“มาตรา 1375 หรือ “ป.พ.พ. มาตรา 1375” คืออะไร?
“มาตรา 1375” หรือ “ป.พ.พ. มาตรา 1375 “ คือ หนึ่งในมาตราของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “ ถ้าผู้ครอบครองถูกแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้ครอบครองมีสิทธิจะได้คืนซึ่งการครอบครอง เว้นแต่อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินดีกว่าซึ่งจะเป็นเหตุให้เรียกคืนจากผู้ครอบครองได้
การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้น ท่านว่าต้องฟ้องภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง “
ค้นหาคำปรึกษาจริง, บทความเพิ่มเติม ได้ที่นี่ คลิกเลย !
3 ตัวอย่างจริงของการใช้” มาตรา 1375” หรือ “ป.พ.พ. มาตรา 1375 ” ในประเทศไทย
1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 883/2564
ผลของคดีก่อนถึงที่สุดว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ให้เพิกถอนโฉนดที่ดินของโจทก์ส่วนที่ทับที่ดินที่จำเลยมีสิทธิครอบครอง เป็นคดีฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (1) ให้พึงเข้าใจว่าเป็นประเภทเดียวกับฟ้องขอให้ขับไล่ ถ้าศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี เมื่อศาลเห็นสมควรศาลจะมีคำสั่งให้ขับไล่จำเลยก็ได้ แม้คดีก่อนศาลมิได้มีคำสั่งให้ขับไล่โจทก์คดีนี้ แต่ ป.วิ.พ. มาตรา 348 วรรคสอง (ที่เพิ่มเติมใหม่) บัญญัติให้การบังคับคดีในกรณีที่ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาส่งคืนหรือส่งมอบอสังหาริมทรัพย์เฉพาะสิ่ง ให้นำบทบัญญัติในหมวด 4 การบังคับคดีในกรณีที่ให้ขับไล่ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ซึ่งตาม พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 30) พ.ศ.2560 มาตรา 21 ให้มีผลย้อนหลังไปใช้บังคับกระบวนการบังคับคดีในคดีที่ศาลได้มีคำพิพากษาก่อนที่กฎหมายใช้บังคับด้วย ดังนั้น จึงเป็นกรณีที่จำเลยบังคับคดีโจทก์ในคดีก่อนได้ โจทก์ซึ่งยังไม่ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาในคดีก่อนที่มีผลผูกพันคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ไม่มีสิทธิในที่ดินและไม่อาจกล่าวอ้างสิทธิขึ้นใหม่เพื่อโต้แย้งว่าได้เปลี่ยนแปลงการยึดถือครอบครองที่ดินแทนจำเลยแล้ว
ฎีกาอื่นที่เกี่ยวข้องแยกตามกฎหมายและมาตรา
ป.พ.พ. ม. 1367, ม. 1375
ป.วิ.พ. ม. 142 (1), ม. 145 วรรคหนึ่ง, ม. 348 วรรคสอง
2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3685/2562
คดีก่อนที่ ช. ฟ้องโจทก์กับพวกเป็นจำเลยมีประเด็นพิพาทว่าที่ดินพิพาทเป็นของ ช. หรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินพิพาทมิใช่ของ ช. ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ช. ถึงแก่ความตาย จำเลยขอเข้าเป็นคู่ความแทนในฐานะทายาทของ ช. และศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยชี้ขาดว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายกฎีกา คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวย่อมมีผลผูกพันคู่ความคือโจทก์และจำเลยซึ่งเป็นผู้สืบสิทธิในฐานะทายาทของ ช. มิให้โต้เถียงสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทกับโจทก์อีก ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง และจำเลยในฐานะผู้สืบสิทธิของ ช. จะโต้เถียงโดยให้การและฟ้องแย้งในคดีนี้ว่า จำเลยแย่งการครอบครองและได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทมาก่อนมีการฟ้องคดีเดิมไม่ได้ เพราะเป็นการกล่าวอ้างให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงขัดกับข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีเดิมที่วินิจฉัยว่า ในช่วงเวลาพิพาทในคดีเดิมโจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยชอบที่จะกล่าวอ้างการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ได้ก็แต่เมื่อเป็นการกระทำภายหลังมีการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีเดิมแล้ว แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้ภายหลังศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีเดิมเพียง 4 เดือนเศษ จำเลยย่อมไม่มีทางได้สิทธิครอบครองโดยการแย่งการครอบครองตามที่อ้าง
ฎีกาอื่นที่เกี่ยวข้องแยกตามกฎหมายและมาตรา
ป.พ.พ. ม. 1375
ป.วิ.พ. ม. 145 วรรคหนึ่ง
3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6627/2560
คดีนี้จำเลยร่วมทั้งสองให้การต่อสู้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของตน ประเด็นเรื่องการแย่งการครอบครองจึงไม่มี เพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของบุคคลอื่น ไม่ใช่ที่ดินของตนเอง ฎีกาของจำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองจึงเป็นฎีกาในข้อนอกประเด็น ไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 ต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 249 (เดิม)
จำเลยร่วมทั้งสองเป็นคู่ความที่ถูกหมายเรียกให้เข้ามาในคดีตามคำร้องของจำเลยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (3) ย่อมมีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าตนได้ฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่และอาจได้รับหรือถูกบังคับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 58 วรรคหนึ่ง เมื่อที่ดินพิพาทเป็นที่ดินตามใบจองของโจทก์ ก็ชอบที่จะบังคับห้ามมิให้จำเลยร่วมทั้งสองเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ตลอดจนรับผิดชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมด้วย ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247 (เดิม)
จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองต่างยื่นฎีกามาแต่ละฉบับแยกต่างหากจากกัน โดยต่างเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเต็มตามทุนทรัพย์ เมื่อกรณีแห่งคดีมีลักษณะเป็นคดีที่มีมูลความแห่งคดีอันไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงชอบที่ศาลฎีกาจะมีคำสั่งคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกินแก่จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 150 วรรคท้าย
ฎีกาอื่นที่เกี่ยวข้องแยกตามกฎหมายและมาตรา
ป.พ.พ. ม. 1375
ป.วิ.พ. ม. 57 (3), ม. 58 วรรคหนึ่ง, ม. 142 (5), ม. 150 วรรคหนึ่ง, ม. 246, ม. 247 (เดิม), ม. 249 (เดิม)