนนซ์ (เจ้าหนี้ที่ปล่อยสินเชื่อรถยนต์) เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการพิจารณาว่าจะให้มีการเปลี่ยนสัญญาหรือไม่ โดยพวกเขาจะพิจารณาจากปัจจัยหลัก 3 อย่าง ได้แก่ สถานะการเงินของผู้รับช่วงต่อ ประวัติการผ่อนชำระของเจ้าของเดิม และราคาตลาดของรถยนต์ที่เหลืออยู่ ถ้ารถที่ต้องเปลี่ยนสัญญามีค่างวดสูงกว่าราคาตลาดมาก ๆ ไฟแนนซ์อาจไม่อยากให้มีการเปลี่ยนสัญญาเพราะเสี่ยงต่อการเกิดหนี้เสีย
หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าแค่หาคนมาผ่อนต่อแล้วแจ้งไฟแนนซ์ก็พอ แต่ในความจริงแล้ว ไฟแนนซ์มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธการเปลี่ยนสัญญา แม้ว่าผู้รับช่วงต่อจะเป็นญาติสนิทหรือเพื่อนก็ตาม กฎของไฟแนนซ์คือพวกเขาต้องมั่นใจว่าคนที่รับสัญญาต่อจะสามารถจ่ายค่างวดได้จนหมด มิฉะนั้นจะไม่มีการเปลี่ยนสัญญาให้
ในกรณีที่ไฟแนนซ์ไม่อนุมัติการเปลี่ยนสัญญา เจ้าของเดิมที่ผ่อนรถไม่ไหวต้องหาทางเลือกอื่น เช่น การขายดาวน์ ซึ่งเป็นการโอนสิทธิ์โดยที่ผู้รับช่วงต้องจ่ายเงินส่วนต่างของหนี้ที่เหลืออยู่ หรือการรีไฟแนนซ์เพื่อลดภาระค่างวด ถ้าหากไม่มีทางเลือกและไม่มีผู้รับช่วงต่อ รถอาจถูกยึดคืนและขายทอดตลาด
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 350 ระบุว่า
"หนี้อาจเปลี่ยนลูกหนี้ได้โดยความยินยอมของเจ้าหนี้ โดยมีข้อตกลงระหว่างลูกหนี้เดิมกับลูกหนี้ใหม่ หรือเจ้าหนี้ตกลงโดยตรงกับลูกหนี้ใหม่"
แปลว่า ต่อให้คุณมีคนพร้อมจะรับช่วงต่อ แต่ถ้าไฟแนนซ์ไม่เห็นด้วย ก็ไม่สามารถเปลี่ยนสัญญาได้เลย และถ้าคุณพยายามโอนสิทธิ์เองโดยไม่ผ่านไฟแนนซ์ อาจถูกฟ้องร้องได้
สรุปแล้ว ใครบ้างที่สามารถเปลี่ยนสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ได้? คำตอบคือ คนที่ได้รับอนุมัติจากไฟแนนซ์เท่านั้น ไม่ใช่แค่ตกลงกันเองแล้วทำได้ ใครที่คิดจะหาทางเปลี่ยนสัญญาเพื่อให้คนอื่นผ่อนต่อ ต้องเช็กให้ชัวร์ว่าไฟแนนซ์ยอมรับการเปลี่ยนมือจริง ๆ ไม่อย่างนั้นอาจกลายเป็นปัญหาตามมาแบบที่แก้ไขไม่ได้
เปลี่ยนสัญญาผ่อนรถมีเงื่อนไขอะไรบ้าง?
การเปลี่ยนสัญญาผ่อนรถไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ หรือใครอยากเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้เลย เพราะไฟแนนซ์มีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่เข้มงวดมาก สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือ ต่อให้คุณมีคนพร้อมรับช่วงต่อแล้ว แต่ถ้าไม่เข้าเงื่อนไขที่ไฟแนนซ์กำหนด ทุกอย่างก็จบที่ "ไม่อนุมัติ"
เงื่อนไขของการเปลี่ยนสัญญาแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ สถานะของเจ้าของเดิม ผู้รับช่วงต่อ และตัวรถยนต์เอง ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ผ่านเกณฑ์ ทุกอย่างก็หยุดอยู่แค่การพูดคุย ไม่มีทางที่สัญญาจะถูกเปลี่ยนแปลงได้ตามกฎหมาย
เงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับเจ้าของเดิม (ผู้เช่าซื้อปัจจุบัน)
เจ้าของเดิมที่ต้องการเปลี่ยนสัญญาต้องเป็นคนที่ยังอยู่ในสัญญาเช่าซื้อกับไฟแนนซ์ และต้องไม่มีค่างวดค้างชำระ ถ้าค้างค่างวดแม้แต่เดือนเดียว โอกาสเปลี่ยนสัญญาแทบไม่มีเลย เพราะไฟแนนซ์มองว่าเจ้าของเดิมอาจต้องการโอนภาระหนี้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางการเงิน
