“มาตรา 1483 หรือ “ป.พ.พ. มาตรา 1483” คืออะไร?
“มาตรา 1483” หรือ “ป.พ.พ. มาตรา 1483 “ คือ หนึ่งในมาตราของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “ ในกรณีที่สามีหรือภริยามีอำนาจจัดการสินสมรสแต่ฝ่ายเดียว ถ้าสามีหรือภริยาจะกระทำ หรือกำลังกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งในการจัดการสินสมรสอันพึงเห็นได้ว่าจะเกิดความเสียหายถึงขนาด อีกฝ่ายหนึ่งอาจร้องขอให้ศาลสั่งห้ามมิให้กระทำการนั้นได้ “
3 ตัวอย่างจริงของการใช้” มาตรา 1483” หรือ “ป.พ.พ. มาตรา 1483 ” ในประเทศไทย
1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 293/2518
เมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นสามีได้บอกล้างสัญญาค้ำประกันซึ่งจำเลยที่ 2 ผู้เป็นภริยาทำไว้กับโจทก์แล้ว ย่อมมีผลทำให้สัญญาค้ำประกันนั้นในส่วนที่ผูกพันสินบริคณห์ตกเป็นโมฆะ แต่ยังสมบูรณ์อยู่เฉพาะในส่วนที่ผูกพันสินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 โจทก์จะต้องบังคับชำระเอาจากสินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 หากสินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 ไม่มี หรือมีไม่พอ และโจทก์ประสงค์จะบังคับชำระหนี้เอาจากส่วนของจำเลยที่ 2 ในสินบริคณห์ โจทก์ต้องร้องต่อศาลให้แยกสินบริคณห์ระหว่างจำเลยที่ 2 กับผู้ร้องเสียก่อน แล้วจึงนำยึดส่วนของจำเลยที่ 2 เพื่อชำระหนี้ โจทก์จะนำยึดสินบริคณห์ก่อนขอแยกสินบริคณห์ออกเป็นส่วนของจำเลยที่ 2ไม่ได้
ฎีกาอื่นที่เกี่ยวข้องแยกตามกฎหมายและมาตรา
ป.พ.พ. ม. 37, ม. 38, ม. 1479, ม. 1483, ม. 1487
ป.วิ.พ. ม. 283, ม. 287, ม. 288
2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 293/2518
เมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นสามีได้บอกล้างสัญญาค้ำประกันซึ่จำเลยที่ 2 ผู้เป็นภริยาทำไว้กับโจทก์แล้ว ย่อมมีผลทำให้สัญญาค้ำประกันนั้นในส่วนที่ผูกพันสินบริคณห์ตกเป็นโมฆะ แต่ยังสมบูรณ์อยู่เฉพาะในส่วนที่ผูกพันสินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 โจทก์จะต้องบังคับชำระเอาจากสินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 หากสินส่วนตัวของจำเลยที่ 2ไม่มีหรือมีไม่พอ และโจทก์ประสงค์จะบังคับชำระหนี้เอาจากส่วนของจำเลยที่ 2 ในสินบริคณห์ โจทก์ต้องร้องต่อศาลให้แยกสินบริคณห์ระหว่างจำเลยที่ 2 กับผู้ร้องเสียก่อนแล้วจึงนำยึดส่วนของจำเลยที่ 2 เพื่อชำระหนี้โจทก์จะนำยึดสินบริคณห์ก่อนขอแยกสินบริคณห์ออกเป็นส่วนของจำเลยที่ 2 ไม่ได้
ฎีกาอื่นที่เกี่ยวข้องแยกตามกฎหมายและมาตรา
ป.พ.พ. ม. 37, ม. 38, ม. 1479, ม. 1483, ม. 1487
ป.วิ.พ. ม. 283, ม. 287, ม. 288
3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2594/2516
สามีโจทก์อนุญาตให้โจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องที่ดิน โดยสามีโจทก์ยินยอมรับผิดร่วมด้วยกับโจทก์ ในความเสียหายที่จะเกิดขึ้นเกี่ยวกับการดำเนินคดีทุกประการ ในระหว่างที่โจทก์ดำเนินคดีดังกล่าว โจทก์จำเลยตกลงกันต่อศาลให้โจทก์ทำนาพิพาทจนกว่าคดีจะถึงที่สุดโดยโจทก์ยอมเสียค่าเช่าไร่ละ 7 ถังข้าวเปลือกคิดเป็นเงินถังละ 13 บาท ถ้าจำเลยชนะคดีโจทก์จะนำค่าเช่าดังกล่าวชำระให้จำเลยภายใน 1 เดือนนับแต่เสร็จคดี การที่โจทก์ตกลงกับจำเลยเช่นนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการดำเนินคดีที่ฟ้อง ซึ่งสามีได้อนุญาตให้โจทก์กระทำได้ตามที่อนุญาตไว้นั่นเอง สามีโจทก์จะเถียงว่าข้อที่โจทก์ได้ตกลงกับจำเลยต่อศาลเรื่องการทำนาพิพาทนั้นไม่เกี่ยวกับการที่สามีโจทก์ได้อนุญาตให้กระทำได้นั้นย่อมฟังไม่ขึ้น ดังนั้น เมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยชนะคดี โจทก์ไม่ยอมชำระค่าเช่า จำเลยย่อมมีสิทธินำยึดสินบริคณห์ระหว่างโจทก์กับสามีเพื่อบังคับคดีเอาชำระค่าเช่าตามที่ตกลงกันไว้ได้ โดยจำเลยไม่ต้องขอให้แยกสินบริคณห์ออกเป็นส่วนของโจทก์ก่อน สามีโจทก์จะขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดนั้นไม่ได้
ฎีกาอื่นที่เกี่ยวข้องแยกตามกฎหมายและมาตรา
ป.พ.พ. ม. 38, ม. 1469, ม. 1480, ม. 1482, ม. 1483
ป.วิ.พ. ม. 56, ม. 287, ม. 288