คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2567
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 31/2567
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 3 ป.ยาเสพติด ม. 90, 145 วรรคสาม (2)
ปริมาณยาเสพติดที่มากขึ้นเป็นข้อบ่งชี้ถึงพฤติการณ์และบทบาทหน้าที่ในการกระทำความผิดอยู่ในตัว จึงนำมาพิจารณากำหนดโทษตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 178/2567
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 23
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 3 เดือน และไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เมื่อศาลพิจารณาเห็นว่าจำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อในเขตเทศบาลนครแหลมฉบังซึ่งเป็นเขตชุมชนและมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 156 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ แต่ไม่ปรากฏว่าเกิดอุบัติเหตุหรือทำอันตรายแก่บุคคลอื่นเป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย ศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจลงโทษสถานเบากว่าโดยให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทนตาม ป.อ. มาตรา 23 ได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 59/2567
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 80, 289 (4) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 225 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 15, 176
ศาลสืบพยานหลักฐานของโจทก์ประกอบคำให้การรับสารภาพของจำเลยแล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยใช้อาวุธมีดแทงโดยเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 1 และพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามฟ้อง อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า จำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 1 โดยอ้างว่า อาวุธมีดที่จำเลยใช้แทงผู้เสียหายที่ 1 เป็นอาวุธมีดขนาดเล็กมีสภาพเก่า ด้ามมีดกับตัวมีดมีสภาพไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถใช้ฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ได้ อีกทั้งสภาพบาดแผลของผู้เสียหายที่ 1 เป็นบาดแผลขนาดเล็กซึ่งเป็นบาดแผลไม่รุนแรง ไม่สามารถทำให้ผู้เสียหายที่ 1 ถึงแก่ความตายได้ เป็นการอุทธรณ์อ้างว่า ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ตามฟ้อง มิใช่อุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ขัดกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยหรือเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ อันจะเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ.มาตรา 15
จำเลยมีสาเหตุบาดหมางและเคยพูดจาอาฆาตผู้เสียหายที่ 1 ว่าจะเอาให้ถึงตายมาก่อนจนมีการนัดหมายมาพบกันในวันเกิดเหตุ โดยจำเลยมีอาวุธมีดและสนับมือติดตัวมาด้วย เมื่อพบกันจำเลยก็เดินตรงเข้าไปข่มขู่พวกของผู้เสียหายที่ 1 ไม่ให้ช่วยเหลือ แล้วจำเลยวิ่งเงื้ออาวุธมีดเข้าแทงผู้เสียหายที่ 1 ทันทีโดยยังไม่ได้พูดจากัน จึงเป็นการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อนแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 122/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 27 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 15, 182, 215
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 3 ลับหลังจำเลยโดยที่ยังไม่สามารถส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้จำเลยทราบโดยชอบ ซึ่งไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 182 วรรคสาม ประกอบมาตรา 215 แม้ภายหลังจำเลยจะยื่นใบแต่งตั้งทนายความต่อศาลชั้นต้น แต่เจ้าหน้าที่งานเก็บสำนวนลงรับใบแต่งตั้งทนายความเวลา 16.25 นาฬิกา และไม่ปรากฏว่าทนายความคนดังกล่าวได้ขอตรวจสำนวนหรือดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ในคดีจนกระทั่งจำเลยถูกจับและได้แต่งตั้งทนายความคนใหม่ แล้วทนายความคนใหม่ขอตรวจสำนวนจึงพบกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบและได้ยื่นคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบในวันเดียวกัน ย่อมถือว่าจำเลยรู้ถึงข้อค้านเรื่องผิดระเบียบและยกขึ้นอ้างไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่จำเลยได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคสอง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 แล้ว
คำสั่งคำร้องที่ คร.อท. 317/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 221 พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 ม. 44, 46
ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 44 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า การฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ให้ผู้ฎีกายื่นคำร้องแสดงเหตุที่ศาลฎีกาควรรับฎีกาไว้พิจารณาตามมาตรา 46 พร้อมกับคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้นที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีนั้น เมื่อโจทก์ยื่นฎีกาโดยมิได้ยื่นคำร้องขอฎีกามาด้วย จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ส่วนคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221 ที่โจทก์ยื่นมาพร้อมกับฎีกานั้น ก็ไม่อาจแปลได้ว่าเป็นคำร้องขอฎีกาตามที่บัญญัติไว้ ต้องถือว่าเป็นการฎีกาโดยไม่มีคำร้องขอฎีกาต่อศาลฎีกามาด้วย เป็นการไม่ชอบ