นอกจากนี้ ไฟแนนซ์บางแห่งอาจกำหนดว่า ต้องผ่อนรถไปแล้ว ไม่น้อยกว่า 12 เดือน ก่อนถึงจะยื่นขอเปลี่ยนสัญญาได้ ไฟแนนซ์ให้เหตุผลว่าการเปลี่ยนสัญญาตั้งแต่ต้นอาจเป็นสัญญาณของปัญหาทางการเงินของเจ้าของเดิม หรือมีการซื้อขายสิทธิ์เช่าซื้อแบบผิดกฎหมาย
เงื่อนไขของผู้รับช่วงต่อ (คนที่ต้องการรับสัญญาผ่อนรถ)
คนที่จะรับช่วงต่อสัญญาไม่ได้แค่ต้องมีเงินจ่ายค่างวดอย่างเดียว แต่ต้องมีสถานะทางการเงินที่มั่นคง ไฟแนนซ์จะตรวจสอบเครดิตบูโร รายได้ และประวัติทางการเงินก่อนอนุมัติ โดยปกติแล้ว ผู้รับช่วงต่อจะต้องมี รายได้ 2-3 เท่าของค่างวดรถ เพื่อให้ไฟแนนซ์มั่นใจว่าผ่อนไหว
บางกรณีถึงแม้ว่าผู้รับช่วงต่อจะไม่มีหนี้เสียในเครดิตบูโร แต่ถ้ามีภาระหนี้สินสูงเกินไป เช่น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถคันอื่น หรือมีหนี้บัตรเครดิตจำนวนมาก ไฟแนนซ์ก็อาจปฏิเสธการเปลี่ยนสัญญาได้ เพราะถือว่าเสี่ยงต่อการเป็นหนี้เสีย
เงื่อนไขของตัวรถยนต์ที่อยู่ในสัญญา
ตัวรถที่อยู่ในสัญญาต้องไม่มีภาระทางกฎหมาย เช่น ไม่ได้ถูกแจ้งอายัด หรือ อยู่ระหว่างการฟ้องร้อง หากรถมีปัญหาทางกฎหมาย ไฟแนนซ์จะไม่อนุมัติการเปลี่ยนสัญญาโดยเด็ดขาด นอกจากนี้ อายุของรถก็เป็นปัจจัยสำคัญ ถ้ารถเก่าเกินไป ไฟแนนซ์บางแห่งอาจปฏิเสธไม่ให้มีการเปลี่ยนมือ
อีกจุดหนึ่งที่สำคัญมากและหลายคนมองข้ามคือ มูลค่ารถกับภาระหนี้ที่เหลืออยู่ ถ้าหนี้คงค้างสูงกว่าราคาตลาดของรถมาก ๆ ไฟแนนซ์อาจมองว่าเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ในอนาคต และปฏิเสธการเปลี่ยนสัญญาได้
ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนสัญญา
แม้ว่าการเปลี่ยนสัญญาจะช่วยให้เจ้าของเดิมไม่ต้องรับภาระค่างวดอีกต่อไป แต่ต้องรู้ไว้ว่า ไม่ได้ทำฟรี โดยทั่วไปแล้ว จะมี ค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนสัญญา ซึ่งอาจอยู่ที่หลักพันถึงหลักหมื่นบาท ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของไฟแนนซ์แต่ละแห่ง นอกจากนี้ อาจมีค่าดำเนินการอื่น ๆ เช่น ค่าโอนกรรมสิทธิ์ หรือค่าตรวจสอบเครดิตของผู้รับช่วงต่อ
ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 ระบุว่า
"หนี้อาจเปลี่ยนตัวลูกหนี้ได้ แต่ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าหนี้ (ไฟแนนซ์) เท่านั้น"
หมายความว่า ถ้าไฟแนนซ์ไม่อนุมัติ แม้ว่าทั้งเจ้าของเดิมและผู้รับช่วงต่อจะตกลงกันแล้ว ก็ไม่สามารถเปลี่ยนสัญญาได้เลย และถ้าใครพยายามหลบเลี่ยงกฎนี้โดยใช้วิธีให้คนอื่นผ่อนต่อโดยไม่แจ้งไฟแนนซ์ ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมา เช่น คนรับผ่อนต่อไม่จ่าย เจ้าของเดิมก็ยังต้องรับผิดชอบหนี้ทั้งหมดตามกฎหมาย
แล้วถ้าไฟแนนซ์ไม่อนุมัติควรทำอย่างไร?
ถ้าทางไฟแนนซ์ไม่อนุมัติให้เปลี่ยนสัญญา คนที่ผ่อนรถไม่ไหวต้องพิจารณาทางเลือกอื่น เช่น การขายดาวน์ หรือการรีไฟแนนซ์เพื่อให้ค่างวดลดลง ถ้าไม่มีทางเลือกและปล่อยให้ค้างชำระต่อไป ไฟแนนซ์มีสิทธิ์ยึดรถและฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ซึ่งจะส่งผลต่อเครดิตบูโรและอาจทำให้เกิดภาระหนี้ที่หนักกว่าเดิม
สรุปแล้ว การเปลี่ยนสัญญาผ่อนรถมีเงื่อนไขที่เข้มงวดกว่าที่หลายคนคิด ไม่ใช่แค่ตกลงกันเองได้ ต้องผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดจากไฟแนนซ์ ถ้าผู้รับช่วงต่อไม่ผ่าน หรือรถมีปัญหาทางกฎหมาย ทุกอย่างก็จบที่ "ไม่อนุมัติ" ทางออกที่ดีที่สุดคือศึกษาเงื่อนไขให้ดี และติดต่อไฟแนนซ์เพื่อสอบถามรายละเอียดก่อนตัดสินใจ
ถ้าไฟแนนซ์ไม่อนุมัติการเปลี่ยนสัญญา ควรทำอย่างไร?
