“มาตรา 1383 หรือ “ป.พ.พ. มาตรา 1383” คืออะไร?
“มาตรา 1383” หรือ “ป.พ.พ. มาตรา 1383 “ คือ หนึ่งในมาตราของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “ ทรัพย์สินอันได้มาโดยการกระทำผิดนั้น ท่านว่าผู้กระทำผิดหรือผู้รับโอนไม่สุจริตจะได้กรรมสิทธิ์โดยอายุความก็แต่เมื่อพ้นกำหนดอายุความอาญา หรือพ้นเวลาที่กำหนดไว้ในมาตราก่อน ถ้ากำหนดไหนยาวกว่า ท่านให้ใช้กำหนดนั้น “
3 ตัวอย่างจริงของการใช้” มาตรา 1383” หรือ “ป.พ.พ. มาตรา 1383 ” ในประเทศไทย
1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1760/2548
จำเลยได้ขุดดินของโจทก์ไปขายให้แก่บุคคลอื่น ซึ่งจำเลยไม่มีสิทธิที่จะขุดดินอันเป็นทรัพย์สินของโจทก์ เมื่อจำเลยขุดเอาดินของโจทก์ไป โจทก์ย่อมฟ้องบังคับให้จำเลยนำดินที่ขุดไปนั้นคืนมาหรือขอให้จำเลยใช้ราคาดินดังกล่าวแก่โจทก์ได้เป็นการใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิที่จะยึดถือไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 มิใช่ฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดซึ่งมีอายุความ 1 ปี ตาม ป.พ.พ. 448 ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ทั้งการฟ้องคดีเพื่อใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนนั้น โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของมีสิทธิติดตามได้เสมอ เว้นแต่กรณีจะต้องด้วย ป.พ.พ. มาตรา 1382 และ 1383 โจทก์จึงจะหมดสิทธิติดตามเอาคืน
ฎีกาอื่นที่เกี่ยวข้องแยกตามกฎหมายและมาตรา
ป.พ.พ. ม. 448, ม. 1336, ม. 1382, ม. 1383
2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4258/2541
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยซึ่งเป็นหัวหน้าศูนย์ปรับปรุงป่าสงวนแห่งชาติ มีหน้าที่กำหนดแผนงานศูนย์ ควบคุมบังคับบัญชากำกับการมอบหมายงานในการฟื้นฟูป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าวได้เบิกเงินงบประมาณของโจทก์ไปดำเนินการฟื้นฟูป่าสงวนแห่งชาติตามแผนงานที่โจทก์กำหนด และจงใจปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ไม่ได้ปลูกสร้างสวนป่าทดแทนให้ได้ครบจำนวนตามที่โจทก์กำหนด กลับเบียดบังยักยอกเงินงบประมาณของโจทก์ไป ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินงบประมาณที่ยักยอกไปแก่โจทก์กรณีจึงเป็นเรื่องเจ้าของทรัพย์สินฟ้องเรียกเอาทรัพย์ที่ผู้ทำละเมิดยึดถือครอบครองของเขาไว้ในฐานละเมิด ซึ่งโจทก์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา1336 ไม่ใช่เรื่องเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย จึงนำอายุความตามมาตรา448 มาใช้บังคับในกรณีนี้ไม่ได้ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องจำเลยได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา1336 ประกอบด้วยมาตรา 1382 และ 1383 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ฎีกาอื่นที่เกี่ยวข้องแยกตามกฎหมายและมาตรา
ป.พ.พ. ม. 448, ม. 1336, ม. 1382, ม. 1383
3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5279/2537
คดีจะมีประเด็นข้อพิพาทว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จะต้องเกิดจากคำให้การของจำเลย ว่าจำเลยจะให้การว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุมศาลย่อมมีอำนาจที่จะนำคำให้การของจำเลยมาวินิจฉัยประกอบคำฟ้องของโจทก์ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ส่วนที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณาหมายถึงรายละเอียดปลีกย่อยมิใช่สภาพแห่งข้อหา คดีนี้จำเลยทราบและเข้าใจฟ้องโจทก์โดยยื่นคำให้การต่อสู้คดีได้ถูกต้อง แสดงว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
นับแต่วันที่มีการออกโฉนดสำหรับที่พิพาทถึงวันฟ้องยังไม่ถึง10 ปี แม้จำเลยครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจำเลยจะนับระยะเวลาที่ครอบครองก่อนที่พิพาทออกโฉนดรวมเข้าด้วยหาได้ไม่ เพราะการครอบครองปรปักษ์ใช้ได้เฉพาะที่ดินมีกรรมสิทธิ์แล้วเท่านั้น
โจทก์ใช้สิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนเป็นคดีไม่มีอายุความฟ้องร้องโจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์มีสิทธิติดตามทรัพย์สินนั้นได้เสมอเว้นแต่กรณีจะต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382, 1383,โจทก์จึงจะหมดสิทธิติดตามเอาคืนที่พิพาทคดีนี้เป็นที่ดินที่มีโฉนด จะนำเรื่องการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1375 มาปรับใช้แก่คดีไม่ได้
ฎีกาอื่นที่เกี่ยวข้องแยกตามกฎหมายและมาตรา
ป.พ.พ. ม. 1336, ม. 1375, ม. 1382, ม. 1383
ป.วิ.พ. ม. 172