คำสั่งคำร้องที่ ครพ. 308/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 323
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องวางเงินเพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์หรือเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งจำหน่ายคดีของผู้ร้องออกจากสารบบความ ซึ่งคำสั่งศาลชั้นต้นเป็นที่สุดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 323 วรรคสี่ อันเป็นบทมาตราที่บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ จึงไม่อาจขออนุญาตฎีกาได้
คำสั่งคำร้องที่ ท. 288/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 46
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 ที่บัญญัติให้การพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาหมายความเพียงว่า ถ้ามีคำพิพากษาคดีส่วนอาญาถึงที่สุดแล้ว ในการพิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา เมื่อคดีอาญาที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นโจทก์ฟ้อง ร. เป็นจำเลยยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น คดียังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด ประกอบกับศาลฎีกาทำคำพิพากษาคดีนี้เสร็จแล้ว และอยู่ในระหว่างการนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาของศาลชั้นต้น กรณีจึงไม่มีเหตุอันสมควรที่จะให้งดการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาและอนุญาตให้ผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมตามขอได้
คำสั่งคำร้องที่ ท. 393/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 1 (3), 18, 247 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2558 ม. 9
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดี เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 ถือว่าเป็นคำฟ้องที่ยื่นภายหลังจากที่ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2558 ใช้บังคับ การฎีกาผู้ร้องต้องยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาพร้อมกับคำฟ้องฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 247
การยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาถือเป็นหน้าที่ของผู้ร้องผู้ฎีกาที่จะต้องยื่นคำร้องพร้อมคำฟ้องฎีกา ศาลชั้นต้นไม่มีหน้าที่แจ้งให้ผู้ร้องยื่นคำร้องก่อน เพราะไม่ใช่กรณียื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาแล้วมีข้อบกพร่องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18
คำสั่งคำร้องที่ ท. 270/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 216, 220, 221, 223
โจทก์ฎีกาขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งงดสืบพยานโจทก์ ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 แล้วมีคำสั่งให้ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งห้าและมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดีต่อไป เป็นฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง มิใช่เป็นฎีกาในเนื้อหาของประเด็นแห่งคดีที่จะให้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งห้ากระทำความผิดตามฟ้อง ไม่อยู่ในบังคับ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220 โจทก์จึงฎีกาได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 216 โดยไม่ต้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาอนุญาตให้ฎีกา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221 การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกา และผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ฎีกา กับทั้งศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์จึงเป็นไปโดยผิดหลง ชอบที่ศาลชั้นต้นจะรับฎีกาของโจทก์ไว้ดำเนินการ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคสอง และมาตรา 223 ต่อไป
คำสั่งคำร้องที่ ครพ. 233/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 247
การฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ ให้กระทำได้เมื่อได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา และขออนุญาตฎีกา ให้ยื่นคำร้องพร้อมกับคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้นที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีนั้น แล้วให้ศาลชั้นต้นรีบส่งคำร้องพร้อมคำฟ้องฎีกาดังกล่าวไปยังศาลฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 247 จึงเป็นอำนาจเฉพาะของศาลฎีกาเท่านั้นที่จะพิจารณาสั่งรับหรือไม่รับคำร้องและรับฎีกา การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องขออนุญาตฎีกาของโจทก์ว่า ฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด จึงอนุญาตให้โจทก์ฎีกาได้และสั่งรับฎีกาของโจทก์มานั้นเป็นการไม่ชอบ