ไฟแนนซ์ปฏิเสธการเปลี่ยนสัญญา แล้วทำยังไงต่อ? หลายคนคิดว่าถ้าหาคนมาผ่อนต่อได้แล้ว เรื่องควรจบง่าย ๆ แต่ในความจริง ไฟแนนซ์มีอำนาจเต็มที่ในการ “ไม่อนุมัติ” ต่อให้คุณกับผู้รับช่วงต่อจะตกลงกันแล้วก็ตาม
บางคนเลือก “แอบให้คนอื่นผ่อนต่อโดยไม่บอกไฟแนนซ์” คิดว่าไม่มีปัญหา แต่ถ้าเกิดวันหนึ่ง คนที่รับผ่อนต่อไม่จ่าย เจ้าของเดิมจะเป็นคนที่ถูกฟ้องร้องทันที ไม่ใช่คนที่รับช่วงต่อ ดังนั้นทางออกที่ปลอดภัยกว่าคือ พิจารณาทางเลือกอื่นที่ถูกต้องตามกฎหมาย
1. รีไฟแนนซ์เพื่อลดค่างวด
ถ้าไฟแนนซ์ไม่ให้เปลี่ยนสัญญา แต่อยากลดค่างวด รีไฟแนนซ์อาจเป็นคำตอบ รีไฟแนนซ์คือการขอสินเชื่อใหม่เพื่อนำมาปิดหนี้เก่า ซึ่งทำให้คุณสามารถขยายระยะเวลาผ่อน และลดค่างวดลงได้
การรีไฟแนนซ์เหมาะกับคนที่ยังสามารถผ่อนต่อได้อยู่ แต่อยากลดภาระค่างวดรายเดือนลง หรืออยากเปลี่ยนไปใช้ไฟแนนซ์เจ้าที่ให้เงื่อนไขดีกว่า แต่ต้องเข้าใจว่าการรีไฟแนนซ์จะทำให้จำนวนเงินที่ต้องจ่ายทั้งหมดเพิ่มขึ้น เพราะระยะเวลาผ่อนยาวขึ้น
เงื่อนไขสำคัญของการรีไฟแนนซ์คือ
- รถต้องมีมูลค่ามากกว่าหนี้ที่เหลืออยู่ ถ้ารถราคาเหลือต่ำมาก ๆ โอกาสที่ไฟแนนซ์จะรับรีไฟแนนซ์ก็น้อยลง
- ผู้ขอรีไฟแนนซ์ต้องมีเครดิตดี ไม่มีประวัติค้างชำระหนัก ๆ เพราะไฟแนนซ์จะตรวจสอบประวัติเครดิตใหม่
2. ขายดาวน์ให้คนอื่นแทนการเปลี่ยนสัญญา
การขายดาวน์ คือการให้คนอื่นรับช่วงรถไป โดยผู้รับช่วงต้องจ่ายเงินส่วนต่างระหว่างราคาตลาดของรถกับหนี้ที่เหลืออยู่ให้กับเจ้าของเดิม วิธีนี้ช่วยให้คุณได้เงินก้อนเพื่อนำไปปิดหนี้บางส่วน หรือใช้เป็นทุนสำหรับชีวิตต่อไป
แต่ข้อเสียของการขายดาวน์คือ คนที่รับช่วงต่อยังต้องเป็นผู้เช่าซื้อในสัญญาเดิมของไฟแนนซ์อยู่ นั่นหมายความว่า ถ้าผู้รับช่วงต่อไม่จ่ายค่างวด คนที่ถูกทวงหนี้และถูกฟ้องคือเจ้าของเดิม ไม่ใช่คนที่รับรถไปแล้ว
ไฟแนนซ์บางแห่งไม่สนับสนุนการขายดาวน์ เพราะถือว่าเป็นการเปลี่ยนมือแบบไม่เป็นทางการ ถ้าอยากให้ขายดาวน์ปลอดภัย ต้องดำเนินการผ่านไฟแนนซ์โดยตรง และตรวจสอบเอกสารให้ชัดเจนก่อน
3. คืนรถให้ไฟแนนซ์ – ได้ไม่คุ้มเสีย?
การคืนรถให้ไฟแนนซ์เป็นทางเลือกที่หลายคนคิดว่า "ตัดปัญหา" แต่จริง ๆ แล้วอาจสร้างปัญหาที่ใหญ่กว่าเดิม เพราะการคืนรถไม่ได้หมายความว่าหนี้จะหมดไป
ถ้าไฟแนนซ์รับรถคืน พวกเขาจะนำรถไปขายทอดตลาด แต่ถ้าราคาขายได้น้อยกว่ายอดหนี้ที่เหลืออยู่ คุณยังต้องจ่ายหนี้ส่วนต่างอยู่ดี เช่น ถ้าหนี้คงค้าง 400,000 บาท แต่ขายทอดตลาดได้ 300,000 บาท คุณยังต้องจ่ายอีก 100,000 บาท ซึ่งถ้าไม่มีเงินจ่าย อาจถูกฟ้องร้องและมีผลต่อเครดิตบูโร
บางกรณีไฟแนนซ์อาจปฏิเสธการคืนรถ เพราะพวกเขาไม่ต้องการขาดทุนจากการขายทอดตลาด ดังนั้นก่อนตัดสินใจคืนรถ ต้องคุยรายละเอียดกับไฟแนนซ์ให้แน่ใจว่าเงื่อนไขเป็นอย่างไร
4. ถ้าปล่อยให้ค้างค่างวดนาน ๆ จะเกิดอะไรขึ้น?
