“มาตรา 1648 หรือ “ป.พ.พ. มาตรา 1648” คืออะไร?
“มาตรา 1648” หรือ “ป.พ.พ. มาตรา 1648 “ คือ หนึ่งในมาตราของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “ พินัยกรรมนั้นต้องทำตามแบบซึ่งระบุไว้ในหมวด ๒ แห่งลักษณะนี้ “
3 ตัวอย่างจริงของการใช้” มาตรา 1648” หรือ “ป.พ.พ. มาตรา 1648 ” ในประเทศไทย
1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 792/2527
พินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมือง ข้อ 1 ความว่า "ถ้าข้าพเจ้าถึงแก่ความตายไปแล้ว" บรรดาทรัพย์สินของข้าพเจ้าที่มีอยู่แล้ว ที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า ข้าพเจ้ายอมยกให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ได้ระบุชื่อไว้ในพินัยกรรมนี้ให้เป็นผู้รับทรัพย์สินตามจำนวนซึ่งได้กำหนดไว้ดังต่อไปนี้คือ" ต่อจากนั้นได้ระบุที่ดิน น.ส.3 เนื้อที่ 15 ไร่ 1 งาน 57 ตารางวา ข้อ 2 ความว่า 'ข้าพเจ้าขอมอบพินัยกรรมฉบับนี้แก่คณะกรรมการอำเภอและขอตั้งให้ น. (โจทก์) เป็นผู้จัดการมรดกข้าพเจ้าตามพินัยกรรมนี้ และให้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายทุกประการ" ข้อ 3 ความว่า "ข้อความแห่งพินัยกรรมนี้ กรมการอำเภอได้อ่านให้ข้าพเจ้าฟังโดยตลอดแล้วเป็นการถูกต้องตรงตามความประสงค์ของข้าพเจ้าที่ได้แจ้งให้กรมการอำเภอจดลงไว้ และขณะทำพินัยกรรมนี้ข้าพเจ้ามีสติสมบูรณ์ จึงลงชื่อไว้ต่อหน้ากรมการอำเภอและพยานเป็นสำคัญถัดลงมาเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ทำพินัยกรรมและพยาน 2 คนกับบันทึกของกรมการอำเภอ ดังนี้ พินัยกรรมดังกล่าวเป็นพินัยกรรมตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดก เพราะไม่มีข้อความว่าผู้ทำพินัยกรรมยกที่พิพาทให้โจทก์ แม้ตามคำร้องของผู้ทำพินัยกรรมที่ยื่นต่อนายอำเภอจะมีข้อความว่า ผู้ร้อง (ผู้ทำพินัยกรรม) ประสงค์จะทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองยกทรัพย์ให้โจทก์ก็ตาม คำร้องฉบับนี้มิใช่พินัยกรรม จึงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ที่พิพาทมาโดยพินัยกรรม อย่างไรก็ดีเป็นที่เข้าใจว่า จ. ยกที่พิพาทให้โจทก์เมื่อตนถึงแก่กรรม จึงปรากฏว่าเมื่อจ.ตาย จำเลยก็เลิกทำนาพิพาท ฝ่ายโจทก์คงทำนาพิพาทต่อมาหนึ่งปีแล้วให้บุคคลอื่นเช่า โจทก์จึงเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทนับตั้งแต่ จ.ตายตลอดมาโดยเจตนายึดถือเพื่อตน โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครอง
ฎีกาอื่นที่เกี่ยวข้องแยกตามกฎหมายและมาตรา
ป.พ.พ. ม. 1367, ม. 1374, ม. 1375, ม. 1648, ม. 1658
2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 792/2527
พินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมือง ข้อ 1 ความว่า "ถ้าข้าพเจ้าถึงแก่ความตายไปแล้ว บรรดาทรัพย์สินของข้าพเจ้าที่มีอยู่แล้วที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า ข้าพเจ้ายอมยกให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ได้ระบุชื่อไว้ในพินัยกรรมนี้ให้เป็นผู้รับทรัพย์สินตามจำนวนซึ่งได้กำหนดไว้ดังต่อไปนี้คือ" ต่อจากนั้นได้ระบุที่ดิน น.ส.3 เนื้อที่ 15 ไร่ 1 งาน57 ตารางวา ข้อ 2 ความว่า 'ข้าพเจ้าขอมอบพินัยกรรมฉบับนี้แก่คณะกรรมการอำเภอและขอตั้งให้ น. (โจทก์) เป็นผู้จัดการมรดกข้าพเจ้าตามพินัยกรรมนี้ และให้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายทุกประการ"ข้อ 3 ความว่า "ข้อความแห่งพินัยกรรมนี้ กรมการอำเภอได้อ่านให้ข้าพเจ้าฟังโดยตลอดแล้วเป็นการถูกต้องตรงตามความประสงค์ของข้าพเจ้าที่ได้แจ้งให้กรมการอำเภอจดลงไว้ และขณะทำพินัยกรรมนี้ข้าพเจ้ามีสติสมบูรณ์ จึงลงชื่อไว้ต่อหน้ากรมการอำเภอและพยานเป็นสำคัญ" ถัดลงมาเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ทำพินัยกรรมและพยาน 2 คนกับบันทึกของกรมการอำเภอ ดังนี้ พินัยกรรมดังกล่าวเป็นพินัยกรรมตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดก เพราะไม่มีข้อความว่าผู้ทำพินัยกรรมยกที่พิพาทให้โจทก์ แม้ตามคำร้องของผู้ทำพินัยกรรมที่ยื่นต่อนายอำเภอจะมีข้อความว่า ผู้ร้อง (ผู้ทำพินัยกรรม) ประสงค์จะทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองยกทรัพย์ให้โจทก์ก็ตาม คำร้องฉบับนี้มิใช่พินัยกรรมจึงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ที่พิพาทมาโดยพินัยกรรม
อย่างไรก็ดีเป็นที่เข้าใจว่า จ. ยกที่พิพาทให้โจทก์เมื่อตนถึงแก่กรรมจึงปรากฏว่าเมื่อจ.ตาย จำเลยก็เลิกทำนาพิพาท ฝ่ายโจทก์คงทำนาพิพาทต่อมาหนึ่งปีแล้วให้บุคคลอื่นเช่า โจทก์จึงเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทนับตั้งแต่ จ.ตายตลอดมาโดยเจตนายึดถือเพื่อตน โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครอง
ฎีกาอื่นที่เกี่ยวข้องแยกตามกฎหมายและมาตรา
ป.พ.พ. ม. 1367, ม. 1374, ม. 1375, ม. 1648, ม. 1658
3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 941/2516
เจ้ามรดกทำพินัยกรรมมีข้อกำหนดว่า หากข้าพเจ้าถึงแก่กรรมทรัพย์มรดกทั้งหมดที่มีอยู่ในขณะนี้หรือจะเกิดมีขึ้นในอนาคต ให้ ส. เป็นผู้จัดการมรดกและรวบรวมเอาจัดการศพและทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ข้าพเจ้าตามสมควร ส่วนที่เหลือนอกนั้นให้จัดการแบ่งปันแก่หลานๆ ของข้าพเจ้า นั้นเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเจ้ามรดกไม่มีลูก และเจ้ามรดกมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันอีก 3 คน คือ ป. ผ. และ ท. โดยเจ้ามรดกเป็นคนสุดท้อง ฉะนั้น หลานตามข้อกำหนดในพินัยกรรมจึงหมายถึงลูกของพี่ของเจ้ามรดกดังกล่าวที่มีชีวิตอยู่ทุกคน อันเป็นการกำหนดบุคคลซึ่งอาจทราบตัวแน่นอนได้ เป็นผู้รับพินัยกรรม ข้อกำหนดในพินัยกรรมดังกล่าวจึงไม่เป็นโมฆะ
ฎีกาอื่นที่เกี่ยวข้องแยกตามกฎหมายและมาตรา
ป.พ.พ. ม. 1646, ม. 1647, ม. 1648, ม. 1706 (2)