หากไม่มีทางเลือกอื่นและปล่อยให้ค้างค่างวด รถของคุณอาจถูกยึดได้ ซึ่งไฟแนนซ์มีสิทธิ์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 573 ที่ระบุว่า
"ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระ เจ้าหนี้มีสิทธิ์บอกเลิกสัญญา และเรียกคืนทรัพย์สินได้"
แปลว่าถ้าค้างค่างวดนานเกินเงื่อนไขที่ไฟแนนซ์กำหนด (ส่วนมากคือ 3 เดือน) พวกเขาสามารถส่งคนมายึดรถได้ทันที และถ้าราคาขายทอดตลาดรถไม่พอชำระหนี้ คุณยังต้องจ่ายเงินส่วนที่เหลืออยู่ดี
สรุปแล้ว ถ้าไฟแนนซ์ไม่อนุมัติเปลี่ยนสัญญา อย่าปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสถานะ “รอให้รถถูกยึด” เพราะจะเสียหายมากกว่าที่คิด ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ รีไฟแนนซ์ ขายดาวน์ หรือคุยกับไฟแนนซ์เพื่อหาทางออกที่เสียหายน้อยที่สุด
เปลี่ยนสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง?
เมื่อไฟแนนซ์อนุมัติให้เปลี่ยนสัญญา ขั้นตอนถัดไปคือการเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนเพื่อดำเนินการอย่างถูกต้อง หลายคนคิดว่าเป็นแค่การเปลี่ยนชื่อผู้เช่าซื้อ แต่ในความจริงแล้ว มันคือกระบวนการทางกฎหมายที่ต้องมีหลักฐานและเอกสารครบถ้วนเพื่อให้ไฟแนนซ์มั่นใจว่าผู้รับช่วงต่อมีความสามารถในการผ่อนต่อจนหมดสัญญา
เอกสารของเจ้าของเดิม (ผู้เช่าซื้อปัจจุบัน)
เจ้าของเดิมต้องมีเอกสารยืนยันตัวตนและสัญญาที่เกี่ยวข้องกับไฟแนนซ์ ได้แก่
- สำเนาบัตรประชาชน และทะเบียนบ้าน เพื่อยืนยันตัวบุคคล
- สัญญาเช่าซื้อเดิมที่ทำกับไฟแนนซ์ ใช้เป็นหลักฐานว่ารถคันนี้อยู่ในสัญญาที่ถูกต้อง
- หนังสือยินยอมให้เปลี่ยนสัญญา ซึ่งต้องมีการลงลายมือชื่อและรับรองความถูกต้องจากทุกฝ่าย
หากเจ้าของเดิมมีประวัติการค้างชำระมาก่อน ไฟแนนซ์อาจขอให้เคลียร์หนี้ค้างทั้งหมดก่อนการเปลี่ยนสัญญา มิฉะนั้นอาจไม่ได้รับการอนุมัติ
เอกสารของผู้รับช่วงต่อ (ผู้เช่าซื้อใหม่)
ไฟแนนซ์ต้องแน่ใจว่าผู้รับช่วงต่อสามารถรับภาระหนี้ได้จริง ดังนั้นเอกสารของผู้รับช่วงต่อจึงต้องละเอียดและครอบคลุม ได้แก่
- สำเนาบัตรประชาชน และทะเบียนบ้าน เพื่อยืนยันตัวบุคคล
- หนังสือรับรองเงินเดือน หรือ สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3-6 เดือน ใช้เป็นหลักฐานยืนยันรายได้
- รายการเดินบัญชีธนาคาร (Statement) ย้อนหลัง 6 เดือน เพื่อให้ไฟแนนซ์ตรวจสอบพฤติกรรมทางการเงิน
- หนังสือรับรองการทำงาน (ถ้ามี) เพื่อยืนยันว่าเป็นพนักงานประจำและมีรายได้มั่นคง
- สำเนาทะเบียนสมรส (ถ้ามี) เพราะไฟแนนซ์บางแห่งอาจขอให้คู่สมรสเซ็นยินยอมในกรณีที่เป็นหนี้ร่วม
หากผู้รับช่วงต่อเป็นเจ้าของธุรกิจหรืออาชีพอิสระ อาจต้องใช้หนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท หรือใบทะเบียนพาณิชย์ประกอบด้วย
เอกสารเกี่ยวกับตัวรถและไฟแนนซ์
- สมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ (เล่มทะเบียน) ถึงแม้ว่ารถที่อยู่ในไฟแนนซ์จะยังเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทไฟแนนซ์ แต่เอกสารนี้ต้องใช้ในการดำเนินการ
- สำเนากรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ เพราะบางกรณีไฟแนนซ์อาจต้องตรวจสอบว่ารถยังมีประกันอยู่หรือไม่
- หนังสือยินยอมจากไฟแนนซ์ ยืนยันว่าได้รับอนุญาตให้มีการเปลี่ยนสัญญา
ขั้นตอนหลังจากเตรียมเอกสารครบถ้วน
เมื่อมีเอกสารครบแล้ว ทั้งเจ้าของเดิมและผู้รับช่วงต่อจะต้องเดินทางไปที่ไฟแนนซ์พร้อมกันเพื่อเซ็นเอกสาร และดำเนินการเปลี่ยนสัญญา กระบวนการนี้ใช้เวลาไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับไฟแนนซ์แต่ละแห่ง แต่โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 7-14 วัน
นอกจากนี้ ไฟแนนซ์อาจขอให้ผู้รับช่วงต่อทำประกันภัยใหม่ หรือทำประกันคุ้มครองสินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อความมั่นใจว่าหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น เสียชีวิต หรือทุพพลภาพ จะมีประกันช่วยชำระหนี้
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 ระบุว่า
"การเปลี่ยนตัวลูกหนี้โดยไม่มีความยินยอมของเจ้าหนี้ ถือว่าไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย"
แปลว่าถ้าไฟแนนซ์ไม่ได้ออกเอกสารยืนยันให้เปลี่ยนสัญญา ต่อให้คุณเซ็นสัญญากันเองกับผู้รับช่วงต่อ ก็ไม่มีผลทางกฎหมาย และถ้าผู้รับช่วงต่อไม่จ่าย เจ้าของเดิมก็ยังต้องรับผิดชอบหนี้ทั้งหมด
สรุปแล้ว ใครที่ต้องการเปลี่ยนสัญญาผ่อนรถต้องเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน ไฟแนนซ์จะพิจารณาทุกอย่างละเอียด เพราะถ้าผู้รับช่วงต่อไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ ไฟแนนซ์ก็มีสิทธิ์ปฏิเสธ ดังนั้นต้องแน่ใจว่าทุกอย่างพร้อมก่อนยื่นเรื่อง ไม่อย่างนั้นจะเสียเวลาเปล่า และอาจต้องหาทางเลือกอื่นแทน
ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนสัญญาผ่อนรถ มีอะไรบ้าง?
หลายคนคิดว่าการเปลี่ยนสัญญาผ่อนรถเป็นเรื่องง่าย แค่หาคนมาผ่อนต่อแล้วแจ้งไฟแนนซ์ก็จบ แต่สิ่งที่หลายคนมองข้ามคือ “ค่าใช้จ่าย” ที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนสัญญา ซึ่งอาจทำให้การเปลี่ยนสัญญาไม่คุ้มอย่างที่คิด
การเปลี่ยนสัญญาผ่อนรถมีค่าใช้จ่ายหลัก ๆ อยู่ 3 ส่วน ได้แก่ ค่าธรรมเนียมไฟแนนซ์ ค่าประกัน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องถูกชำระก่อนที่ไฟแนนซ์จะอนุมัติให้เปลี่ยนสัญญา
1. ค่าธรรมเนียมเปลี่ยนสัญญา (ค่าดำเนินการของไฟแนนซ์)
ค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนสัญญาเป็นค่าใช้จ่ายที่ไฟแนนซ์เรียกเก็บจากการดำเนินเอกสารและตรวจสอบคุณสมบัติของผู้รับช่วงต่อ โดยค่าธรรมเนียมนี้แต่ละไฟแนนซ์กำหนดไม่เท่ากัน บางที่อาจคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดหนี้ที่เหลือ บางที่อาจเป็นอัตราคงที่
โดยทั่วไปแล้ว ค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนสัญญามักอยู่ที่ 3,000 - 10,000 บาท ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละไฟแนนซ์ ถ้าหนี้เหลือเยอะ หรือรถเป็นรุ่นที่มีราคาสูง ค่าธรรมเนียมอาจสูงขึ้นตามไปด้วย
ไฟแนนซ์บางแห่งอาจมีเงื่อนไขพิเศษ เช่น หากต้องการเปลี่ยนสัญญาก่อนครบกำหนดผ่อนขั้นต่ำ อาจมีค่าปรับเพิ่มเติม ซึ่งควรสอบถามรายละเอียดก่อนตัดสินใจ
2. ค่าประกันที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี)
หากรถที่อยู่ในสัญญาผ่อนมี ประกันภัยรถยนต์ หรือ ประกันคุ้มครองสินเชื่อ อยู่ ไฟแนนซ์อาจกำหนดให้ต้องเปลี่ยนชื่อผู้เอาประกันไปเป็นชื่อของผู้รับช่วงต่อ ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าธรรมเนียมเปลี่ยนชื่อกรมธรรม์ หรือ ค่าปรับกรณีที่ต้องต่ออายุประกันใหม่
บางกรณี ไฟแนนซ์อาจบังคับให้ผู้รับช่วงต่อทำประกันคุ้มครองสินเชื่อใหม่เพื่อให้มั่นใจว่าหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น ผู้รับช่วงต่อเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ จะมีประกันช่วยชำระหนี้ ซึ่งอาจเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่ต้องพิจารณา
3. ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น
นอกจากค่าธรรมเนียมหลักแล้ว อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการเปลี่ยนสัญญา เช่น
- ค่าตรวจสอบเครดิตบูโรของผู้รับช่วงต่อ ไฟแนนซ์บางแห่งอาจเรียกเก็บค่าตรวจสอบเครดิตเพิ่มเติม ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 200 - 500 บาท
- ค่าโอนกรรมสิทธิ์รถ หากไฟแนนซ์กำหนดให้มีการเปลี่ยนชื่อผู้เช่าซื้อในทะเบียนรถ อาจมีค่าธรรมเนียมโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มเติม ซึ่งคิดตามอัตราของกรมการขนส่งทางบก
- ค่าเดินทางและค่าเอกสาร แม้จะดูเป็นค่าใช้จ่ายเล็กน้อย แต่การเปลี่ยนสัญญาต้องใช้เอกสารหลายอย่าง รวมถึงการเดินทางไปยังสาขาของไฟแนนซ์ ซึ่งอาจเป็นภาระทางการเงินที่ต้องคำนึงถึง
4. ค่าใช้จ่ายแอบแฝงที่ต้องระวัง
บางกรณี ไฟแนนซ์อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่ไม่ได้แจ้งล่วงหน้า เช่น ค่าปรับกรณีที่มีค้างชำระอยู่ก่อนหน้า หรือ ค่าธรรมเนียมพิเศษหากเป็นการเปลี่ยนสัญญาระหว่างคนในครอบครัว สิ่งสำคัญคือ ต้องสอบถามให้ละเอียดก่อนตัดสินใจ ไม่เช่นนั้นอาจเจอค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด
5. แล้วถ้าไม่มีเงินจ่ายค่าธรรมเนียมเปลี่ยนสัญญา ควรทำอย่างไร?
ถ้าคุณไม่มีเงินจ่ายค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง อาจต้องพิจารณาทางเลือกอื่น เช่น การรีไฟแนนซ์เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ หรือ การขายดาวน์แทน เพราะถ้าตัดสินใจเปลี่ยนสัญญาแล้ว แต่ไม่มีเงินจ่ายค่าธรรมเนียม การดำเนินการก็จะหยุดชะงัก และอาจทำให้เสียเวลาเปล่า
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 ระบุว่า
"ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแปลงสัญญาต้องตกลงกันโดยคู่สัญญา และต้องดำเนินการตามข้อตกลงของเจ้าหนี้"
หมายความว่า ไฟแนนซ์มีสิทธิ์กำหนดค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนสัญญา และคุณไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธได้ หากต้องการเปลี่ยนสัญญาจริง ๆ ต้องจ่ายตามที่ไฟแนนซ์กำหนดเท่านั้น
สรุปแล้ว ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนสัญญาไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ และอาจมีมากกว่าที่คิด นอกจากค่าธรรมเนียมหลัก ยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่อาจตามมา ดังนั้นก่อนตัดสินใจเปลี่ยนสัญญา ควรคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้รอบคอบ และสอบถามรายละเอียดกับไฟแนนซ์ให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นอาจเจอค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด และทำให้การเปลี่ยนสัญญาไม่คุ้มค่า
ระวัง! มิจฉาชีพหลอกเปลี่ยนสัญญาผ่อนรถ รถหาย หนี้ยังอยู่!
การเปลี่ยนสัญญาผ่อนรถฟังดูเหมือนเป็นทางออกที่ดี แต่มีอีกเรื่องที่ต้องระวังให้ดีคือ “มิจฉาชีพ” ที่อาศัยช่องโหว่ของกระบวนการนี้เพื่อหลอกลวงคนที่กำลังมีปัญหาทางการเงิน
หลายคนติดหนี้ผ่อนรถไม่ไหว อยากหาทางออกเร็ว ๆ และไม่อยากให้เครดิตบูโรเสีย จึงหาทางโอนรถให้คนอื่นผ่อนต่อ แต่สิ่งที่ไม่รู้คือ ถ้าทำแบบผิดวิธี อาจตกเป็นเหยื่อของขบวนการหลอกลวงได้ง่าย ๆ เพราะตามกฎหมายแล้ว ไฟแนนซ์ต้องเป็นผู้อนุมัติการเปลี่ยนสัญญา ไม่ใช่แค่การตกลงกันเองระหว่างเจ้าของเดิมกับผู้รับช่วงต่อ
1. กลโกงยอดฮิตของมิจฉาชีพหลอกเปลี่ยนสัญญาผ่อนรถ
หนึ่งในรูปแบบที่พบบ่อยที่สุดคือ “ขบวนการรับซื้อรถติดไฟแนนซ์” กลุ่มนี้มักประกาศว่า "รับซื้อรถผ่อนอยู่ ให้ราคาสูง ผ่อนไม่ไหวเราช่วยได้!" ซึ่งดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการโอนรถให้คนอื่นจ่ายต่อ แต่ในความเป็นจริงแล้ว รถของคุณอาจถูกขายต่อไปโดยที่ยังเป็นชื่อของคุณในสัญญา และถ้าผู้รับช่วงต่อไม่จ่ายหนี้ คุณคือคนที่ต้องรับผิดชอบทั้งหมด
อีกกลโกงที่พบบ่อยคือ “การรับจำนำรถแบบผิดกฎหมาย” มิจฉาชีพจะอ้างว่ารับจำนำรถที่ยังผ่อนอยู่ โดยให้เงินก้อนล่อใจ และบอกว่าจะช่วยผ่อนต่อให้ แต่สุดท้ายรถอาจถูกขายต่อในตลาดมืด หรือถูกนำไปใช้ในกิจกรรมผิดกฎหมาย และเมื่อไฟแนนซ์ตามหารถไม่เจอ คนที่ถูกฟ้องก็คือเจ้าของเดิม
2. ทำไมการให้คนอื่นผ่อนรถแทนโดยไม่แจ้งไฟแนนซ์ถึงอันตราย?
หลายคนเลือกใช้วิธี "ให้คนอื่นผ่อนต่อ" โดยไม่แจ้งไฟแนนซ์ เพราะคิดว่าเป็นทางออกที่เร็วและง่ายกว่า แต่ต้องรู้ไว้ว่า การกระทำแบบนี้ไม่มีผลทางกฎหมาย และยังสร้างความเสี่ยงมหาศาล
ถ้าผู้รับช่วงต่อไม่จ่ายค่างวด คุณจะเป็นฝ่ายที่ถูกฟ้องร้อง ไม่ใช่คนที่รับรถไปผ่อนต่อ นอกจากนี้ ถ้าผู้รับช่วงต่อเอารถไปก่ออาชญากรรม หรือใช้ในทางที่ผิด เจ้าของเดิมที่ยังมีชื่ออยู่ในสัญญาอาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายไปด้วย
3. วิธีป้องกันตัวจากมิจฉาชีพที่อ้างว่าช่วยเปลี่ยนสัญญาผ่อนรถ
- อย่าหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าสามารถโอนรถติดไฟแนนซ์ได้โดยไม่ต้องผ่านไฟแนนซ์ เพราะไม่มีช่องทางไหนที่สามารถทำได้อย่างถูกกฎหมาย
- อย่าให้คนอื่นเอารถไปใช้ก่อนที่ไฟแนนซ์จะอนุมัติการเปลี่ยนสัญญา เพราะถ้ารถหายหรือถูกขายต่อ คุณอาจไม่มีทางตามคืนได้
- เช็กประวัติของผู้รับช่วงต่อให้ดี ดูว่าเป็นคนที่มีเครดิตดีและสามารถผ่อนต่อได้จริงหรือไม่
- ทำทุกอย่างผ่านไฟแนนซ์อย่างถูกต้องเท่านั้น ไม่ควรตกลงกันเองระหว่างบุคคลโดยไม่มีเอกสารรับรอง
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 ระบุว่า
"การเปลี่ยนแปลงลูกหนี้ในสัญญา ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าหนี้ มิฉะนั้นไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย"
แปลว่า ถ้าคุณโอนรถให้คนอื่นโดยไม่ได้รับอนุมัติจากไฟแนนซ์ ต่อให้มีการเซ็นสัญญากันเอง แต่ถ้าผู้รับช่วงต่อผิดนัดชำระหนี้ คุณยังต้องรับผิดชอบเต็มจำนวนตามเดิม
4. แล้วถ้าเผลอตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพไปแล้ว ควรทำอย่างไร?
หากเผลอทำสัญญาเปลี่ยนมือโดยไม่ได้รับอนุมัติจากไฟแนนซ์ และรถหายไปแล้ว ต้องรีบดำเนินการดังนี้
- แจ้งความกับตำรวจทันที เพราะถ้ารถถูกขายต่อในตลาดมืด อาจมีโอกาสตามคืนได้
- แจ้งไฟแนนซ์ให้ทราบ และพยายามขอคำปรึกษาว่าควรดำเนินการอย่างไรต่อ
- ปรึกษาทนายความเพื่อดูแนวทางแก้ไข หากตกเป็นเหยื่อการฉ้อโกง
สรุปแล้ว การเปลี่ยนสัญญาผ่อนรถไม่ใช่เรื่องที่ควรทำแบบลวก ๆ หรือตกลงกันเอง เพราะหากทำผิดวิธี อาจทำให้รถหาย และที่แย่กว่านั้น หนี้ยังอยู่กับคุณ แถมอาจมีคดีความตามมาอีกด้วย ดังนั้น ถ้าต้องการเปลี่ยนสัญญาจริง ๆ ควรทำให้ถูกต้องตามขั้นตอนของไฟแนนซ์ และตรวจสอบทุกอย่างให้ละเอียดก่อนตัดสินใจ
สรุป: เปลี่ยนสัญญาผ่อนรถดีจริงไหม? คุ้มค่าหรือเปล่า?
หลังจากอ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนน่าจะเริ่มเข้าใจแล้วว่า “เปลี่ยนสัญญาผ่อนรถ” ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ และไม่ใช่วิธีที่เหมาะกับทุกคน แต่ก็เป็นหนึ่งในทางออกที่ช่วยให้เจ้าของรถที่ผ่อนต่อไม่ไหวสามารถลดภาระหนี้ได้ หากทำถูกต้องตามขั้นตอนของไฟแนนซ์
แล้วเปลี่ยนสัญญาดีจริงไหม? คุ้มค่าหรือเปล่า?
1. เปลี่ยนสัญญาดีสำหรับใคร?
การเปลี่ยนสัญญาเหมาะสำหรับคนที่ ยังมีสภาพทางการเงินที่ดีพอสมควร และต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายหรือเครดิตบูโรเสีย หากคุณสามารถหาผู้รับช่วงต่อที่มีความสามารถในการผ่อนชำระต่อได้ และไฟแนนซ์อนุมัติ ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี เพราะคุณจะไม่ต้องรับผิดชอบหนี้อีกต่อไป
แต่ถ้า ไฟแนนซ์ไม่อนุมัติ หรือ หาคนรับช่วงต่อไม่ได้ การเปลี่ยนสัญญาก็จะเป็นทางเลือกที่ใช้ไม่ได้ และอาจต้องพิจารณาทางออกอื่นแทน เช่น การรีไฟแนนซ์หรือการขายดาวน์
2. ข้อดีของการเปลี่ยนสัญญาผ่อนรถ
- ลดภาระหนี้ได้จริง หากมีผู้รับช่วงต่อที่ผ่านเกณฑ์ของไฟแนนซ์ คุณจะไม่ต้องแบกรับค่างวดต่อไป
- ไม่เสียเครดิตบูโร ถ้าเปลี่ยนสัญญาสำเร็จ คุณจะไม่ถูกบันทึกประวัติค้างชำระหนี้ ซึ่งส่งผลดีต่อการขอสินเชื่อในอนาคต
- เป็นวิธีที่ปลอดภัยกว่าการให้คนอื่นผ่อนต่อเองโดยไม่ผ่านไฟแนนซ์ ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการถูกโกงและต้องรับผิดชอบหนี้เอง
3. ข้อเสียและความเสี่ยงของการเปลี่ยนสัญญาผ่อนรถ
- ไฟแนนซ์อาจไม่อนุมัติ เพราะพวกเขาต้องมั่นใจว่าผู้รับช่วงต่อสามารถผ่อนต่อได้จริง ซึ่งทำให้กระบวนการนี้ใช้เวลาและมีเงื่อนไขที่เข้มงวด
- มีค่าใช้จ่ายสูง ทั้งค่าธรรมเนียมเปลี่ยนสัญญา ค่าประกัน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อาจทำให้การเปลี่ยนสัญญาไม่คุ้มค่าหากเหลือยอดหนี้น้อยอยู่แล้ว
- หาคนรับช่วงต่อยาก ไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมรับภาระหนี้ของคนอื่น และยังต้องผ่านการตรวจสอบของไฟแนนซ์อีกด้วย
4. ถ้าเปลี่ยนสัญญาไม่ได้ ควรทำอย่างไร?
หากไฟแนนซ์ไม่อนุมัติ หรือไม่สามารถหาคนรับช่วงต่อได้ ทางเลือกที่ควรพิจารณาคือ
- รีไฟแนนซ์ เพื่อให้ค่างวดลดลงและขยายระยะเวลาผ่อน
- ขายดาวน์ ให้กับคนที่ต้องการรถมือสอง และนำเงินไปปิดหนี้บางส่วน
- คืนรถให้ไฟแนนซ์ (หากเงื่อนไขเอื้ออำนวย) แต่ต้องเข้าใจว่าการคืนรถอาจไม่ได้ช่วยให้หนี้หมดไป หากรถถูกขายทอดตลาดได้ราคาต่ำกว่ายอดหนี้ที่เหลืออยู่
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 ระบุว่า
"การเปลี่ยนตัวลูกหนี้ในสัญญา ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าหนี้ มิฉะนั้นไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย"
หมายความว่า ต่อให้คุณตกลงกับผู้รับช่วงต่อแล้ว แต่ถ้าไม่มีการดำเนินการผ่านไฟแนนซ์อย่างเป็นทางการ คุณยังต้องรับผิดชอบหนี้ตามเดิม
5. คำแนะนำสุดท้ายก่อนตัดสินใจเปลี่ยนสัญญาผ่อนรถ
ถ้าคุณกำลังคิดจะเปลี่ยนสัญญาผ่อนรถ สิ่งที่ควรทำคือศึกษารายละเอียดให้รอบคอบ ตรวจสอบเงื่อนไขของไฟแนนซ์ และอย่าหลงเชื่อขบวนการที่อ้างว่าสามารถเปลี่ยนสัญญาให้ได้โดยไม่ผ่านไฟแนนซ์ เพราะอาจเป็นการหลอกลวง
หากไม่แน่ใจ ควรขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย หรือไฟแนนซ์โดยตรง เพื่อให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนสัญญานั้นปลอดภัย และเป็นทางออกที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของคุณจริง ๆ
สรุปแล้ว เปลี่ยนสัญญาผ่อนรถเป็นทางออกที่ดีถ้าทำถูกวิธี แต่ถ้าไฟแนนซ์ไม่อนุมัติ หรือหาคนรับช่วงต่อไม่ได้ ควรพิจารณาทางเลือกอื่นให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ
ปรึกษาทนายตัวจริง
สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว
สมัครเป็นทนายออนไลน์
แพล็ทฟอร์มรวบรวม
งานกฎหมายจากทั่วประเทศ



